จากนั้นภาพวันสิ้นโลกปรากฏ ยังคงเป็นภาพที่คุ้นเคย
ฟ้าถูกยึดครองไปแล้ว เพลิงทำลายล้างมาเยือนราวกับกระแสน้ำ ทำให้ฟ้าดินผืนนี้ประหนึ่งตกอยู่ในเตาหลอมกลียุค สิ่งมีชีวิตทุกข์ทรมาน
ภูเขาทลาย
สมุทรกระหน่ำ
ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นฝุ่นผง
สรรพวิญญาณดับสูญ!
ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือนแล้วจริงๆ
มีเพียงบนยอดเขาลูกนั้น เงาร่างผึ่งผายนั่นยืนอยู่ตามลำพัง เอามือไพล่หลังมองทุกสิ่งเงียบๆ มีความเปล่าเปลี่ยวโดดเดี่ยวอย่างหนึ่ง
ครู่ใหญ่เสียงถอนหายใจยาวเสียงหนึ่งดังก้องฟ้าดิน…“เวลาไม่คอยข้าเสียจริง!”
ชั่วขณะนี้หลินสวินราวกับได้รับผลกระทบไปด้วย ในใจเกิดอารมณ์สับสนที่สิ้นหวัง หดหู่ ไม่จำยอมและผิดหวัง
และตอนนี้เอง ข้างๆ เงาร่างผึ่งผายนั่นมีโลงสำริดใบหนึ่งโผล่มา ยาวสิบจั้ง พื้นผิวสลักสัญลักษณ์ลึกลับแน่นขนัดนับไม่ถ้วน
เงาร่างผึ่งผายสูงใหญ่นั่นเดินขึ้นหน้ามาเปิดโลงสำริด เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งและด้ามสลักด้ามหนึ่งออกมา ทิ้งลงในโลงสำริดลวกๆ หลังจากนั้นแบกโลงสำริดทั้งใบไว้บนไหล่ ก้าวเท้าออกไป
หลินสวินเห็นจนชินแล้ว
เพราะทั้งหมดนี้เขาเคยเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว
ตำราและด้ามสลักที่เงาร่างสูงใหญ่หยิบออกมา ก็คือสมบัติที่ท่านลู่ทิ้งไว้ให้เขานั่นเอง
ก็เพราะตำราและด้ามสลักนี้ ทำให้เขาค้นพบวาสนามหัศจรรย์ด้วยความบังเอิญ จากนั้นจึงได้รับห้องโถงมรรคาสวรรค์!
เพียงแต่ครั้งที่สองที่เห็นภาพเช่นนี้ กลับเป็นตอน ‘เปิดประตู’ จึงทำให้หลินสวินประหลาดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ตอนนั้นเขาเพิ่งก้าวสู่การฝึกปราณ ดูไม่ออกว่าพลังปราณของ ‘ร่างสูงใหญ่’ นั่นสูงส่งเพียงใด
ตอนนี้เขาบรรลุระดับมกุฎอริยะแท้แล้ว สภาวะจิตไม่เหมือนตอนนั้นนานแล้ว ทว่ายามเห็นแต่ละเหตุการณ์ที่คุ้นเคยนี้ ก็ยังรู้สึกถึงความกดดันสะท้านสะเทือน!
‘ร่างสูงใหญ่’ นั่นเป็นใคร
แล้ว ‘ทวารดวงดาว’ กับ ‘เส้นทางดารานิรันดร์’ ที่ว่าคืออะไร
ทันใดนั้นหลินสวินใจเย็นลง แต่ละภาพที่คุ้นเคยตรงหน้ายังไม่จบลง
หลังจากนั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ!
หากภาพที่คุ้นเคยทั้งหมดนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เช่นนั้นหลังจากนี้ร่างสูงใหญ่นั่นก็จะหันกลับมา!
ฟุ่บ!
ตอนที่หลินสวินเพิ่งเกิดความคิดนี้ ร่างสูงใหญ่ที่เดิมก้าวเดินอยู่นั้นเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พลันชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว!
เพียงแค่หันกลับมาเท่านั้น สายตานั่นกลับเหมือนทะลวงผ่านกาลเวลาและความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด สาดฉายเข้ามาแต่ไกล
ชั่วขณะนี้หลินสวินที่เตรียมพร้อมนานแล้วแทบจะต้องพยายามระงับสภาพวะจิตเต็มที่ รู้เหมือนเหมือนถูกฟ้าผ่าเช่นเดิม!
ส่วนลึกของวิญญาณร้องกึกก้อง แต่ละภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ระเบิดออกราวกับกระจก เริ่มดับทลาย
ในเวลาเดียวกันหลินสวินกลั้นไม่อยู่ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
เขาสั่นอย่างรุนแรงไปทั้งตัว รู้สึกว่าจิตวิญญาณถูกฉีกทึ้งทุกกระเบียด มีความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้
ความรู้สึกนั่นแรงกล้าถึงเพียงนี้ ราวกับพริบตาก็จะตายไปทั้งอย่างนี้
สายตาเดียวเท่านั้น ตอนนั้นครั้งแรกที่ ‘มอง’ มายังตน ก็ทำให้ตนหมดสติไปโดยตรง หรือตอนนี้จะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน
ไม่!
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะต้องไม่ธรรมดามากแน่ๆ ครั้งก่อนเพราะตนอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถมองได้
ครั้งนี้จะซ้ำรอยเดิมอีกได้อย่างไร
ตูม!
ชั่วขณะนี้หลินสวินปะทุอย่างสิ้นเชิง โคจรมรรควิถีแห่งตนถึงขั้นที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับลุกโชนไปทั้งตัว
ในที่สุดภายใต้ภาพทำลายล้างรุนแรง หลินสวินก็มองเห็นสายตาที่มองมาไกลๆ นั่นอีกครั้ง
ในสายตานั่นแฝงความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง และคล้ายเจือความปลื้มปิติที่จู่ๆ ก็สว่างวาบขึ้นมา
สว่างไสวราวกับสุริยันดวงโตสองดวง!
ทว่าสำหรับหลินสวิน ตอนที่สบกับสายตานั่น แม้แต่จิตวิญญาณยังมีความเจ็บปวดรุนแรงจากการถูกหลอมและแผดเผา การรับรู้เลือนรางขึ้นมา
ไม่!
ต้องมีอีกแน่!
หลินสวินขบกรามแน่น สีหน้าแทบจะดุร้าย
ส่วนลึกในใจเขามีสัญชาตญาณแรงกล้าหนึ่ง ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการเปิดประตูสวรรค์แน่!
เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร
……
ทุกสิ่งที่หลินสวินสัมผัสได้ หญิงลึกลับไม่รู้เลย
นางมองเห็นเพียงว่าสีหน้าของหลินสวินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากความตกใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นตะลึง จากนั้นก็ผิดคาด ราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง
ทว่าไม่นานสีหน้าของเขาก็ถูกความเจ็บปวดดุร้ายท่วมท้น เส้นเลือดตรงหน้าผากนูนขึ้น กลิ่นอายทั้งตัวซัดโหมราวกับทะเล!
‘หรือว่า แม้แต่เขาก็ไม่ไหวหรือ…’
หญิงลึกลับขมวดคิ้ว
สำหรับนาง เวลาเป็นเหมือนแม่น้ำที่ไร้สิ้นสุด ไหลอยู่ตลอดไม่มีจุดจบ
ในกาลเวลาอันยาวนาน นางจำไม่ได้แล้วว่าเคยมีคนเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์กี่คน
ทุกคนล้วนมีความองอาจพลิกฟ้าที่โดดเด่นเหนืออดีตและปัจจุบัน ทุกคนล้วนมีมหาโชควาสนาติดตัว ทุกคนล้วนเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ในโลกแห่งหนึ่ง
ทว่าทุกคน… ล้วนพ่ายแพ้!
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่ความสามารถโดดเด่นคนหนึ่ง เคยเปิดประตูสวรรค์บานนี้ออกเป็นช่องเล็กๆ ทว่าก็เพียงแค่ช่องเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายอัจฉริยะผู้ฝึกกระบี่ที่นามว่า ‘เสวียนซั่งเฉิน’ คนนี้ก็ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ฝืนไม่ได้’ แล้วส่ายหน้าจากไป
ทว่านี่ล้วนเป็นเรื่องตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว
หญิงลึกลับเคยบอกหลินสวินว่า เสวียนซั่งเฉินเป็นบุคคลพลิกฟ้าที่ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความสามารถล้วนไม่ด้อยกว่าหลินสวิน
และเป็น ‘ผู้ทะลวงด่าน’ คนเดียวที่ทำให้นางรู้สึกเสียดาย
ยามนั้นนางยังบอกหลินสวินด้วยว่า ให้หลินสวินจำสกุล ‘เสวียน’ นี้ไว้
เพราะสกุลนี้ไม่ธรรมดาเกินไป ลึกลับในเร้นลับ เป็นประตูแห่งความมหัศจรรย์ทั้งปวง สกุลนี้ใช่ว่าเผ่าใดจะมีคุณสมบัติมายึดครองได้ลวกๆ
หากครั้งนี้หลินสวินเองก็เปิดประตูล้มเหลว…
หญิงลึกลับคิดอยู่นานมากและเงียบไปนานมากเช่นกัน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง ตนคงจะเสียดาย… ยิ่งกว่าตอนที่เห็นเสวียนซั่งเฉินจากไปครั้งก่อนกระมัง…
“หืม?”
ไม่นานหญิงลึกลับก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ในดวงตาปรากฏลายมรรคแปลกประหลาดโดยพลัน ราวกับแสงที่ฉีกกระชากรัตติกาลนิรันดร์ มองไปยังหลินสวิน
และในเวลาเดียวกันนี้ บนร่างของหลินสวินปรากฏพลังที่คลุมเครืออย่างที่สุด ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาราวกับหุบเหวอันว่างเปล่า…
ส่วนในจิตรับรู้ของหลินสวิน ในที่สุดเขาก็ ‘มองเห็น’ สายตาดั่งคบเพลิงดุจสุริยันเจิดจ้าคู่นั้นแล้ว…
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาสำแดง ‘อภินิหารหยุดเวลา’ อย่างไม่ลังเล!
พริบตานั้นทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้าล้วนหยุดชะงัก
และในพริบตานี้ คลื่นรุนแรงโหมซัดสาดขึ้นในใจหลินสวิน
เพราะเขาเห็นว่าใน ‘สายตา’ คู่นั้น ปรากฏสัญลักษณ์ที่ลึกลับและสะท้านสะเทือน…
ฟ้าดาราไร้สิ้นสุด เยียบเย็นว่างเปล่า เส้นทางที่ปูขึ้นจากสะเก็ดดาวใหญ่ยักษ์นับไม่ถ้วนเชื่อมไปที่ปลายทางฟ้าดารา
ตรงปลายทางนั่นเป็นประตูบานหนึ่ง
ประตูที่ปิดสนิทอยู่ในความมืดอันไร้สิ้นสุดบานหนึ่ง!
“ทลายประตูนี้ออก สามารถมองเห็นนิรันดร์!”
เสียงตูมดังขึ้นคราหนึ่ง เสียงตะโกนสายหนึ่งดังขึ้นในหัวหลินสวิน
จากนั้นเส้นทางที่ก่อขึ้นจากสะเก็ดดาวนับไม่ถ้วนพลันระเบิด ประตูลึกลับที่เปิดสนิทตรงปลายทางฟ้าดาราก็หายไปด้วย
ทุกอย่างตรงหน้าล้วนหายไป
ทว่าในใจหลินสวินกลับปรากฏสัญลักษณ์แผนที่ดาวที่แปลกประหลาดขึ้นมารางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มี โคจรคลุมเครือ ราวกับกุญแจดอกหนึ่งที่สามารถเปิดความลับแห่งนิรันดร์ที่ปิดผนึกมาหมื่นกาล!
จนสุดท้ายสัญลักษณ์แผนที่ดาวที่แปลกประหลาดนี้ก็เปลี่ยนเป็นละอองแสง หลอมเข้าไปในใจหลินสวิน หายไปอย่างสิ้นเชิง
ราวกับไม่เคยมีมาก่อน
ทว่าหลินสวินกลับรู้ดีอย่างที่สุดว่า ‘สัญลักษณ์แผนที่ดาว’ นี้อยู่ในใจตน สักวันหนึ่งจะต้องคลี่คลายปริศนาที่ ‘สามารถมองเห็นนิรันดร์’ ให้กับตนได้แน่!
จนผ่านไปนานหลินสวินจึงสงบลง จิตใจที่สั่นไหวกลับสู่ความสงบ
แต่ละภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ ปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้งปานขี่ม้าชมสวนอย่างไรอย่างนั้น…
ภายใต้การโจมตีเดียวของร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ทลายท้องฟ้า สะเทือนจักรวาล เปิดทวารดวงดาว!
ตอนที่เขาหมายจะก้าวสู่ ‘เส้นทางดารานิรันดร์’ นั่น กลับมีกรงเล็บสัตว์ขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดข้างหนึ่งโฉบออกมาจากในทวารดวงดาว
มีร่างกำยำที่ทอประกายทองหมื่นจั้งซึ่งถูกเรียกว่า ‘ขุนพลเทพทางดารา’ พุ่งออกมา
หลังจากนั้นฟ้าถล่มดินทลาย สรรพสิ่งดับสลาย ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน!
ร่างสูงใหญ่นั่นเอ่ยเสียงทอดถอนใจว่า ‘เวลาไม่คอยข้า’ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถก้าวสู่เส้นทางดารานิรันดร์ได้ จึงหมดความสนใจ แบกโลงสำริดโลงหนึ่งจากไป
ทว่าชั่วขณะที่จากไป เขาหันกลับมาทิ้ง ‘สายตา’ ที่ราวกับสามารถทะลวงกาลเวลาและความว่างเปล่า
ใน ‘สายตา’ นั่นสะท้อนเส้นทางสะเก็ดดาวที่ปูอยู่ในฟ้าดาราอันเงียบสงัด ปลายทางเป็นประตูลึกลับที่ปิดสนิทบานหนึ่ง!
ตอนนี้พอย้อนคิดภาพเหล่านี้อย่างสงบ หลินสวินกลับพบว่าตนยังคงพลาดรายละเอียดไปมาก
อย่างเช่น สุดท้ายร่างสูงใหญ่นั่นแบกโลงสำริดไปไหน
สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้คือ ร่างสูงใหญ่นี้เป็นเหมือนเจ้าของห้องโถงมรรคาสวรรค์
หรือสามารถเรียกเขาว่า ‘เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์’ ได้!
‘ประตูลึกลับที่ปิดสนิทอยู่ในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น คงจะเป็นทวารดวงดาว ทลายประตูนี้ ก็สามารถมองเห็นนิรันดร์ คำว่า ‘นิรันดร์’ นี้คงหมายถึง ‘เส้นทางดารานิรันดร์’…’
หลินสวินพึมพำในใจ
เพียงแต่ สิ่งที่เขาคิดไม่ตกคือ สัญลักษณ์แผนที่ดาวที่ปรากฏในใจตน หมายถึงอะไรกันแน่
นี่ จะใช่ ‘กุญแจ’ ที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ทิ้งไว้ให้ตนหรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ หากวันหนึ่งตนครอบครองพลังที่สามารถทลายทวารดวงดาว จะสามารถใช้ ‘กุญแจ’ นี้ ก้าวสู่เส้นทางดารานิรันดร์ได้หรือไม่
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แต่ละภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ สั่งสมรายละเอียดที่เหลือเชื่อมากเกินไป และมีหลายอย่างที่ควรค่าแก่การพิจารณาไตร่ตรอง
เพียงแต่ไม่นาน เสียงของหญิงลึกลับดังขึ้นข้างหูเขา
“ความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องหมดกำลังใจเช่นนี้ เจ้าเป็น ‘ผู้ทะลวงด่าน’ ที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยเห็น ไม่เพียงแค่รบกี่ครั้งชนะกี่ครั้ง ยังสามารถหยั่งถึงระดับ ‘ลับลวงพราง’ ยามฝึกปราณระดับอมตะ มองทะลุความยากลำบากแห่ง ‘เคาะใจถามความจริง’ ในผู้ทะลวงผ่านก่อนหน้านี้ ไม่เคยเห็นใครสามารถทำได้อย่างเจ้า”
“ในการฝึกปราณในอนาคต ด้วยรากฐานพลังและมรรควิถีที่เจ้ามีตอนนี้ บรรลุมกุฎประมุขก็ใช่จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สำรวจ”
เสียงยังคงเย็นชาและว่างเปล่า แต่กลับแฝงความผิดหวังเสี้ยวหนึ่ง
ราวกับว่า นางเองก็คิดไม่ถึงว่า บนด่านสุดท้ายที่ต้องเปิดประตูนี้ หลินสวินเองก็ไม่สำเร็จ
หลินสวินได้ตื่นจากภวังค์ความคิด สีหน้าดูแปลกประหลาดอย่างควบคุมไม่อยู่ เขา…คิดว่าตนล้มเหลวแล้วหรือ
ก็ถูก ประตูสวรรค์นี่ยังปิดสนิทอยู่ และตนก็ไม่ส่งเสียงเสียที ก็ไม่แหลกที่นางจะเข้าใจผิด
คิดถึงตรงนี้ หลินสวินอดยิ้มพูดไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านดู”
มือขวาที่กดอยู่บนประตูสวรรค์ ผลักไปข้างๆ เบาๆ ตอนที่สิ้นเสียง
——