“ข้าไม่ตกลง!” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เขาไม่ได้สนใจอาถิง แต่ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียนซีและพยายามจะกอดนางไว้
เงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งซึ่งเร็วกว่าเขา ดึงมู่เฉียนซีจากไป
จิ่วเยี่ยจ้องมองชายชุดเขียวที่ดูเงียบสงบข้าง ๆ มู่เฉียนซีด้วยสายตาเย็นชา ความงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำนั่นทําให้ผู้คนรู้สึกประทับใจ!
จิตสังหารในดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกนั้นน่าหวาดกลัว และพลังที่แทบจะฉีกกระชากเลือดเนื้อมนุษย์ได้ในพริบตาก็พลันวนเวียนรอบตัวชิงอิ่ง
แต่ชิงอิ่งกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย
การโจมตีนี้มุ่งเป้าไปที่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น
ชิงอิ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่มีเลือดเนื้อและแน่นอนว่ามันไม่สามารถทำอะไรเขาได้
การโจมตีของจิ่วเยี่ยล้มเหลว อาถิงหัวเราะและกล่าว “หวงจิ่วเยี่ย เจ้าอย่าโอหังเกินไปนักเลย ในโลกนี้ยังมีคนที่เจ้าแตะต้องไม่ได้”
จิ่วเยี่ยขยับตัวเตรียมลงมือสังหารชิงอิ่งอีกครั้ง
มู่เฉียนซีรีบพูดขึ้นมาว่า “จิ่วเยี่ย เขาคือชิงอิ่ง!”
จิ่วเยี่ยย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของชิงอิ่ง หุ่นเชิดตัวนั้น
หุ่นเชิดไม่มีหัวใจไม่มีความรู้สึก เขาไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาเลย
“ปล่อยซี!” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา
เขาที่เป็นเหมือนดั่งจักรพรรดิผู้สูงส่งและมีอํานาจที่น่ากลัวได้ออกคำสั่งกับชิงอิ่ง
แต่ชิงอิ่งกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แววตายังคงสงบนิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันนี้
เขาเป็นหุ่นเชิด ที่กำหนดผู้เป็นเจ้านายอย่างชัดเจนนั่นก็คือเฉียน
คนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งเขา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอันน่าหวาดผวาของจิ่วเยี่ย ชิงอิ่งกล่าวเสียงต่ำว่า “บุรุษอันตราย”
สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าชายผู้นี้เป็นคนที่อันตรายและไม่อยากให้เฉียนเข้าใกล้
“อันตราย เฉียน ไป!” ชิงอิ่งคิดจะดึงมู่เฉียนซีหลบไป
จิ่วเยี่ยจะยอมให้หุ่นเชิดตัวนี้พามู่เฉียนซีไปต่อหน้าเขาได้อย่างไร!
บึ้ม! เสียงดังกึกก้อง
พื้นดินใต้เท้าของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับกระจกแตก
เมื่อทุกคนในสํานักศึกษาซวนเสียได้ยินเสียงนี้ ก็อึ้งไปเล็กน้อย!
อาจารย์ใหญ่ซวนพึมพํา “สาวน้อยนั่นไปห้ามแล้วหรือยัง? ทําไมถึงยังสู้กันอีก?”
“มันจะจบลงเมื่อไหร่กัน!”
มู่เฉียนซีก็รู้ว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ นางจึงพูดกับชิงอิ่งว่า “ชิงอิ่ง ปล่อยมือ! เขาเป็นคนที่สําคัญมากสําหรับข้าและไม่ใช่คนอันตรายอะไร”
มือของชิงอิ่งชะงักไป แต่ก็ยังคงปล่อยมือตามคําสั่งของมู่เฉียนซี ความรู้สึกผิดหวังพลันบังเกิดขึ้น
เมื่อได้ยินคําพูดของมู่เฉียนซี ใบหน้าของจิ่วเยี่ยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เขายื่นมือออกไปดึงมู่เฉียนซีเข้ามาในอ้อมแขนและกอดมู่เฉียนซีไว้แน่น
“ในเมื่อเจ้ายั่วโมโหข้า ก็อย่าได้คิดว่าข้าจะปล่อยไป แม้ต่อไปเจ้าจะเกลียดข้าก็ตาม!” เขากอดมู่เฉียนซีแน่นจนแทบอยากจะรวมนางเข้ากับร่างกายของเขา
อาถิงที่อยู่เบื้องหน้ามู่เฉียนซี กล่าว “ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ยั่วโมโหผู้ทำพันธสัญญาของข้าก่อนเป็นเจ้า เจ้ายังกล้าพูดออกมาเช่นนี้!”
เขากัดฟันแน่นและกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ในตอนนี้ แต่หวงจิ่วเยี่ย เจ้ารอข้าก่อน เมื่อข้าหายดีแล้ว ข้าจะโยนเจ้าเข้าไปในครรภ์มารดาแน่!”
“อาถิง!” มู่เฉียนซีตะโกนขึ้น
“อย่าเกลี้ยกล่อมข้า ข้าเห็นว่าเจ้าหลงใหลในความงามของเจ้าหมอนี่ ข้าเป็นผู้ทําพันธสัญญาของเจ้าและข้าผูกติดอยู่กับชีวิตของเจ้า ดังนั้นข้าจึงหวงแหนชีวิตของเจ้ามากกว่าใคร และไม่อยากให้เจ้าไปยุ่งวุ่นวาย”
“ข้ารู้!”
อาถิงโกรธ “เจ้ารู้? เจ้าไม่รู้อะไรเลยต่างหากล่ะ ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว”
พูดจบ อาถิงก็หายลับไปต่อหน้ามู่เฉียนซี แล้วกลับเข้าไปในมิติแห่งพันธสัญญาด้วยอารมณ์โกรธเคือง
“เจ้าหมอนี่กินชนวนระเบิดเข้าไปหรือไง” มู่เฉียนซีกล่าว
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้ “ซี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
หัวใจของมู่เฉียนซีสั่นเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นก็จดจําคําพูดของเจ้าไว้ให้ดี จิ่วเยี่ย!”
“เมื่อพลังของศาลาเรือนรางเก้าชั้นฟื้นฟูกลับมา ความทรงจําบางส่วนก็จะฟื้นฟูกลับมาด้วย มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าชิ้นเป็นเคล็ดเทพต้านสวรรค์ เมื่อยืนบนจุดสูงสุดของเวลานี้ แม้แต่เทพก็ยังไม่สามารถบรรลุได้”
“แม้แต่เขาก็ยังกลัวข้า ซีเจ้าไม่กลัวหรือ?” จิ่วเยี่ยกระซิบข้างหูนางเบาๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “กลัว! กลัวมากด้วย!”
รูม่านตาของจิ่วเยี่ยหดเล็กลงและแรงกอดก็รุนแรงขึ้น มู่เฉียนซีถูกรัดจนตัวแทบจะแตกสลาย “ตอนที่ไม่รู้จักเจ้าและไม่คุ้นเคยกับเจ้าข้ากลัวมาก เจ้าเป็นคนที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่ข้าพบเจอมาในชาติที่แล้วและชาตินี้ แต่หลังจากที่ค่อย ๆ ทําความคุ้นเคยกับเจ้าก็พบว่าเจ้าตามใจและคอยปกป้องข้า ความน่ากลัวของเจ้าไม่เคยทำอะไรข้าเลย ดังนั้นทําไมข้ายังจะต้องกลัว!” มู่เฉียนซีหัวเราะ
“ถ้าเจ้าไม่ปล่อยข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปล่อยเช่นกัน และถ้าเจ้าทำให้ข้าไม่เต็มใจที่จะปล่อย ถึงเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะปล่อยข้าไป ข้าก็จะมัดเจ้าไว้” มู่เฉียนซีจับจิ่วเยี่ยไว้พลางกล่าว
“เหตุผลที่อาถิงเป็นกังวล หนึ่งคือคําสาปของเจ้า สองคือกลัวว่าความแข็งแกร่งของข้าจะอ่อนแอเกินไปจนไม่ระวังถูกเจ้าลากเข้าไปพัวพัน และความตายที่ไม่อาจ…”
“อื้อ!” ริมฝีปากของมู่เฉียนซีถูกอุดไว้
คําสุดท้ายของนางไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาไม่อยากที่จะได้ยินนางพูดคําว่า “ตาย” และเขาจะไม่ยอมให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายใด ๆ อย่างเด็ดขาด
อาจารย์ใหญ่ซวนและพรรคพวกเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เฉียนซี แต่เมื่อพวกเขาแอบมาดูพวกเขาก็เห็นเงาสีดําและสีม่วงกําลังกอดกันอยู่บนยอดเขาที่แตกร้าว
ใบหน้าของเขาแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ!
ดวงตาของซวนอี้ที่ตามมาฉายแววหม่นหมอง นางโดดเด่นและงดงาม จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็ถูกดึงดูดเข้าแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าบุรุษข้างกายนางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้
และเขาคงเป็นไปไม่ได้!
อาจารย์ใหญ่ซวนตบไหล่ลูกศิษย์ของตัวเองเบา ๆ “เฮ้อ! เป็นเรื่องยากมากที่เจ้าหนูนี่จะหวั่นไหว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสาวน้อยผู้นี้ที่เป็นไปไม่ได้เลย”
ซวนอี้กล่าว “ข้ากับเฉียนซี เป็นเพื่อนกัน!”
เขาแค่หวั่นไหว และยังไม่ได้จมดิ่งลงไปมาก เขารู้สถานะตัวเองดี และไม่ได้หวังอะไร
อาจารย์ใหญ่ซวนหัวเราะ “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
แคว่ก! จิ่วเยี่ยลืมตัวใช้แรงมากไป แผลที่เขาพันแผลให้มู่เฉียนซีตอนนี้แตกออกแล้ว
ปัง! มู่เฉียนซี แม้ว่าจะไม่มีคําสั่งของมู่เฉียนซี แต่ชิงอิ่งก็ลงมือกับจิ่วเยี่ยทันที
จิ่วเยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมู่เฉียนซีและหลบการโจมตีนี้
ชิงอิ่งคิดจะพามู่เฉียนซีไป แต่กลับถูกจิ่วเยี่นสกัดกั้นไว้ จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามันรนหาที่ตายนัก!”
ปัง!
ร่างสีดําและสีเขียวตัดสลับเข้าด้วยกันและทุกคนต่างก็ทําอะไรไม่ถูก นี่พวกเขาสู้กันอีกแล้ว
จวินโม่ซีที่อยู่ด้านข้างก็คอยสนับสนุน เขายกนิ้วโป้งให้พลางกล่าว “หัวไม้ เยี่ยมมาก! ไอ้น้องชาย ข้าอยู่ข้างเจ้าอย่างแน่นอน!” จิ่วเยี่ยช่างวิปริตจริง ๆ จวินโม่ซีจะไม่หาเรื่องเขาอย่างไม่ประมาณตนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นชิงอิ่งหาเรื่องเขา เขาก็รู้สึกสะใจมากเช่นกัน