“เจ้าบอกว่าเจ้ามีอาเล็กอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นอาคนที่เท่าไหร่ ?” หลิงถามขึ้น
“เป็นคนที่สาม”
“ข้าอายุมากกว่าเขาแน่ เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าอารองก็ได้”
“อะ… อารองงั้นรึ ?” มู่เฉียนซีเบิกตากว้าง นางมองคนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้ามิใช่เพราะว่าท่านนั้นหน้าตาไม่เหมือนบิดาและอาเล็กของข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าคงสงสัยว่าท่านจะต้องเป็นอารองของข้าจริง ๆ อย่างแน่แท้”
ทันทีที่นางเกิดมาบิดาก็มาจากนางไป ท่านอารองก็นั่งไม่ติด เขารอจนเมื่อพี่ชายสามารถดูแลตัวเองได้ก็จากไปอีกคน
“เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง หน้าตาย่อมไม่เหมือนข้าเป็นธรรมดา”
“ส่วนน้องสาม… เขา…”
คําว่าน้องสามถูกกล่าวออกมาโดยสัญชาตญาณ และเหมือนเขาจะนึกย้อนถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
มู่เฉียนซีตบบ่าเขาเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เลิกคิดได้แล้วล่ะ”
เขามองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวว่า “สัญชาตญาณของข้าบอกข้าว่าเจ้าควรเรียกข้าว่าอารองนะซีเอ๋อร์”
มู่เฉียนซี “ท่านไม่กลัวว่าอารองตัวจริงของข้าจะปรากฏตัวขึ้นมาซัดท่านสักกระบวนรึ ?”
“บางทีข้าอาจแข็งแกร่งกว่าเขาก็ได้ ถึงเขาอยากจะซัดข้า ก็ไม่มีทางทำได้หรอก”
ความโอหังและความมั่นใจในตนเองช่างเหมือนคนตระกูลมู่จริง ๆ
มู่เฉียนซีมองเขาด้วยสายตางุนงง เป็นไปได้จริง ๆ ว่าเขาอาจเป็นท่านอารองของตน ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดนั้นมาจากสายเลือด พวกเขาล้วนมีสายเลือดของตระกูลมู่ไหลเวียนอยู่ในกาย
ตั้งแต่นางอายุสามขวบก็ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวของตัวเองเลย
จนเมื่อมาถึงโลกนี้ ความสนิทสนมของนางกับท่านอาเล็กไม่ใช่แค่เพียงเพราะสายเลือดที่เชื่อมต่อกัน แต่เป็นเพราะในใจของทั้งสองคนต่างให้ความสำคัญต่อกันและกัน มากเสียจนไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้
ตั้งแต่พบเขา นางสัมผัสได้ถึงสายเลือดและความสัมพันธ์ระหว่างญาติว่าลึกซึ้งแค่ไหน
แม้จะไม่เคยพบและไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ คือต่างฝ่ายจะไม่ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่นอน
หลิงรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่เฉียนซีไม่พูดอะไร “ซีเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้ให้ของขวัญอะไรกับเจ้า เจ้าจึงไม่ยอมเรียกข้าว่าท่านอารองใช่ไหม ?”
มู่เฉียนซีรีบตอบ “ใช่แล้ว ข้าต้องการของขวัญ คิดที่จะให้ข้ายินยอมอย่างง่ายดายนั้นเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากท่านต้องให้ของขวัญเนื่องในโอกาสการพบกันครั้งแรก”
หลิงพลิกแหวนมิติของเขาและรู้สึกว่ามีของมากมายอยู่ในนั้น เขายกเลิกพันธสัญญาและมอบมันให้กับมู่เฉียนซีทันที
ใบหน้าที่เย็นชาและแข็งกระด้างของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ นี่คือของซีเอ๋อร์ทั้งหมด ซีเอ๋อร์ยอมรับข้าผู้เป็นอารองผู้นี้ได้แล้วกระมัง”
อู๋ตี้และเสี่ยวหงจะไม่ยอมปล่อยให้ชายผู้นี้แสดงความใจป้ำจนเกินไปอย่างแน่นอน
เสี่ยวหงรีบกล่าวขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ตอนที่นายท่านกำลังจะช่วยชีวิตเจ้า นางถูกเจ้าบีบข้อมือเสียจนแตกละเอียด ถ้าไม่ใช่เพราะยาของนายท่านนั้นดีมากล้นแล้วละก็ ตอนนี้นางคงยังยกมือขึ้นมาไม่ได้เป็นแน่”
อู๋ตี้กล่าวเสริม “ใช่ และอีกอย่าง ไม่ง่ายเลยกว่าที่นายท่านจะช่วยชีวิตเจ้ามาได้ แต่เจ้ากลับบีบคอนายท่านจนเกือบสำลักตาย”
หลิงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่ถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวตำหนิ
“ซีเอ๋อร์…” เขาไม่มีอะไรจะอธิบาย ทำได้เพียงยอมรับผิดเท่านั้นเอง
มู่เฉียนซีกลับยิ้มและหัวเราะร่า “ฮ่า ๆ ท่านอารอง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลย”
ไม่ว่าอารองจะเป็นญาติหรือมีความสัมพันธ์อื่นใด นางก็ล้วนยอมรับแล้ว เพราะความรักของเขาที่มีต่อนางเหมือนกับท่านอาไม่มีผิด หากบอกว่าไม่ใช่คนของตระกูลมู่ ใครเล่าจะเชื่อ ?
ใบหน้าหล่อเหลานั้นปรากฏรอยยิ้มอันตื่นเต้นให้เห็น เขาจ้องมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “อืม ซีเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ภารกิจของข้าในป่าหนานเสียเสร็จสิ้นลงแล้ว ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ หลังจากนั้นข้าค่อยคิดวิธีปรับสภาพร่างกายของท่านให้ดี”
แต่ละเรื่องของเขานั้นมิได้ทำให้สบายใจเลย
หากเปรียบร่างกายของเขากับกระจกบานหนึ่ง กระจกบานนั้นในตอนนี้ก็เหมือนกับกระจกที่มีรอยแตกร้าวกระจายอยู่ทั่วทั้งบานเสมือนเส้นใยแมงมุม หากไม่ระวังก็อาจทำให้มันแตกละเอียดเป็นเศษเล็กน้อยได้นับร้อยหมื่น
เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คงต้องจบสิ้นแล้ว
“ตามที่ซีเอ๋อร์ว่าเลย” หลิงเชื่อฟังมู่เฉียนซีทุกอย่าง
เมื่อออกจากป่าหนานเสียก็ตรงเข้าไปในเมืองหนานเสีย ได้พบกับอารองทั้งที มู่เฉียนซีก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับไปยังสำนักศึกษา
เมืองนี้ใกล้กับเทือกเขาหนานเสีย นางคิดว่าน่าจะหาสมุนไพรวิญญาณได้ไม่น้อย
เมื่อพวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในเมืองหนานเสีย หลิงก็กล่าวว่า “ซีเอ๋อร์เหนื่อยไหม ? ให้ข้าแบกเจ้าเอาไหม ?”
ใบหน้างามหม่นคล้ำลงทันทา นางพูดขั้นทันที “อารอง ข้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
ตอนที่เขาจากไป นางยอมรับว่านางคงยังเล็กอยู่มิน้อย
สุดท้าย! แม้อารองจะสูญเสียความทรงจำไป เขาก็ยังคงปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นเด็กน้อยดังเก่า
สถานการณ์เช่นนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญาขนานหนัก “ในใจของอารอง ซีเอ๋อร์เป็นสาวน้อยที่ต้องการการปกป้องทะนุถนอมจากอารองเสมอ” หลิงมองมู่เฉียนซีอย่างเอ็นดู
มู่เฉียนซีไปที่ร้านขายโอสถเพื่อกวาดสมุนไพรวิญญาณต่าง ๆ มาครอบครองไว้เผื่อใช้ เดิมทีนางเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มีเงินทองมากมาย แต่หลิงก็นำป้ายโม่จิงออกมาใช้มันอย่างไม่บันยะบันยังจนถึงที่สุด (ป้ายโม่จิงคล้ายกับบัตรเครดิตในสมัยปัจจุบัน)
มู่เฉียนซีอึ้งเล็กน้อย ผู้ที่มีป้ายโม่จิงได้ อย่างน้อยต้องเป็นคนสำคัญจากกองกําลังของสำนักนิกายระดับสามถึงจะสามารถมีอยู่ในครอบครองได้
ดูเหมือนว่าเบื้องหลังของอารองจะเป็นสำนักนิกายระดับสาม
มู่เฉียนซีเอ่ยถามขึ้น “อารอง ข้าขอถามท่านตรง ๆ ท่านคิดว่าข้าฟุ่มเฟือยเกินไปหรือไม่ ?”
หลิงตอบ “อย่างไรเสียเจ้าสิ่งของนี้เมื่อเอามาให้ข้า ข้าก็มิจำเป็นต้องใช้ ซีเอ๋อร์ใช้มันให้หมดสิ้นไปได้สิยิ่งดี”
มู่เฉียนซีแสยะยิ้มเล็กน้อย เพราะก่อนที่บิดาของนางจะจากไปก็ทิ้งทรัพย์สินไว้ให้นางมากมายเสียจนนางใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย
แต่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า “อารอง” ผู้นี้ก็จะมีนิสัยนั้นเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง มู่เฉียนซีเห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปในร้านขายโอสถ คนเหล่านั้น… ช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยดีจริง ๆ “ท่านอารอง เราไปดูตรงนั้นกันเถิด”
“อะไร ? ไม่มียารึ ?” เสียงที่ฟังดูอาวุโสเสียงหนึ่งดังขึ้น
“แล้วนักปรุงยาที่ประจำอยู่ที่ร้านของพวกเจ้าล่ะ ? รีบไปตามเขามาเร็ว” ตามมาด้วยอีกเสียง
เมื่อนักปรุงยาประจำร้านโอสถแห่งนี้มาเห็นเข้าก็ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พิษที่เหล่าผู้อาวุโสทุกท่านถูกเล่นงานเข้าไปนั้น คนรุ่นหลังเช่นข้าไม่ทราบวิธีแก้ไขมัน ส่วนสมุนไพรวิญญาณที่พวกท่านผู้อาวุโสต้องการ ร้านโอสถของเราเป็นเพียงร้านเล็ก ๆ จึงไม่มีสมุนไพรเช่นนั้นอยู่เลย”
“คราวนี้แย่แล้ว” พวกเขาหลายคนมีสีหน้าฉงนสงสัยเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีจึงถามขึ้น “ที่ผู้อาวุโสทั้งหลายไป มิใช่ว่าไปช่วยอาจารย์ใหญ่ของสำนักย่อยการปรุงยาหรอกหรือ พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน โดนวางยาพิษรึ ?”
ผู้อาวุโสของสำนักย่อยการปรุงยาทั้งหลายหันไปมองมู่เฉียนซี แม้มู่ซีจะคุ้นเคยกับพวกเขามาก แต่เห็นได้ว่าการที่พวกเขามองมู่เฉียนซีนั้นก็ถือว่ามีอาการของคนแปลกหน้าอยู่บ้าง
“เจ้า… เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเรารึ ? ”
“ไม่สิ เหมือนว่าข้าจะเคยเจอเจ้าที่ไหนมาก่อน เจ้าคือเด็กคนที่เจ้าอาจารย์หนุ่มมู่ซีนั่นเรียกพวกข้าให้ไปให้ท้ายเจ้าเมื่อครั้งก่อนใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ ข้าจำได้แล้วว่าเจ้าเป็นว่าที่คู่หมั้นหมายกันไว้กับเจ้าหนูมู่ซี”
“พวกเจ้าว่าอะไรนะ ?”
เดิมทีพวกเขาถูกพิษเล่นงานจนเหลือโอกาสรอดได้แค่เพียงครึ่งหนึ่งก็แย่อยู่แล้ว มาตอนนี้จิตสังหารของหลิงเพ่งเล็งไปยังพวกเขาซ้ำอีก นั่นเกือบทำให้พวกเขาหมดสติ
พลังระดับมหาจักรพรรดิที่อยู่เหนือพวกเขาแข็งแกร่งมาก แกร่งมากเสียจนเกินเหตุ!
หลิงถามต่อว่า “หมั้นหมายกันไว้งั้นรึ ? เจ้าเด็กบัดซบคนไหนกันที่กล้าคิดเช่นนั้นกับหลานสาวของข้า ข้าจะเชือดมัน!”
ร่างของเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา ราวกับกําลังจะเข้าไปยังสมรภูมิแห่งความเป็นความตาย
เจตนารมณ์แห่งการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้หัวใจของผู้อาวุโสทั้งหลายเหล่านี้แทบทนไม่ไหว พวกเขามองมู่เฉียนซีด้วยสายตาเว้าวอนขอความช่วยเหลือ …ช่วยด้วย!
ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่ถูกพิษฆ่าตาย ก็คงถูกชายผู้นี้ทำให้ตกใจกลัวจนหัวใจวายสิ้นลมตายอย่างแน่แท้
มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้น “ท่านอารอง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ ล้างพิษให้ผู้อาวุโสเหล่านี้เสียก่อนเถอะนะ”
“หืม ? การล้างพิษจะง่ายดายขนาดนั้นได้ยังไง ในเมื่อไม่มีสมุนไพรวิญญาณ”
“หากเป็นมู่ซีละก็อาจจะมีวิธีอยู่บ้าง ตอนนี้พวกเราเหล่าผู้เฒ่าคงไม่วายต้องฟังชะตาฟ้าสั่งเสียแล้วล่ะ”
“ใช่… ช่างน่าเศร้า…”
มู่เฉียนซีถอนหายใจเบา ๆ นางกล่าว “อันที่จริงข้าสามารถถอนพิษให้ได้”