“รีบเรียกรวมเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักศึกษา รวมถึงของสำนักศึกษาส่วนในมาด้วย”
“พลุสัญญาณบอกอันตรายขั้นนี้แสดงว่าสถานการณ์ของอาจารย์ใหญ่ในเวลานี้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก จะต้องรีบส่งคนไปช่วยเหลือโดยด่วน”
เดิมทีเมื่อได้รับชัยชนะจากการประลองควรเลี้ยงฉลองมิใช่หรือไง ? แต่มาตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นกับอาจารยใหญ่ สีหน้าทุกคนจึงล้วนแต่อึมครึม
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รีบไปจัดการธุระเรื่องวุ่น ๆ กันหมด ยามนี้ดึกมากแล้ว คนที่เหลือต่างพากันแยกย้ายไปพักผ่อน
มู่เฉียนซีเดินไปข้างกายหวงฝู่จี้เหินและกล่าวขึ้น “จะดีร้ายอย่างไรอาจารย์ใหญ่ก็เป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้ตัวเจ้าเองไม่มีแม้แต่พลังความสามารถในการปกป้องตนเอง อยากตามพวกเขาไปช่วยเหลือก็ทำมิได้”
“แทนที่จะมาร้อนรนใจอยู่ตรงนี้ มิสู้ไปฝึกฝนต่อไม่ดีกว่าหรือ รอเมื่ออาจารย์ใหญ่กลับมาจะได้เห็นความก้าวหน้าของเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว หลายปีมานี้ที่ท่านปู่ท่องไปทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้ท่านปู่พบเจอกับอันตรายท่านก็สามารถแปรเปลี่ยนสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ครั้งนี้ก็ต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน” หวงฝู่จี้เหินกล่าวไปเช่นนั้นทว่าเขากำหมัดเอาไว้แน่น และตัวเขาก็สั่นเทา ถึงแม้ว่าท่านปู่ของเขาพบเจอกับอันตรายอยู่บ่อยครั้ง ทว่าการส่งพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมาเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรก
แต่ที่อาจารย์มู่กล่าวไว้นั้นไม่ผิด ตอนนี้เขาร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์
รองอาจารย์ใหญ่ยืนจ้องมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าหม่นคล้ำ ถ้าหากว่าอาจารย์ใหญ่ไม่สามารกลับมาได้แล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีใครถอนตำแหน่งของเขาได้ หึ ๆ ช่วงนี้ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ได้ใจไปก่อนจะดีต่อตัวเขามากกว่า
เหล่าศิษย์ของห้องเจ็ดถูกมู่เฉียนซีฝึกหนักเสียจนจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น เรื่องของสมาคม เบื้องต้นมู่เฉียนซีมอบหมายให้พวกเขาจัดการ ส่วนนางกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อที่สำนักส่วนนอก
สิ่งที่แตกต่างระหว่างศิษย์ของห้องเรียนระดับสูงและระดับต่ำก็คือศิษย์จากห้องเรียนระดับสูงนั้นจะได้รับหน้าที่ในการปฏิบัติงานจริงมากกว่า
……
หลังจากที่ผลของการฝึกในค่ายกลวิญญาณเริ่มอ่อนลงแล้ว มู่เฉียนซีไปที่ศูนย์กลางภารกิจของห้องเรียนระดับสูงเพื่อหาภารกิจทำสักนิดสักหน่อย
ได้ยินมาว่าภารกิจอันยากเย็นที่มีความเสี่ยงสูงล้วนถูกมอบให้แก่อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักส่วนใน ภารกิจที่ห้องเรียนระดับสูงสามารถรับมาทำได้ล้วนแต่เป็นภารกิจที่มีระดับความยากต่ำและทำสำเร็จได้ไม่ยาก
มู่เฉียนซีหมายตาภารกิจการเก็บรวบรวมสมุนไพรวิญญาณเอาไว้ และสมุนไพรที่ต้องไปเก็บก็คือสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีที่ชื่อว่าหญ้าซานหยาง
นางรับภารกิจมาเป็นที่เรียบร้อยและก่อนที่นางจะจากไปก็ได้ไปบอกกล่าวกับศิษย์ห้องเจ็ด ทุกสิ่งอย่างนั้นล้วนแต่ถูกจัดการอย่างมีระเบียบแบบแผน อีกทั้งรองอาจารย์ใหญ่ก็ไม่ได้ออกมาก่อกวนให้รำคาญใจด้วย
แต่เหตุการณ์อาจไม่เป็นตามวิสัย ต้องมีภัยมาร มู่เฉียนซีจึงได้มอบของล้ำค่าเก่าเก็บของนางให้แก่ซูเซิงไปไม่น้อย ทันทีที่มีปัญหาเกิดขึ้น ให้ซูเซิงใช้มันอย่างไม่ต้องนึกเสียดาย
ซูเซิงที่ไม่เคยปราณีต่อผู้ใดได้รับพิษหลายชนิดจากนางมา เขามองมันเสมือนเป็นสมบัติล้ำค่า ปลื้มใจจนแทบจะเอาชีวิตและจิตวิญญาณไปตอบแทนมู่เฉียนซี
เรื่องของการวางแผนนั้นมอบให้แก่หวงฝู่จี้เหินจัดการ ส่วนเรื่องของการวางพิษอะไรทำนองนั้น นางมอบยาพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ซูเซิง ฝากฝังสองคนนี้ มู่เฉียนซีก็สามารถออกจากสำนักศึกษาไปปฏิบัติภารกิจได้อย่างสบายใจแล้ว
สำหรับสถานที่ที่หญ้าซานหยางขึ้นอยู่นั้น ทางสำนักศึกษามอบที่อยู่โดยละเอียดของมันมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แหล่งที่มีหญ้าซานหยางคือหนึ่งในสามป่าใหญ่แห่งทวีปเสียโจว…ป่าหนานเสีย
และแน่นอนว่าเรื่องที่มู่เฉียนซีไปรับภารกิจเก็บรวบรวมหญ้าซานหยางถูกรองอาจารย์ใหญ่รู้เข้าเสียแล้ว รองอาจารย์ใหญ่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเด็กนั่นไปอยู่ที่ห้องเรียนระดับสูงแล้วกลับไม่อยู่เฉย ๆ กล้าที่จะออกจากสำนักศึกษาไปปฏิบัติภารกิจ เมื่อออกจากสำนักศึกษาแล้วก็เป็นโอกาสดีล่ะ หึ ๆ อยากรู้นักว่าเจ้าหนุ่มชุดดำนั่นจะปกป้องเจ้าได้ยังไง”
เมื่อเดินทางออกจากสำนักศึกษาแล้ว มู่เฉียนซีสัมผัสได้ว่าใครบางคนกำลังสะกดรอยตามนางอยู่
ผู้ที่สะกดรอยตามมานั้นนึกไม่ถึงว่าด้วยพลังความสามารถของคนระดับไม่ได้สูงมากนักอย่างมู่เฉียนซีจะทำให้นางตรวจพบเขาได้
เขาผู้นั้นตามรอยนางมาตั้งแต่ในสำนักศึกษา มู่เฉียนซีไม่ใช่คนโง่เขลา นางรู้ได้โดยพอประมาณแล้วว่าใครเป็นคนสั่งมา
นางรู้ว่ามีผู้สะกดรอยตามมาและยังมีแผนสังหารนางอีก คนอย่างนางไม่เลือกที่จะถอยกลับอยู่แล้ว แม้พลังความสามารถของฝั่งตรงข้ามจะไม่ใช่จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า ทว่าเป็นระดับมหาจักรพรรดิระดับหนึ่ง
นางรู้ว่าตนเองในเวลานี้ยังไม่สามารถสู้ได้ แต่ก็สามารถหลบหนีได้
การลอบสังหารผู้ที่ตามมาฆ่านางก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกในสนามจริงประเภทหนึ่ง เข้าไปที่สำนักศึกษาซวนเสียตั้งนานเช่นนั้น นางเลยมิได้มีโอกาสฝึกผ่านการฆ่าฟันจริง ๆ เสียที
นี่เป็นโอกาสดีที่จะฝึกฝีมือ นางจ้างสัตว์วิญญาณที่สามารถใช้เป็นสัตว์พาหนะเดินทางทางอากาศได้ เป้าหมายคือเดินทางไปที่ป่าหนานเสีย ทว่าการสะกดรอยตามของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หายไป นางถูกติดตามมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงชายป่าหนานเสีย
น่าเสียดายที่แรงกดดันจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของคนที่ตามนางมาทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพาหนะของมู่เฉียนซีตื่นตระหนกและเปลี่ยนทิศทาง มันพุ่งทะยานเข้าไปที่ส่วนกลางของป่าหนานเสีย
ทันใดนั้น เงาร่างสีเทายืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนนกกระเรียนดำปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียนซี เขากระโดดลงจากนกกระเรียนตัวนั้นและอยู่ในท่วงท่ายืนตัวตรงกลางอากาศ
ผู้เฒ่าชุดคลุมเทาแสยะยิ้มเย็นชาก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าติดตามเจ้ามาตลอดทาง และหาสถานที่กลบฝังกระดูกของเจ้าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ที่งดงาม มิทราบว่าเจ้าพอใจหรือไม่ ?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้าจะพอใจหรือไม่ แค่เจ้าพอใจนั่นก็พอแล้ว” สายตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเย็นวาบออกมา
“สาวน้อย เจ้าหมายความเช่นไร ?”
เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งพุ่งผ่านไป อู๋ตี้กางกรงเล็บกระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ชายชราชุดคุลมยาวสีเทาหลบไปอย่างรวดเร็ว เขากล่าว “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ กระเรียนดำ จงฉีกเจ้าแมวน้อยตัวนั้นให้เป็นชิ้น ๆ!”
เมื่อสู้กันอยู่กลางอากาศ นกกระเรียนดำตัวนั้นจึงมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ชายชราชุดเทาหมายจะฆ่ามู่เฉียนซีในทันที
และทันใดนั้นก็ได้มีเปลวเพลิงสีแดงเข้มพุ่งออกมาพร้อมกับตัวของเสี่ยวหง ชายชราชุดเทาต้องรีบหลบไป
เขาตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึง “อะไรกัน ? นี่เจ้ายังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอีกหนึ่งตัว!”
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่คิดปล่อยมู่เฉียนซีไป ยังคงพุ่งโจมตีตอบโต้อย่างดุดัน
มู่เฉียนซีสั่งให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพาหนะของนางบินลงไปตรงกลางของป่าหนานเสีย ชายชราชุดสีเทากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “แม่หนู เจ้าอย่าได้คิดหนี” เขาพุ่งทะลุผ่านการป้องกันของอู๋ตี้และเสี่ยวหงไป พลังระดับมหาจักรพรรดิพรั่งพรูออกมาและโจมตีไปยังมู่เฉียนซี
— บึ้ม! —
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งบังเกิดขึ้น มู่เฉียนซีพลันตกลงไปทางส่วนกลางของป่าหนานเสียในทันที หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ นางรีบนำเอาเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากในมิติเก็บของของนางและเหวี่ยงมันไปรั้งกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเอาไว้ เมื่อสบจังหวะเหมาะแล้ว นางก็โยนตัวเข้าไปในป่า
อู๋ตี้และเสี่ยวหงก็มิได้ต่อสู้พัวพันกับผู้เฒ่านั่นต่อ พวกมันมุ่งตามมู่เฉียนซีไป
“สาวน้อย เจ้าอย่าได้คิดหนีเชียวนะ!” ชายชราชุดเทาตามเข้าไปในกลางป่าหนานเสีย
ทันทีที่เท้าแตะพื้น นับว่าถึงสนามรบหลักของมู่เฉียนซีแล้ว นางเข้าไปซ่อนตัวในส่วนกลางของป่าหนานเสียพลางคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องวางกลยุทธ์แล้ว จังหวะนี้มีอู๋ตี้เสี่ยวหงอยู่ด้วย การที่จะหลอกเจ้าเฒ่านั่นให้ตกหลุมพรางตายย่อมไม่เป็นปัญหา
ชายชราชุดเทาคิดตามหาตัวมู่เฉียนซี แต่ทว่าประหลาดนัก ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้นางมากขึ้นเล็กน้อย ร่างนางกลับอยู่ห่างจากเขาออกไปไกลกว่าเดิม
เขานึกไม่ออกเลยว่ามันเป็นเพราะเหตุอันใด พลังจิตของมู่เฉียนซีแข็งแกร่งกว่าของเขาหรือ ? นางสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามได้ไวกว่าเขาหรือ ? นี่เขาจะพ่ายแพ้แก่เด็กเช่นนี้รึ ?
มู่เฉียนซียิ้มเยาะกับความสำเร็จเล็ก ๆ นี้ แต่นางไม่ได้ประมาทโดยเริ่มวางแนวค่ายกลเขาวงกตขึ้น และตามด้วยวางตำแหน่งยาพิษล่อฝ่ายตรงข้าม “อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งลอยมา เห็นได้ชัดว่ามีผู้ติดกับเข้าแล้ว
พิษเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิสิ้นชีพได้ สายตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันเยือกเย็น นางกับผู้เฒ่าจอมตามติดนี่ยังสามารถค่อย ๆ เล่นกันต่อไปได้เรื่อย ๆ
หึ ๆ สนุกจริง!
“เพลิงเผาสวรรค์!” ชั่วเวลาพริบตา เปลวเพลิงของเสี่ยวหงพุ่งออกไปโจมตี ตามมาด้วยการโจมตีจากอู๋ตี้
ในตอนที่ชายชราชุดคลุมเทาผู้นั้นโดนพิษจนรู้สึกมึนงง เขาพยายามรวมสติเรียกนกกระเรียนดำตัวนั้นเข้ามาช่วย แต่ทว่าพื้นที่รอบบริเวณนั้นเป็นป่า ทำให้มันสยายปีกออกมาไม่ได้
และในที่สุดมันก็ถูกเสี่ยวหงทำให้กลายสภาพไม่ต่างจากนกย่างตัวหนึ่ง
“อ๊าก! ข้าจะฆ่าเจ้า” ชายชราชุดคลุมเทาโกรธจัด จิตสังหารแผ่ซ่านอย่างที่สุด
เมื่อสูญเสียสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองไปตัวหนึ่ง นั่นแน่นอนว่าเขาโกรธเกรี้ยว แต่มู่เฉียนซียังคงเลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าจอมตามติดคนนั้นโดยตรง นางยังคงหลอกล่อให้เขาไปสู่ที่ตายเช่นเดิม
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าปานทากคลาน บัดนี้สีสันของท้องนภาค่อย ๆ อับแสงลงแล้ว ยามโพล้เพล้เช่นนี้เอื้ออำนวยแก่มู่เฉียนซี ทำให้นางจัดการกับคู่ต่อสู้ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกไป มู่เฉียนซีเริ่มโจมตีสวนกลับอย่างมั่นใจ