นักศึกษาทุกคนมีสายตาแห่งการรอคอย ซวนอี้ที่ถูกอาจารย์ใหญ่คอยให้ท้ายนั้นจนปัญญา
ผู้ที่เข้ารอบสิบอันดับสุดท้ายได้เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง!
ฝ่ายหนึ่งมีเพียงหนึ่งคน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมีถึงเก้าคน! การประลองที่ชวนดุเดือดนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เมื่ออวิ๋นอ้าวที่ได้รับบาดเจ็บได้เห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกไม่เลวเลย แม้ว่าเขาจะเพิ่งพ่ายแพ้ไปเมื่อครู่ก็ตาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ซวนอี้ถูกรุม นึกไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็จะมีวันนี้เหมือนกัน!”
ถึงแม้ว่าซวนอี้จะพ่ายแพ้ให้แก่มู่เฉียนซี แต่ว่าในสายตาของคนจากสำนักส่วนในของสำนักศึกษาซวนเสีย เขาก็ยังเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพบูชาอยู่เหมือนเดิม
ในตอนนี้พวกเขาล้วนแต่รอดูอัจฉริยะผู้เป็นที่เคารพผู้นี้ถูกอัจฉริยะอีกเก้าคนเข้ารุมตี!
พลังความสามารถของมู่เฉียนซีนั้นอ่อนแอที่สุด แต่ความเร็วของนางนั้นไวที่สุด เช่นนั้นแน่นอนว่านางไม่ได้เป็นตัวถ่วงในการโจมตีหลัก
นางได้กลายเป็นผู้สั่งการแผนการในการประลองครั้งนี้ และยังเป็นผู้ที่คอยใช้วิธีการต่อสู้อันดำมืดอีกด้วย
“เริ่มได้!” ผู้ตัดสินได้ร้องประกาศขึ้น!
เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันแข็งกล้าที่ฝ่ายตรงข้ามได้ปล่อยออกมานั้น ซวนอี้จึงรีบหลบหลีก
บึ้ม!
ไม่นานนักการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้น มู่เฉียนซีหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น จึงทำให้ซวนอี้ไม่อาจที่จะหาได้พบว่านางอยู่ที่ไหน
เขาจึงต้องระวังตัว ทันทีที่มู่เฉียนซีลงมือโจมตี เช่นนั้นจะต้องอันตรายอย่างมากเป็นแน่
ยิ่งเขาคิดเช่นนี้ก็ยิ่งวิตกและหวั่นกลัว แบบนี้มันไม่เป็นผลดีต่อเขาเป็นอย่างมาก
ปัก ปัก ปัก!
เงาร่างทั้งสิบเงาร่างได้ตัดกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ต่อสู้อย่างดุเดือด นั่นทำให้เหล่าบรรดาผู้ที่ชมดูอยู่นั้นรู้สึกลายตา
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
เงาร่างสีเงินนั้นยังคงนิ่งสงบอยู่เช่นเดิมแม้ตกอยู่ในวงล้อมของการโจมตี
แต่เมื่อเงาร่างสีม่วงเงานั้นเข้ามาใกล้ สีหน้าของซวนอี้ก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก!
มู่เฉียนซีลงมือเสียแล้ว!
นางลงมือแล้ว!
หลบ!
มู่เฉียนซีได้พุ่งขึ้นไปบนอากาศและเพ่งเล็งไปที่เขา จากนั้นกระบวนท่าโจมตีกระบวนหนึ่งก็ได้พุ่งลงมา “ทักษะเทียนซวน!”
พลังความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีในตอนนี้ลดลงไปจากก่อนหน้านี้ไม่น้อย ดังนั้นแล้วความรุนแรงของมันจึงไม่เท่าเมื่อก่อน
ถึงแม้ว่าจะได้สร้างความวุ่นวายให้แก่ซวนอี้ไม่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซวนอี้ล่วงเวทีประลองไปได้
ส่วนคนที่เหลือนั้น ได้ถือโอกาสในตอนนี้โจมตีเขาอย่างจะเอาให้จบสิ้น พวกนั้นพุ่งเข้าไปเหมือนฝูงผึ้งทั้งรังและได้โจมตีถล่มใส่ซวนอี้อย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
ตูม!
จังหวะการต่อสู้ของซวนอี้นั้นได้ถูกทำให้ยุ่งเหยิงเพราะการโจมตีที่บ้าคลั่งเหมือนดั่งหมาป่าที่หิวโหยและโหดเหี้ยมของคนกลุ่มนี้
บนหน้าผากของเขาได้มีเหงื่อไหลออกมา และนานเข้ายิ่งจะรับมือกับพวกบัดซบนี่ได้ยากขึ้นทุกที
อวิ๋นอ้าวหัวเราะพร้อมกล่าว “ฮ่าฮ่าฮ่า! ซวนอี้ เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกัน!”
“ศิษย์พี่ซวนอี้กำลังจะแพ้แล้ว!”
“ศิษย์พี่ซวนอี้เองก็มีตอนที่พ่ายแพ้ให้กับสหายผู้อื่นนอกจากมู่เฉียนซีเหมือนกัน”
“……”
ซวนอี้กำลังจะแพ้แล้ว เขาไม่สามารถทนรับได้ไหวแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ทุกท่าน ถึงเวลาที่จะโจมตีพิฆาตซวนอี้แล้ว ลงมือ!”
“ได้!”
ในที่สุดก็จะได้โจมตีให้ซวนอี้แพ้อย่างราบคาบแล้ว พวกเขานั้นก็ดูเหมือนกับตื่นเต้นขึ้นมา
“หมัดเมฆาคลั่ง!”
“ดาบสายฟ้าฟาด!”
“……”
“……”
ครืน! ไม่นานนักซวนอี้ก็ได้ถูกกระบวนท่าต่าง ๆ ล้อมเอาไว้
ทุกคนต่างรู้สึกว่า ศิษย์พี่ซวนอี้นั้นจบสิ้นอย่างอนาถจริง ๆ
เงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ บนใบหน้าที่งดงามอย่างหาที่ใดเทียบได้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นางลอยอยู่กลางอากาศอย่างสง่างามดั่งสายลม และเหมือนล่องลอยไปทั่วเพื่อชื่นชมสิ่งต่าง ๆ เรื่อยเหมือนไม่ใช่สนามประลอง
แน่นอนว่านี่เป็นภาพลวงตาชั่วขณะ!
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังรวบรวมพลังหัตถ์ทำลายล้างที่น่ากลัวนั้นอยู่ ที่บนพื้นดินก็พลันสั่นไหวขึ้นมา
“ทักษะเทียนซวน!”
ตูม! เสียงกึกก้องเสียงหนึ่งดังขึ้น ทั้งตัวของซวนอี้นั้นได้กระเด็นลอยออกไปไกลนับร้อยเมตร
“พวกเราชนะแล้ว!”
“พวกเราชนะแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! สามารถเอาชนะซวนอี้ได้สักครั้งหนึ่งมันช่างงดงามยิ่งนัก!”
“……”
หลังจากการรุมต่อสู้จบลง การประลองเพื่อคัดเลือกก็ได้ปิดฉากลงตามไปด้วย
“เอาละ! ทั้งหมดไปพักผ่อนได้! ช่วงสองสามวันนี้พักผ่อนเสียให้ดี เมื่อถึงเวลาแล้วก็เดินทางไปทวีปเหลยโจวกับข้าและเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ร้อยสำนัก!”
“รับทราบ!”
หลังจากการแข่งขันเพื่อคัดเลือกจบลงแล้ว แน่นอนมู่เฉียนซีก็ได้ไปหาอาจารย์ใหญ่
“สิบสองครั้ง อาจารย์ใหญ่มีทักษะการหลอมอาวุธที่ไม่เลวเลย” มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แต่อาจารย์ใหญ่กลับไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก “เฮ้อ! ทำให้มันสามารถทนทานได้เพียงแค่เท่านี้ มันช่างน่าอับอายเสียจริง ๆ สาวน้อย เจ้าจงอย่าได้พูดออกไปเด็ดขาดว่ากระบี่เล่มนี้ข้าเป็นผู้ตีขึ้นมา”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ใหญ่ตีกระบี่ขึ้นมาให้ข้าโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ อย่างใจดี แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้า”
อาจารย์ใหญ่ยิ้มแล้วกล่าว “ถือว่าเจ้าสาวน้อยผู้นี้มีคุณธรรม”
เขากล่าวขึ้นต่อ “สถานที่จัดการแข่งขันใหญ่ร้อยสำนักในครั้งนี้จัดที่ทวีปเหลยโจว และที่ทวีปเหลยโจวนั้นมีร่องรอยของสนามรบโบราณอยู่เจ็ดแห่ง เจ้ามีปลายกระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาต เมื่อถึงตอนนั้นจงสังเกตให้ดีเสียหน่อย บางทีอาจจะได้อะไรบางอย่างกลับมาก็ไม่แน่”
“เจ้าไม่มีกระบี่ที่ดีสักเล่มเช่นนี้ มันก็มีปัญหาวุ่นวายอยู่บ้าง!”
หากอยู่ในการต่อสู้แล้วได้ใช้กระบี่ไปจนถึงสิบสองครั้งแล้ว ก็จะขาดอาวุธในการสังหารไป สำหรับนางแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเองก็รู้ ข้าจะหาวิธีหาตัวกระบี่มังกรเพลิงให้พบ!”
ส่วนเรื่องอื่นนั้น อย่างไรเสียฟังอาถิงเสียก็จะดีกว่า
อาจารย์ใหญ่จะได้ศึกษาในกระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาตเป็นอย่างดี และในขณะเดียวกันอาถิงที่เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นก็รู้จักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นอย่างดี
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้มอบหน้าที่ของการตีกระบี่ให้แก่อาจารย์ใหญ่แล้ว นางก็ได้กลับไปที่หอจวี้หลิงเพื่อฝึกบำเพ็ญต่อ และรอการแข่งขันใหญ่ร้อยสำนักเริ่มขึ้น
เมื่ออาจารย์ใหญ่ได้นำตัวกระบี่กับปลายกระบี่มังกรเพลิงหลอมประสานเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เตรียมตัวที่จะออกเดินทางไปทวีปเหลยโจว
อาจารย์ใหญ่ซวนและผู้อาวุโสสูงสุดได้นำกลุ่มของสำนักศึกษาไปด้วยตนเอง
พวกเขาพานักศึกษาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันไปด้วยสิบคน และเดินทางมุ่งไปยังทวีปเหลยโจว!
พวกเขาได้เดินทางมาถึงทวีปอวิ๋นโจวด้วยมิติส่งตัวระยะไกล จากนั้นก็ได้เดินทางทะลุผ่านทวีปอวิ๋นโจวเข้าสู่ทวีปเหลยโจว
การแข่งขันใหญ่ร้อยสำนักนั้นไม่ได้จัดขึ้นที่เมืองเหลยเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลักของทวีปเหลยโจว แต่จัดขึ้นที่เขาจิ่วเหลย
ที่ด้านล่างของภูเขานั้นมีเมืองขนาดกลางอยู่เมืองหนึ่งที่เรียกขานกันว่าเมืองจิ่วเหลย เมื่อพวกมู่เฉียนซีได้มาถึงก็เดินทางต่อไปยังเมืองจิ่วเหลยโดยไม่หยุดพักเท้า
เมืองจิ่วเหลยในตอนนี้ผู้คนล้นหลามแล้ว นักศึกษามากมายได้เดินทางมาถึงแต่โดยไว
ถ้าหากมิใช่เพราะว่าอาจารย์ใหญ่นั้นได้จองโรงเตี๊ยมไว้ตั้งแต่แรกละก็ พวกเขาคงต้องนอนข้างถนนแน่แล้ว
สำนักนิกายระดับสองจำนวนร้อยสำนักศึกษา เช่นนั้นก็คือการแข่งขันกันของกองกำลังสำนักนิกายระดับสองทั้งหมดร้อยแห่ง
ทวีปเซี่ยโจวเมื่อก่อนหน้านี้มีสำนักนิกายระดับหนึ่งเพียงสำนักเดียวก็สามารถกลายเป็นราชาผู้ทรงอำนาจได้แล้ว แต่มาวันนี้สำนักนิกายระดับสองในแดนใต้กลับมีอยู่ไม่น้อยเลย
สำนักศึกษาขั้นสำนักนิกายระดับสองที่มาเข้าร่วมเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสำนักของพวกเขาเหล่านั้นเพียงเท่านั้น
โรงเตี๊ยมที่สำนักศึกษาซวนเสียจองเอาไว้นั้นไม่ใช่ที่ที่หรูหราที่สุด แต่ก็นับได้ว่าสะอาดและสงบ
พวกเขาเพิ่งจะจัดสรรห้องพักเสร็จก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนที่เข้ามานั้นมีจำนวนยี่สิบกว่าคนและสวมทองประดับเงิน เมื่อมองดูแล้วเหมือนราวกับว่าทองคำเหล่านั้นกำลังขยับตัวได้
แสงอันเจิดจ้าเสียดตาได้สาดส่องเข้ามา เมื่อชายหน้ากลมที่เป็นผู้นำเริ่มขยับมือ หยกวิญญาณจำนวนมากก็ได้ถูกเขานำออกมา เขากล่าวขึ้น “โรงเตี๊ยมแห่งนี้พวกเราจะเหมาทั้งหมด! ให้พวกเขาเปลี่ยนโรงเตี๊ยมเสีย!”
เห็นได้ชัดเลยว่าเขามาเพื่อชิงโรงเตี๊ยม และยังร่ำรวยเป็นอย่างมากอีกด้วย ร่ำรวยอย่างสุดขั้น!”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าว “คาดว่าคุณชายทุกท่านคงจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจินซิน! สำนักศึกษาจินซินคงจะได้จองโรงเตี๊ยมที่ดีกว่านี้ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงได้มาที่โรงเตี๊ยมอันเรียบง่ายของข้าด้วยเล่า!”
พวกเขาได้โยนหยกวิญญาณออกมาอีก จำนวนของมันนั้นสามารถที่จะซื้อโรงเตี๊ยมของเขาเอาไปได้ทั้งโรงแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นจิตใจของเขาให้เห็นแก่ผลประโยชน์ได้
อย่างไรเสียไม่ว่าเป็นสำนักศึกษาใด ให้อยู่ในขั้นอ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นสำนักนิกายระดับสอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ อย่างพวกเขาจะไปล่วงเกินได้
“ข้าชอบโรงเตี๊ยมของเจ้าเสียแล้ว ให้พวกเขาทั้งหมดออกไป!”