ตั้งแต่เหยียบย่างระดับมกุฎมหาอริยะ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเดือดดาลขนาดนี้
และเป็นครั้งแรกที่ปลดปล่อยพลังสุดตัวขนาดนี้ด้วยเช่นกัน!
ภายใต้ความเหนื่อยล้าที่พุ่งโจมตีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอากล้าเนื้อเขาด้านชา แต่จิตต่อสู้ของเขากลับยังคงเดือดคลั่งและดุร้ายปานนั้น
เงาร่างที่แกร่งกล้าดื้อดึงนั่นจู่โจมอย่างบ้าคลั่งกลางฟ้าดิน ประหนึ่งว่าหากไม่ใช้กำลังจนหยดสุดท้ายก็จะยอมไม่รามือ!
ต้นท้อแบนโคจรแสงมรรคศักดิ์สิทธิ์งดงาม เห็นชัดว่าไร้ปรานีถึงเพียงนั้น สกัดกั้นทุกสิ่งนี้
จนกระทั่งจิตรับรู้ของหลินสวินเลือนรางอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ เสี้ยวหนึ่งดังขึ้นในใจเขา
“ข้ายังนึกว่า… เขามาอีกแล้วซะอีก… แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่ใช่เขา…”
น้ำเสียงเจือแววเศร้าสร้อยที่สลัดไม่หลุด
หลินสวินเงยหน้าขึ้น สายตาว่างเปล่า ใคร?
จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็หดรัดเล็กน้อย ความสับสนราวกับหมอกหนาในดวงตาค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย จิตรับรู้ที่พร่ามัวก็กลับคืนสู่ความชัดแจ้งเสี้ยวหนึ่ง
คราวนี้เขาถึงสังเกตเห็นว่าบนต้นท้อแบนนั่น ไม่รู้มีเงาร่างอรชรสีม่วงสายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ท่ามกลางประกายเทพเจิดจรัสอย่างคล้ายมีแต่ไม่มี ราวกับประกายม่วงลอยเอื่อยบนขอบฟ้า
“เจ้าทำเพื่อช่วยนางหรือ”
น้ำเสียงนุ่มนวลดังก้องขึ้นในใจอีกครั้ง
หลินสวินพยักหน้า แน่นอนอยู่แล้ว!
“ชีวิตก็ไม่สนแล้ว?”
เงาอรชรสีม่วงสายนั้นถามอีกครั้ง
หลินสวินกล่าวว่า “ไม่เคยคิดมาก่อน”
ตอนช่วยชีวิตคน ยังจะมัวนึกถึงเรื่องอื่นได้ที่ไหนกันเล่า
‘มิน่าเจ้าถึงเหมือนเขา ได้รับมรดกแบบเดียวกัน นิสัยก็ดึงดันปานนี้ ล้วนยอมสู้สุดชีวิตแต่ไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว…’
เงาร่างสีม่วงถอนหายใจเบาๆ
เขาคือใคร
หลินสวินคิดไม่ออก และคร้านจะคิด
“ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งที่เก่งกาจกว่าเจ้าหลายโข เขาบุกเข้ามาที่นี่ หมายจะโค่นต้นท้อแบนโดยไม่สนสิ่งใด และเอาผลทั้งหมดของต้นไม้นี้ไปด้วย บอกว่าผลท้อที่อร่อยถูกปากเช่นนี้ต้องเอากลับไปให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักได้ลิ้มรสกันหน่อย”
น้ำเสียงของเงาร่างสีม่วงแฝงแววหวนนึกถึงอดีต และเจือรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง
“แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สมปรารถนา เพราะนี่เป็นถึงต้นท้อแบนหนึ่งเดียวในฟ้าดิน มีหรือจะเป็นสิ่งที่เจ้าคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเขาจะสามารถสั่นคลอนได้”
“ต่อมาเขาพูดตอนจากไปว่าภายหน้าจะต้องกลับมาอีกแน่ และจะตัดต้นท้อแบนที่ขัดลาภเขาต้นนี้แล้วเผาแทนฟืน ทำเช่นนั้นถึงจะสะใจ”
“ต่อมาล่ะ” หลินสวินถาม
“ต่อมา…”
เงาร่างสีม่วงเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเฝ้ารอเขากลับมาตลอดจนกระทั่งได้พบเจ้า ข้าพลันพบว่าเขา… อาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
ต้นท้อแบนยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกตัดทำฟืน แน่นอนว่า ‘เขา’ ย่อมไม่ได้กลับมาอีก
“เกี่ยวข้องกับข้า?”
หลินสวินขมวดคิ้ว
“ไม่เกี่ยว”
เงาร่างสีม่วงกล่าว “ข้ารู้เพียงว่า ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในสำนักของเขามีเพียงคนเดียวที่เชี่ยวชาญวิชาอริยะยุทธ์”
เสียงของนางเบาลง “แต่คนอย่างเขา แต่ไรมาไม่เคยรับศิษย์”
เปรี้ยง!
หลินสวินรู้สึกเพียงว่าศีรษะเหมือนถูกฟ้าผ่าเฉียบพลัน ในหัวปรากฏเงาร่างกำยำที่เหินทะยานเสียดฟ้า ดุจดั่งนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้
เขาเคยทะยานเก้าฟ้า บุกสังหารชั้นเมฆ ผงาดกร้าวหยิ่งผยองสะท้านอดีตตราบปัจจุบัน!
“ที่แท้ก็เป็นเขา…”
หลินสวินเข้าใจแล้ว แววตาทอประกายระลึกได้
ศิษย์พี่เสวียนคงแห่งคีรีดวงกมลเคยกล่าวไว้ว่า ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายสิบคนในสำนัก มีเพียงคนผู้นั้นที่เชี่ยวชาญวิชาอริยะยุทธ์!
“เว้นแต่ว่าประสบภัยพิบัติใหญ่หลวง หรือไม่ก็รู้ว่ามหาเคราะห์ใกล้มาเยือน เขาถึงได้ทิ้งมรดกระดับนี้ไว้…”
เสียงของเงาร่างสีม่วงนั้นเจือแววปวดใจและต่ำลึก
จู่ๆ หลินสวินก็กล่าวว่า “นี่ก็ไม่เสมอไป ทิ้งมรดกไว้ ก็เพื่อให้เพลิงมรรคคงอยู่นิรันดร์ ชีวิตไม่ดับสูญก็เท่านั้น ไหนเลยจะชี้ขาดเรื่องความเป็นความตายด้วยเรื่องนี้ได้”
เงาร่างสีม่วงอึ้งไป จมสู่ความเงียบงัน
หลินสวินกลับมองไปใต้ต้นท้อแบน
ที่นั่นเงาร่างอรชรของอาหูยังคงอยู่ แม้ว่าใบหน้างดงามจะซีดขาว ดวงตาปิดสนิท แต่พลังปราณบนตัวก็มั่นคงไม่ปั่นป่วนอีกต่อไป
นี่ทำให้หลินสวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ภายใต้สภาวะจิตผ่อนคลาย คราวนี้เขาจึงรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและง่วงซึมที่เหมือนกระแสน้ำเป็นระลอก เนื้อตัวล้วนปวดระบมไร้เรี่ยวแรง ร่างกายและจิตใจทั้งภายในภายนอกเผยความรู้สึกหมดแรงเหมือนตะเกียงที่น้ำมันเหือดแห้ง
เมื่อครู่ลงมือโดยไม่สนสิ่งใด ความเสียหายนั้นรุนแรงเกินไปจริงๆ
“เช่นนั้น… ข้าจะรอต่อไปก็แล้วกัน…”
เนิ่นนานเงาร่างสีม่วงดูเหมือนจะคิดตกแล้ว น้ำเสียงเจือแววมีความสุขและผ่อนคลาย “ถึงอย่างไรข้าก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา…”
“สหายน้อย ท้อแบนที่นี่ให้เจ้าเลือกเด็ดได้ตามใจเก้าลูก หากเก็บเกี่ยวมากเกินไปก็จะแปดเปื้อนผลกรรม เขาในปีนั้น… ก็เพราะไม่สนใจผลกรรมเหล่านี้มากเกินไป…”
“จำไว้ว่าท้อแบนสามารถกินได้เพียงหนึ่งลูก มากไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการฝึกปราณ”
“หากภายหน้าสหายน้อยมีโอกาสเจอเขา… อย่าลืมบอกเขาว่า อย่าลืมสิ่งที่พูดในปีนั้น อืม… แค่นี้แหละ…”
จากนั้นเงาร่างสีม่วงก็อันตรธานหายไป
หายลับไปบนต้นท้อแบนเช่นนั้น ดุจดั่งละอองฝนโปรยปราย
หลินสวินอึ้งไป
และในขณะนี้ จู่ๆ เขาก็พบว่าแสงมรรคที่หลั่งไหลลงมาจากต้นท้อแบนนั่นก็หายไปเช่นกัน ไม่มีพลังกฎเกณฑ์ไร้รูปนั่นแล้ว
หลินสวินลองเข้าไปใกล้ และไม่พบสิ่งใดขัดขวางดังคาด
แม้ว่าเวลานี้จะเหนื่อยล้าหาใดเปรียบ แต่หลินสวินก็ยังพยายามเต็มกำลัง กระโดดขึ้นไปเหยียบย่างบนต้นท้อแบนที่ดุจดั่งตำนานต้นนั้น!
ทอดสายตามองทั่วสี่ทิศ กลางกิ่งใบที่โปร่งใสเขียวขจีชุ่มฉ่ำ มีผลท้อแบนที่เจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ผลแล้วผลเล่า
บ้างก็แดงชาดดุจแสงยามสายัณห์ บ้างก็ขาวหิมะเหมือนหยก บ้างก็เป็นสีเขียวเหมือนกระจกแก้ว บ้างก็มีประกายม่วงอบอวลไหลเวียน…
พร่างพราวละลานตา!
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ทำให้สมปรารถนา”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ประสานหมัดโค้งคำนับ
เพียงแต่ไม่มีใครตอบกลับ เงาร่างสีม่วงนั่นดูเหมือนไม่มีอยู่จริง
หลินสวินไม่ได้มัวโอ้เอ้ เด็ดท้อแบนสีเขียวขาวราวกับหยกออกมาผลหนึ่งโดยไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกันใต้ต้นท้อแบน อาหูที่ใบหน้างามซีดขาว หลับตาสนิทมาโดยตลอดก็เหมือนเสียการทรงตัว ล้มนั่งลงกับพื้น
จากนั้นแพขนตาของนางไหวระริก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
ผ่านไปพักหนึ่งอาหูถึงตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ตบหน้าอกเบาๆ ราวกับยังกลัวไม่หาย ทอดถอนใจเฮือกยาว
“อาหู เจ้าตื่นแล้ว”
เสียงหัวเราะสายหนึ่งดังขึ้นข้างหู อาหูเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่เหมือนน้ำยามสารทมองไปยังต้นท้อแบน และเห็นหลินสวินยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
ทันใดนั้นนางเบิกเนตรงามกว้าง ตกใจไม่สร่าง “เหตุใดเจ้า…”
“เดี๋ยวจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง เจ้ารับไปก่อน”
หลินสวินยิ้มพลางส่งผลท้อแบนที่คล้ายหยกเขียวให้กับอาหูผ่านอากาศ “รีบหลอมมันเร็วเข้า หาไม่พลังจะไหลผ่านไปแล้ว”
อาหูขบริมฝีปากระเรื่อ จ้องผลท้อแบนกลางฝ่ามืออย่างอึ้งงัน นางเป็นคนเฉลียวฉลาดขนาดไหน จึงคาดเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ แล้ว
ผ่านไปพักหนึ่งนางเผยรอยยิ้มเบิกบานใจออกมา ยกมือขึ้นแล้วโบกไปมา “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
น้ำเสียงใสชัดกังวาน ดุจดั่งเสียงสวรรค์
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน
ในตอนนี้เขาก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเช่นกัน ในใจไม่มีอะไรกดทับอีกต่อไป!
จากนั้นหลินสวินยืนนิ่งอยู่บนต้นท้อแบน เริ่มมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน
ต้นท้อแบนใหญ่เกินไปแล้ว กิ่งก้านคับคั่ง ใหญ่หนาราวกับงูมังกรที่เลื้อยคดเคี้ยวตัวแล้วตัวเล่า จำนวนของผลท้อแบนที่อยู่บนนั้นก็ทำให้ผู้คนลายตาพร่าเลือน
หลินสวินอาศัยลางสังหรณ์ เลือกเด็ดท้อแบนแปดผลต่อไป สีสันต่างกันออกไป ขนาดไม่เท่ากัน ก็ไม่รู้ว่าประโยชน์จะแตกต่างกันหรือไม่
ถึงตอนนี้หลินสวินกระโดดพรึบลงจากต้นท้อแบน ไม่เหลียวมองผลท้อแบนดกดื่นที่ห้อยอยู่บนนั้นอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าแน่วแน่ยิ่ง
ศุภโชคระดับนี้ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามบ้าคลั่งได้จริงๆ
แต่หลินสวินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่หญิงชุดม่วงก่อนหน้านี้จะเพ่งเล็งตนโดยไร้เป้าหมาย ดังนั้นหยุดมือตามสมควรไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
เขาไม่ได้อยากแปดเปื้อนผลกรรมอะไรจากการเก็บผลท้อแบนทั้งนั้น
บนยอดสุดของต้นท้อแบนที่หลินสวินไม่สามารถมองเห็น เงาอรชรชุดม่วงสายหนึ่งนั่งอยู่กลางหมอกเมฆ แววตาเจือแววชื่นชม
นี่คือชายหนุ่มที่รู้จักพอคนหนึ่ง
ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าคนดื้อแพ่งแข็งกร้าวคนนั้น จะต้องไม่หยุดมือเพียงแค่นี้แน่…
คิดถึงตรงนี้นางก็อดหดหู่อีกระลอกไม่ได้
อาหูฝึกปราณอยู่ใต้ต้นท้อแบน สงบจิตนั่งสมาธิเงียบๆ
หลินสวินมองไปยังบริเวณไม่ไกลนัก ที่นั่นยังมีเงาร่างสองสายยืนอยู่ ชายเสื้อสีฟ้าที่สะพายกระบี่โบราณคนหนึ่ง และหญิงชุดคลุมหงส์ที่ม้วนผมเป็นมวยคนหนึ่ง
หลินสวินก็ไม่ใช่คนใจบุญอะไร
ยิ่งกว่านั้นจนป่านนี้ทั้งสองคนยังไม่ได้แสดงอาการเสี่ยงอันตรายใดๆ ออกมาแม้แต่เสี้ยว ไม่แน่ว่าอาจสามารถข้ามผ่านบททดสอบห้วงฝัน คว้าศุภโชคล้ำเลิศมาครองก็เป็นได้
แน่นอนว่าหลินสวินไม่มีทางหยุดทุกอย่างนี้กลางคันด้วยเช่นกัน
หาไม่เมื่อทั้งคู่ตื่นขึ้นมา พบว่าท้อแบนสองลูกที่ถูกพวกเขาหมายตาถูกตนเก็บไป จะเกิดปัญหาไม่จำเป็นขึ้นอย่างแน่นอน
“เสี่ยวอิ๋น เจ้ามาคุ้มครอง”
หลินสวินสูดหายใจลึก ตัดสินใจฟื้นฟูพลังกายก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องการหลอมผลท้อแบน
สาเหตุผลก็เพราะเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าชายเสื้อสีฟ้าและหญิงชุดคลุมหงส์จะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
พรึ่บ!
เสี่ยวอิ๋นโฉบออกไป เริ่มต้นคุ้มครอง ขณะที่หลินสวินล้วงโอสถเทพจำนวนหนึ่งที่พกติดตัวมาด้วยออกมา เริ่มเพ่งจิตนั่งสมาธิฟื้นฟูร่างกาย
ต้นท้อแบนยืนต้นนิ่งสงบ กิ่งใบสาดพรมแสงมรรคศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎเกณฑ์ไร้รูปสายนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เวลาเคลื่อนคล้อย ห้าวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ฟู่!
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ สีหน้าเปล่งปลั่ง แววตาผ่องแผ้ว
ในฟ้าดินแถบนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เข้มข้นหาใดเปรียบไหลเวียน กลิ่นอายมหามรรคก็หนาแน่นจนน่าอัศจรรย์ใจเช่นกัน แม้ว่าจะนั่งสมาธิเพียงห้าวันเท่านั้น แต่กลับทำให้ปราณของหลินสวินรุดหน้าไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด!
‘หากสามารถนั่งสมาธิฝึกปราณอยู่ที่นี่ได้สักระยะหนึ่ง ต่อให้ไม่ต้องใช้พลังของผลท้อแบน เกรงว่าก็สามารถยกระดับปราณของข้าสู่ระดับมกุฎอริยะขั้นกลางได้…’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
เขามองไปด้านข้าง อาหูยังคงฝึกปราณอยู่ ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา
และบริเวณไม่ไกลนัก ชายเสื้อสีฟ้าและหญิงชุดคลุมหงส์นั่นก็เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นดินเหนียว
“เสี่ยวอิ๋น ผลท้อแบนนี่ให้เจ้า”
หลินสวินหยิบท้อแบนออกมาหนึ่งผลแล้วยื่นให้เสี่ยวอิ๋นที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด แต่ก็เป็นเวลานี้ที่การเปลี่ยนแปลงผิดปกติเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สวบ!
ปราณกระบี่ที่เจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งเข้ามาและฟันไปทางหลินสวิน
เหตุการณ์ที่มาแบบปุบปับนี้สามารถทำให้ใครก็ตามมือไม้เป็นพัลวัน เร็วเกินไปแล้ว ปราณกระบี่นั่นรุนแรงและน่ากลัวเกินไป
แม้จะเป็นหลินสวินก็ยังเบี่ยงหลบไม่ทัน ได้แต่รับแรงกระแทกจังๆ
ตูม!
แม้ว่าสุดท้ายจะสกัดกระบี่นี้ได้ แต่ทั้งตัวเขาก็ถูกกระแทกลอยออกไป สะบักสะบอมนัก สีหน้าของเขาเย็นเยียบขึ้นมา ก่อนมองออกไป
ไม่รู้เมื่อไหร่ชายเสื้อฟ้าที่สะพายกระบี่โบราณคนนั้นหันตัวมาแล้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววดุร้าย รวมถึงแววร้อนเร่าและโลภโมโทสันที่ปกปิดไม่มิด
“มอบผลท้อแบนในมือเจ้ามาซะ แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!” เขาเอ่ยปาก เจือกลิ่นอายออกคำสั่งที่ไม่ยอมให้สงสัย