ฝ่ายตรงข้ามราวกับชายหนุ่มผู้มั่งคั่งมาปล้นตัวหญิงสาวก็มิปาน แต่จินซ่านซ่านในตอนนี้กลับหลบอยู่หลังมู่เฉียนซีอย่างอ่อนแอ
“ข้าไม่ไปกับมัน หากมันเอาตัวข้าไปมีหวังมันต้องทรมานข้า กดขี่ข่มเหงข้า ไม่ให้ข้ากินข้าวเป็นแน่ คนงามมู่ เจ้าต้องปกป้องข้านะ!” ตอนนี้จินซ่านซ่านกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น
อวี้จี๋กล่าวอย่างดูถูกเยียดหยามเขาว่า “เจ้ามันอ่อนแอจนต้องให้ผู้หญิงปกป้อง ต่อให้เจ้าจะร้องห่มร้องไห้มันก็ไร้ประโยชน์!”
เขาเหลือบมองมู่เฉียนซี “บอกข้ามาว่าพวกเจ้าตัดสินใจเช่นไร”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “พวกเจ้ารู้ว่าจินซ่านซ่านนั้นเป็นคนที่โชคดีมาก พวกข้าอยู่กับเขามาวันนึง แน่นอนว่าพวกข้าก็รู้เช่นกัน ในเมื่อสำนักศึกษาซวนเสียของพวกข้าคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบแรกมาได้ เช่นนั้นเป้าหมายการแข่งขันในรอบที่สอง ก็เป็นเช่นเดิม ความสามารถของจินซ่านซ่านนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าไม่ยอมส่งตัวเขาให้พวกเจ้าเด็ดขาด”
อวี้จี๋หัวเราะขึ้น “อันดับหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า นี่พวกเจ้าคิดจะเอาอันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบสองอย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนพวกเจ้าจะโชคดีที่ได้อันดับหนึ่งมาในรอบแรก แล้วยกตนข่มท่านมากเกินไปจนไม่รู้จักประมาณตน เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจที่จะทำให้พวกเจ้าได้เห็น ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเจ้าจะเก่งกาจสักแค่ไหน” อวี้จี๋กล่าวเย้ยหยัน
“ในเมื่อพวกมันไม่ยอมส่งตัวมา พวกเราก็แย่งชิงตัวจินซ่านซ่านมาก็จบเรื่องแล้ว”
ขวั่บ ขวั่บ ขวั่บ! ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มลงมือแล้ว
ทางฝ่ายของพวกเขามีคนเยอะกว่า!
จินซ่านซ่านยิ้มพลางกล่าวอย่างลำพองใจ “อวี้จี๋ เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าเจ้าจะแย่งตัวข้าไปได้ ฝ่ายข้ามีคนเยอะกว่า สองรุมหนึ่งพวกเจ้าคิดดูสิ”
อวี้จี๋กล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “รับมือกับสวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า อย่าว่าแต่หนึ่งต่อสองเลย ต่อให้เป็นหนึ่งต่อสิบก็เหลือเฟือ!”
ตูม! หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ก็ได้เริ่มลงมือโดยสมบูรณ์แล้ว
ผลลัพธ์คือ ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นห่างชั้นกันมากจนทำให้จินซ่านซ่านนั้นรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
ทางฝ่ายของพวกเขาเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ระดับหก ส่วนคนของสำนักศึกษาอวี้หุนอยู่ที่ระดับเจ็ด สองรุมหนึ่งก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้
อวี้จี๋กล่าว “จินซ่านซ่าน ผู้ช่วยที่เจ้าหามา ยังอ่อนแอกว่าพวกสวะไร้ประโยชน์เหล่านี้ของสำนักศึกษาจินซินของพวกเจ้าเสียอีก แต่ก็อย่างว่าแหละนะ คนที่มีความแข็งแกร่งอันน้อยนิด ก็ไม่ได้เห็นค่าของสำนักศึกษาจินซินอย่างพวกเจ้าเลย”
จินซ่านซ่านกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ โกรธจนแทบอยากจะกัดคออวี้จี๋แล้วดูดเลือดเขาให้หมดตัว เจ้าหมอนี่เหตุใดถึงได้ปากปีจอเช่นนี้
ซวนอี้กล่าว “จะทำเช่นไรดี ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “จัดการหัวหน้ามันก่อน เจ้าไปรับมือกับอวี้จี๋นั่น ส่วนคนอื่นยังพอรั้งมือเอาไว้ได้สักช่วงหนึ่ง”
“ได้!” ซวนอี้ร่นตัวลงมาปรากฏตัวตรงหน้าอวี้จี๋
อวี้จี๋ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สำนักศึกษาซวนเสียที่อยู่อันดับรั้งท้ายในทุกปี นึกไม่ถึงว่าจะมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่
อวี้จี๋กล่าวอย่างอวดดีว่า “ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะไม่อาจประมาทได้ แต่เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
ปัง!
ทั้งสองได้ปะทะกันแล้ว และทั้งสองฝ่ายก็ได้เข้าสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แม้แต่จินซ่านซ่านผู้ที่ถูกชิงตัวก็ลงมือแล้วเช่นกัน
ช่างน่าเสียดายที่ระดับการต่อสู้ของนายน้อยผู้นี้ทนดูไม่ได้จริง ๆ!
ฟึ่บ! ในตอนนี้เองเข็มยาเข็มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมุมมืดและปักเข้าคอของอวี้จี๋
ปั่ก!
ชั่วครู่หนึ่งอวี้จี๋ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว และไม่สามารถใช้ทักษะวิญญาณใดได้
ร่างชุดม่วงได้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังอวี้จี๋ คมกระบี่เล่มหนึ่งได้ทาบอยู่ที่คอของอวี้จี๋แล้ว
“อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้าเชียวนะ หากคมกระบี่นี้เชือดคอเจ้าขึ้นมา ต่อให้ไม่ตายเจ้าก็ต้องถูกคัดออกจากการแข่งขันเป็นแน่”
อวี้จี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้า นี่เจ้าลอบโจมตีข้า วางยาพิษข้า ช่างไร้ยางอายและน่ารังเกียจยิ่งนัก!”
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม การแข่งขันในรอบแรกก็คว้าอันดับหนึ่งมาได้ แต่นางก็เป็นแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งเท่านั้น คนเช่นนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาตั้งแต่แรก
อวี้จี๋ไม่ได้สนใจอะไรนาง แต่ต่อให้เขาตายเขาก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพ่ายแพ้เพราะหญิงสาวผู้นี้
ส่วนคนอื่น ๆ ในตอนนี้ถูกคนของสำนักศึกษาอวี้หุนโจมตีอย่างหนักหน่วงแล้ว
เดิมทีสำนักศึกษาอวี้หุนคิดว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา ไม่นานก็สามารถเอาตัวจินซ่านซ่านผู้หาสมบัติผู้นี้ไปได้ แต่นึกไม่ถึงเลย…
พี่ใหญ่ของพวกเขาตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นแล้ว อีกทั้งยังถูกคนผู้นั้นควบคุมอีกด้วย
มู่เฉียนซีกล่าว “หากพวกเจ้าไม่อยากบอกลาพี่ใหญ่ของพวกเจ้าแล้วล่ะก็ วางมือซะ!”
พวกเขาจำใจต้องวางมือ และจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี
จินซ่านซ่านยิ้มพลางกล่าวว่า “สมกับเป็นคนที่ข้าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก เข็มเดียวเห็นเลือด จัดการได้ในคราเดียว”
เขาชื่นชมคนงามที่เป็นยันต์ป้องกันตัวให้เขา เขามองคนไม่ผิดแน่ สายตาเขาช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก
“เลวทรามต่ำช้าเกินไปแล้ว!”
“แน่จริงก็ต่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้าสิ!”
“……”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็แค่ต้องการพาผู้มีความสามารถในการล่าหาสมบัติเข้ารอบสองอย่างเงียบ ๆ แต่พวกเจ้ารนหาที่เอง ข้าก็แค่ใช้วิธีที่เร็วที่สุดและสะดวกที่สุดจัดการปัญหาในครั้งนี้ก็เท่านั้น”
อวี้จี๋กล่าวเสียงขรึมว่า “ปล่อยข้าไป ครั้งนี้ก็ถือซะว่าให้แล้วกันไป”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้น “เจ้าหมายความว่า ครั้งนี้ให้แล้วกันไป แต่ก็ยังมีครั้งหน้าอีก!”
อวี้จี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หากให้สู้กันจริง ๆ ข้าก็ไม่กลัวพวกเจ้า แต่ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ ไม่อยากจะเสียเวลา เสียกำลังกับพวกเจ้า ดังนั้น…”
มู่เฉียนซียกมือข้างหนึ่งขึ้น เข็มยาอีกเข็มหนึ่งก็แทงเข้าที่คอของอวี้จี๋
เฮือก! อวี้จี๋อ้าปากค้าง
“นี่เจ้า…เจ้าวางยาพิษข้าอีกแล้ว!” อวี้จี๋โกรธเกรี้ยวล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่เฉียนซีเก็บกระบี่และเดินออกมา ตอนนี้อวี้จี๋พุ่งเข้าหาพลางกล่าว “เจ้า รนหาที่ตาย…”
ซวนอี้เข้ามาขวางด้านหน้ามู่เฉียนซี และกล่าวกับอวี้จี๋ว่า “เจ้าลองลงมือดูสิ!”
ทว่า ซวนอี้ยังไม่ทันได้ลงมือ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับกระแสน้ำโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงก็มิปาน ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นก็บิดเบี้ยวขึ้น
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าช่างมีความกล้าหาญยิ่งนัก โดนพิษของข้าเข้าไปยังกล้าลงมือกับข้าอีก”
อวี้จี๋กล่าว “ยาแก้พิษ เอายาแก้พิษมาให้ข้า ต่อไปนี้ข้าจะไม่มาวุ่นวายกับพวกเจ้าอีก แล้วข้าจะไม่แย่งตัวจินซ่านซ่านแล้ว”
จินซ่านซ่านกล่าว “อย่าเชื่อมัน เมื่อครู่มันยังกลับคำจะลงมือกับเจ้าอยู่เลย เจ้าหมอนี่เป็นคนใจแคบมาโดยตลอด ชอบคิดเล็กคิดน้อย ตระหนี่ถี่เหนียว หากมันได้ยาแก้พิษไปมันต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะต่อกรกับพวกเจ้าแน่”
“จินซ่านซ่าน เจ้า…” สีหน้าของอวี้จี๋พลันเปลี่ยนไปดำเสียยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก
“เฮ้อ ก็ข้าพูดความจริงทั้งนั้น เป็นมนุษย์ซื่อสัตย์เกินไปก็ไม่ดีอีก” จินซ่านซ่านกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ
อวี้จี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
มู่เฉียนซีกล่าว “พิษนั้นในร่างกายเจ้า หากเจ้าไม่ลงมือกับข้ามันก็จะไม่กำเริบขึ้น”
เมื่อมู่เฉียนซีกล่าวจบ อวี้จี๋ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แล้ว
ไม่เป็นอะไรจริง ๆ ด้วย!
“ตกลงเจ้าจะเอายังไงถึงจะยอมเอายาแก้พิษให้ข้า ?” อวี้จี๋กล่าว
“เพื่อความปลอดภัยของข้า แน่นอนว่าหลังจากที่การแข่งขันในรอบสองจบลง” มู่เฉียนซีตอบ
พิษที่แปลกประหลาดอยู่ในร่างกายตนเองนานมากเช่นนี้ แค่อวี้จี๋คิดเขาก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวแล้ว
ทว่า เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่เชื่อใจเขา เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเรา ไปกันเถอะ!”
ครั้งนี้นับว่าพวกเขาได้จดจำเอาไว้แล้ว ถึงอย่างไรพิษนี้ก็ไม่ได้เป็นภัยแต่อย่างใด ก็ทำได้เพียงแค่นี้แล้ว
ในขณะที่อวี้จี๋กำลังจะพาคนของเขาจากไปนั้น มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “ช้าก่อน! นี่พวกเจ้าคิดจะจากไปดื้อ ๆ เช่นนี้อย่างนั้นเหรอ ?”