บทที่ 241 บริษัทจื่อจินมาเยือน
เมื่อได้ยินประโยคทักแบบนี้อีกรอบ หลี่จิงเทียนก็ยิ่งขนหัวลุก ไม่เข้าใจว่าอวี้ฮ่าวหรานทักเกี่ยวกับออฟฟิศส่วนตัวของตัวเองอีกรอบทำไม ดังนั้นเขาจึงคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ชอบใจกับสภาพออฟฟิศของเขาแน่ ๆ
“อ..เอ่อ พี่เขย ถ้าหากพี่ไม่ชอบ ด…เดี๋ยวผมจะให้คนมายกพวกมันออกไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย! ผ…ผมเองก็ไม่ชอบพวกมันแล้วเช่นกัน!”
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร ๆ แค่นี้ฉันยังพอรับได้”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมอย่างฉับพลันเมื่อพูดประโยคถัดไป
“ตราบใดที่แกไม่ได้ทำสิ่งที่ฉันรับไม่ได้ แกจะสามารถมีความสุขได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไร”
แน่นอนว่านี่คือคำขู่อย่างเด่นชัด
จากนั้นภายใต้ความเงียบงัน อวี้ฮ่าวหรานเคาะมุมโต๊ะทำงานของหลี่จิงเทียนเบา ๆ ซึ่งในชั่ววินาทีถัดมา มุมโต๊ะที่ถูกเคาะก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงและปลิวว่อนไปทั่วทั้งห้อง
ภาพนี้ทำให้หลี่จิงเทียนเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว
“พ…พี่เขยไม่ต้องกังวล! ผ…ผมไม่ทำอะไรให้พี่ผิดหวังแน่ ๆ!!”
หลี่จิงเทียนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดในขณะที่เหลือบมองมุมโต๊ะที่หายไป
โต๊ะนี้ทำจากไม้ที่แข็งสุด ๆ! แต่มันเป็นไปได้ยังไงกันที่โดนเคาะนิดเดียวแล้วมันจะสลายกลายเป็นฝุ่นได้แบบนั้น!
หากมันเป็นฉันแทนล่ะก็…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่จิงเทียนก็ยิ่งใจเต้นตูมตาม
อย่างไรก็ตาม หลังจากขู่เสร็จเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจหลี่จิงเทียนอีก
การขู่แบบนี้น่าจะเพียงพอที่จะทำให้คนขี้ขลาดอย่างหลี่จิงเทียนหวาดกลัว
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานจากไปแล้ว หลี่จิงเทียนก็ค่อย ๆ ชะโงกหน้ามองประตูที่ยังเปิดอ้าอยู่ว่าที่ด้านนอก …อวี้ฮ่าวหรานจากไปหรือยัง?
เมื่อเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว ก็รีบย่องไปที่ประตูเพื่อปิดเและล็อคทันที
จากนั้นหลี่จิงเทียนจึงรีบกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อโทรศัพท์ออกไปหาหลี่อิงไห่
“ลุงสอง! พี่เขยของผมเดาได้แล้วว่าพวกเราติดต่อกัน พวกเราจะทำยังไงกันดี! หากเขา…”
“ปั้ดโธ่เอ๊ย นี่แกจะกลัวอะไรนักหนา! ไอ้เด็กนั่นมันมีแขนมีขามากกว่าแกหรือไง?”
เมื่อได้รับสายและได้ยินน้ำเสียงที่แตกตื่นของหลานตัวเอง หลี่อิงไห่พลันรู้สึกไม่พอใจ อีกทั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เขาก็ตะคอกแทรกทันที เขาเบื่อในความไร้น้ำยาของหลานคนนี้มาก ๆ
“ลุงไม่เข้าใจหรอก! อวี้ฮ่าวหรานน่ากลัวมากกว่าที่ลุงคิด! ถ้าเขาจับได้ขึ้นมาผมตายแน่ ๆ!” หลี่จิงเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังคงหวาดกลัว
“ช่างเถอะ ในเมื่อแกขี้ขลาดมากขนาดนี้ถ้างั้นนับจากนี้แกไม่ต้องติดต่อมาอีก เดี๋ยวฉันจะหาวิธีของฉันเอง…แค่นี้แหละ!”
หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลี่อิงไห่ก็วางสายไปในทันทีหลังจากพูดจบ บางทีการร่วมมือกับหลี่จิงเทียนที่ไร้น้ำยามันอาจจะเป็นผลเสียมากกว่า
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ช่วงเวลาราว 10 โมงกว่า ๆ
ขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่ในออฟฟิศของเขา ผู้จัดการหวังก็เคาะประตูขอเข้าพบเขาอีกครั้ง
“ท่านประธานอวี้ บ่ายนี้บริษัทจื่อจินขอนัดพบกับท่านเพื่อคุยเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจ ท่านต้องการจะไปพบกับพวกเขาด้วยตัวของท่านเองไหม หรือจะให้ผมไปพบกับพวกเขาตามลำพัง?”
“บริษัทอสังหาฯ จื่อจินใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหรานถามกลับ
“ใช่แล้วครับท่านประธาน พวกเขาแจ้งว่า พวกเขาต้องการขอความร่วมมือกับเราเพื่อที่จะพัฒนาที่ดินบริเวณแถวนี้ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเรา พวกเขาจึงอยากจะคุยเรื่องข้อตกลงกับเรา”
เมื่อเห็นสีหน้าที่สงสัยของอวี้ฮ่าวหราน ผู้จัดการหวังจึงอธิบายเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่นึกมาก่อนว่าอวี้ฮ่าวหรานจะรู้จักบริษัทจื่อจินมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ประธานบริษัทจื่อจินคือกัวหย่งซินใช่ไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานถามกลับ ซึ่งคำถามนี้ทำให้ผู้จัดการหวังประหลาดใจ
“เอ๊ะ? ถูกต้องแล้วครับท่านประธาน อันที่จริงผมเองได้ถือวิสาสะตอบรับการพบปะนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมคิดว่าความร่วมมือนี้มันค่อนข้างใหญ่ผมก็เลยมาถามท่านดูว่าท่านอยากจะไปคุยด้วยตัวเองหรือไม่?”
“แน่นอน ผมไปแน่นอน”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“คุยไปเตรียมห้องประชุมให้พร้อม พวกเขามาถึงเมื่อไหร่รีบแจ้งผมทันที ผมจะออกไปเจอพวกเขาด้วยตัวเอง”
หลังจากได้รับคำสั่ง ผู้จัดการหวังก็ออกไปเตรียมทุกอย่างทันที
บ่ายโมงตรง…
ผู้จัดการหวังเข้ามาในออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานอีกครั้ง
“ท่านประธานครับ ตอนนี้คณะของบริษัทจื่อจินมาถึงเรียบร้อยแล้ว ผมจัดให้พวกเขานั่งรอกันที่ห้องรับรองก่อน ท่านต้องการให้ผมทำอะไรต่อไปดี?”
เมื่อได้ยินคำแจ้งนี้ อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการหวังและออกคำสั่งด้วยสีหน้าเบิกบาน
“เข้าใจแล้ว ผมจะไปพบกับพวกเขาเดี๋ยวนี้ ส่วนคุณไปเตรียมข้อมูลที่จะคุยกันในวันนี้ให้ผมก่อนแล้วค่อยตามผมไป”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกไปที่ห้องรับรองตามลำพัง
ในทันทีที่ชายหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตูห้องรับรอง เขาก็ได้ยินเสียงบทสนทนาของคณะบริษัทจื่อจินดังลั่นออกมานอกห้อง
“อืม…เครือฮ่าวหรานนี่ใหญ่โตมโหฬารมากเลยทีเดียว ถ้าเราได้ร่วมงานกับพวกเขาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พวกเราคงได้รับกำไรอย่างมหาศาล”
“ใช่ค่ะท่านประธานกัว ดิฉันได้ศึกษาข้อมูลของเครือฮ่าวหรานมาแล้ว พวกเขาเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเมืองฮ่วยอันแถมยังมีอนาคตที่สดใสมากอีกต่างหาก”
เมื่อได้ยินบทสนทนานี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างดูถูกก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป
“เป็นยังไงบ้างคุณกัว? จากครั้งล่าสุดที่เราเจอกันคุณหายกลัวแล้วหรือยัง?”
“อ…เอ๊ะ? น…นี่แก!?”
กัวหย่งซินดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาทันทีด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาไม่นึกเลยว่าจะได้เจอชายหนุ่มที่น่าหวาดกลัวเมื่อตอนนั้นที่นี่!
เลขาสาวของกัวหย่งซินสัมผัสได้ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างเจ้านายของเธอและชายหนุ่มคนนี้ทันที และเมื่อเธอเห็นว่าชายหนุ่มอีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดสูทราคาไม่แพง เธอจึงเอ่ยเหยียบย่ำอีกฝ่ายช่วยเจ้านายของเธอ
“เฮ้! พนักงานระดับล่างอย่างแกกล้าดียังไงถึงพูดกับท่านประธานกัวแบบนี้ แกอยากตกงานหรือไง? แกขอโทษท่านประธานกัวเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ฮ่า ๆ เหมือนกันไม่มีผิดทั้งลูกน้องทั้งเจ้านาย กัวหย่งซินเอ๋ย…ฉันคิดว่าการเจรจาครั้งนี้คงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะนะ ในเมื่อลูกน้องของแกปากดีขนาดนี้”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองเลขาสาวของอีกฝ่ายแค่เพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนจะหันกลับไปพูดกับกัวหย่งซินแล้วนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
กัวหย่งซินที่เพิ่งได้สติจากอาการตกตะลึง เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งฝั่งตรงข้ามเขาด้วยสีหน้าโอหังก็ยิ่งรู้สึกโมโห
“ฮึ่ม! ไม่มีประโยชน์งั้นเหรอ? คนอย่างแกมายุ่งอะไรด้วย! ที่นี่มันคือเครือฮ่าวหราน ไม่ใช่สถานที่ร้างผู้คนเหมือนเมื่อตอนนั้น ฉันไม่กลัวแกหรอก! และอีกอย่าง แกมันก็แค่ลูกน้อง ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงหรือมานั่งตรงหน้าฉันตอนนี้!”
ในขณะที่บรรยากาศกำลังดุเดือด ผู้จัดการหวังก็เปิดประตูและเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านประธานทั้งสองคงรู้จักกันแล้วใช่ไหมครับ? ขณะนี้ห้องประชุมถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านประธานทั้งสองไปที่ห้องประชุมได้เลย…”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ของผู้จัดการหวัง กัวหย่งซินก็รู้สึกสับสน
ประธานทั้งสอง?
“เดี๋ยวนะ…นี่…นี่คือเจ้านายของคุณ ประธานอวี้งั้นเหรอ?”
กัวหย่งซินที่กำลังสับสนหันไปถามผู้จัดการหวังด้วยใจเต้นระทึก
ได้โปรดเถอะ อย่าใช่เลย! อย่าใช่เลย!
“หืม? ถูกต้องแล้วครับท่านประธานกัว นี่คือท่านประธานอวี้…เอ…เมื่อครู่พวกท่านยังไม่ได้แนะนำตัวกันหรอกเหรอ?” ผู้จัดการหวังตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ กัวหย่งซินแทบอยากจะเป็นลม
นี่มันเป็นไปได้ยังไง!
ไอ้หนุ่มนี่มันคือประธานเครือฮ่าวหรานอันใหญ่ยักษ์นี่งั้นเหรอ!
นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปก่อนหน้านี้เนี่ย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ กัวหย่งซินหันไปจ้องเขม็งเลขาของตัวเองอย่างเดือดดาลก่อนที่จะหันกลับมาหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเสแสร้ง
“แหะๆ ไม่นึกเลยว่าประธานอวี้จะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ สายตาของฉันนี่มันเลอะเลือนจริงๆ”
เนื่องจากความร่วมมือที่เขาต้องการจะทำร่วมกับเครือฮ่าวหรานนั้นมีมูลค่าหลายร้อยล้าน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้มันพังลงได้