“ลูกพี่ๆ!” ทันใดนั้นพลพรรคหลายคนวิ่งมาจากด้านข้างลานฝึก ในมือโบกกระดาษเปลือกหม่อนสีแดงขนาดใหญ่ คล้ายกับเป็นประกาศอันใด
ลู่เซิ่งมองคนเหล่านี้วิ่งเข้ามาใกล้อย่างหมดคำพูด จากนั้นก็ตบใส่
เพียะๆๆ!
ศีรษะคนหลายคนถูกตบอย่างแรง พลันพบว่าตัวเองเรียกผิด รีบเปลี่ยนคำเรียกใหม่
“คุณชาย! หัวหน้าฝ่ายภารกิจนอก! ได้… ได้อันดับสูง!” คนที่กำกระดาษเปลือกหม่อนสีแดงตรงหน้าเป็นนิ่งซาน กระดาษในมือเขาเป็นผลสอบของการทดสอบประจำปี ในที่สุดก็จัดอันดับ รอบนี้ช้าไปมาก ยังคงประกาศผลแล้ว
“สอบผ่านหรือ” ลู่เซิ่งแย่งกระดาษเปลือกหม่อนในมือของเขามา คลี่ออกอ่านดู
แถวแรกไม่มีชื่อเขา ลู่เซิ่งถลึงตามองนิ่งซาน
“ไม่ติดสามอันดับแรกร่ำร้องว่าได้อันดับสูง ผายลม!” เขาจะยื่นมือไปตบเจ้าหมอนี่ สุดท้ายก็ไม่ใช่คนมีการศึกษา ปกติมีไหวพริบ แต่พอเกี่ยวพันถึงด้านการเรียน ก็โง่งมเหมือนสุกร
นิ่งซานนิ่งอึ้ง ไม่กล้าโต้ตอบ รีบหลบพร้อมยิ้มปะเหลาะกล่าว
“ข้าน้อยได้ยินคนอื่นตะโกนแบบนี้ รู้สึกน่าสนุกดี…”
ลู่เซิ่งหมดคำพูด อ่านต่อไป เจอชื่อของเขาที่อันดับสามสิบห้า “อืม ผ่านแล้วๆ ไม่เลว อีกเดี๋ยวเจ้าไปเอาเงินมาฉลองสิบตำลึง คนอื่นๆ ได้หมด! คนละห้าตำลึง!”
คนที่อยู่รอบๆ ต่างยิ้มหน้าบาน
“จริงสิลูก… เอ่อคุณชาย คนติดประกาศแจ้งว่าต้องให้คนไปเข้าร่วมพิธีที่สถานศึกษาเอง” นิ่งซานกล่าวต่อ
“เวลาใด”
“วันมะรืนยามกลางอู่ตอนบ่าย (บ่ายโมง)”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไม่ได้ไปสถานศึกษามานาน ได้ไปเดินเล่นพบปะสหายเก่าพอดี”
“จะว่าไปก็บังเอิญ เปียนซู่คุณชายเปียนผู้นั้นวันนี้มาหาคุณชายสองครั้ง” นิ่งซานกล่าวต่อ “สมควรมีเรื่องขอความช่วยเหลือ”
“เปียนซู่หรือ… เช่นนั้นเจ้าพานางมาหาข้าที่นี่ ให้เร็วหน่อย” ลู่เซิ่งกำชับ
“ขอรับคุณชาย” นิ่งซานตอบ หมุนตัววิ่งไปด้านนอกลานฝึก
ตอนบ่าย ลู่เซิ่งทาน้ำมันยาอีกครั้ง ออกกำลังเล็กน้อยสักพัก ก็เห็นเปียนซู่คุณชายเปียน
ใบหน้าของเปียนซู่ในตอนนี้หดหู่ มาคนเดียว คล้ายเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
ลู่เซิ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พานางไปนั่งในกระท่อมข้างห้องเพาะดอกไม้
“คุณชายเปียนมีเรื่องราวใด บอกกล่าวได้เต็มที่ สามารถช่วยได้ผู้แซ่ลู่ย่อมไม่บอกปัด” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสง่าผ่าเผย เปียนซู่ได้ยินก็มีสีหน้าซาบซึ้ง
“ไม่ปิดบังคุณชายลู่ ข้าน้อยมาเยี่ยมเยือนมีเรื่องขอความช่วยเหลือจริงๆ” เปียนซู่กล่าวเสียงทุ้ม
“โปรดบอก” ลู่เซิ่งบอกให้นางเล่าต่อ
เปียนซู่สูดหายใจลึกคำหนึ่ง แล้วถอนใจคำหนึ่ง
“ไม่ทราบคุณชายลู่เคยได้ยินเรื่องบุปผาพฤกษ์โลหิตมาก่อนหรือไม่”
“บุปผาพฤกษ์โลหิตหรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างฉงนเล็กน้อย “นี่เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งใช่หรือไม่”
“กล่าวให้ถูกต้อง เป็นวัตถุดิบยาล้ำค่าที่กว่าจะบานจนแห้ง จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี” เปียนซู่อธิบาย “บุปผาพฤกษ์โลหิตอายุร้อยปีมีสรรพคุณเพิ่มปราณกำเนิด หล่อเลี้ยงหยิน บำรุงผิวที่แห้งกร้านให้ชุ่มชื้น ตระกูลเปียนของข้าเคยได้บุปผาพฤกษ์โลหิตอายุเจ็ดร้อยปีต้นหนึ่ง สรรพคุณเพิ่มปราณของมันยังยอดเยี่ยมกว่าโสมภูเขาพันปี”
“อ้อ? ร้ายกาจขนาดนี้!” ลู่เซิ่งสนใจเล็กน้อย ยาล้ำค่าที่เพิ่มปราณกำเนิดกับหล่อเลี้ยงหยิน สำหรับเขาแล้วเป็นของดีที่ยกระดับปราณภายในและพลังฝึกปรืออย่างรวดเร็วได้
“ถูกต้อง ร้ายกาจยิ่ง” เปียนซู่พยักหน้า “ถ้าคุณชายลู่สนใจ ผู้แซ่เปียนคิดจะแลกเปลี่ยนบุปผาพฤกษ์โลหิตอายุเจ็ดร้อยปีนี้กับท่าน”
“แลกเปลี่ยนกับอะไร” ลู่เซิ่งทราบถึงความล้ำค่าของยาชนิดนี้ดี ถ้าสรรพคุณของบุปผาพฤกษ์โลหิตนี้เป็นของจริง ในสถานการณ์ที่ปัจจุบันแม้แต่โสมป่าพันปีก็มีราคาแต่ไร้ตลาด ยาล้ำค่านี้นำออกมาอย่างน้อยก็ขายได้หลายสิบหมื่นตำลึง หนำซ้ำยังซื้อหาไม่ได้
เปียนซู่เว้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้ม “ผู้แซ่เปียนอยากขอให้คุณชายลู่ส่งคนคุ้มครองข้ากลับจงหยวน”
“ตระกูลเปียนของท่านคล้ายจะเป็นตระกูลขุนนางด้านวัตถุดิบยากระมัง” ลู่เซิ่งตรวจสอบข้อมูลของเปียนซู่มาตั้งแต่แรก ตอนนี้ได้ทราบเรื่องบุปผาพฤกษ์โลหิต จึงไตร่ตรอง
“ใช่ บรรพบุรุษของข้าดำเนินกิจการวัตถุดิบยามาสองร้อยกว่าปีแล้ว สวนโอสถ ภูเขายาก็มีมาก คนปลูกยาร้านยาที่บ้านข้า อย่างน้อยก็มีมากกว่าพันคน” เปียนซู่พูดเรื่องนี้พลันกล่าวอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย ตอนนางมาย่อมสืบสถานะของลู่เซิ่งจนชัดเจนแล้ว กระนั้นต่อให้อยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจในพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ นางก็ยังคงภาคภูมิใจในความเจิดจรัสเมื่อครั้งอดีตของครอบครัว
“ตอนนั้นสมัยที่ตระกูลยังรุ่งโรจน์ ไร้คนโง่เขลา ยังมีเงินทองมีอำนาจ”
“แบบนี้นี่เอง พรรควาฬแดงของข้าก็มีกิจการวัตถุดิบยาเช่นกัน แต่ขนาดไม่ใหญ่ หนำซ้ำมีวัตถุดิบยาบางส่วนมีแค่ที่จงหยวน ถ้าคุณชายเปียนกลับบ้าน สามารถควบคุมสถานการณ์ในบ้านให้ทำการแลกเปลี่ยนกับผู้แซ่ลู่ได้ ผู้แซ่ลู่ไม่เพียงส่งท่านกลับไป ยังจะลงมือช่วยเหลือท่านอีกแรงด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
“คุณชายลู่คำพูดนี้เป็นจริงหรือ!?” เปียนซู่สองตาเป็นประกาย พลันยินดี
“เป็นความจริง แต่ว่าการลงมือช่วยเหลือนี้ ย่อมไม่อาจไม่มีของตอบแทน ผู้แซ่ลู่มีพี่น้องในมือต้องเลี้ยงดู อย่างไรจำนวนคนมากขนาดนี้ จะจัดการให้ดีไม่ง่ายดาย” ลู่เซิ่งถอนใจคำหนึ่ง
“ผู้แซ่เปียนเข้าใจ” เปียนซู่ไตร่ตรอง กล่าวต่ออีก “ถ้าหากว่าคุณชายลู่ช่วยข้าน้อยชิงอำนาจหลักในบ้านกลับมาได้ ข้าตระกูลเปียนยินยอมมอบกำไรสามส่วนจากกิจการยาเป็นค่าตอบแทนแก่คุณชายลู่ทุกๆ ปี”
นางเสริมอีกประโยค “ตอนนี้สกุลเปียนของข้าต่อให้อยู่ในช่วงวุ่นวาย กิจการยาก็มีกำไรมากกว่าร้อยหมื่นตำลึงในทุกๆ ปี ร้านยาสาขาย่อยกระจายไปทั่วมณฑลใหญ่ๆ หลายแห่งในจงหยวน”
อย่างน้อยสามสิบหมื่นตำลึงทุกปีหรือ
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแผนการของอีกฝ่าย นี่คิดผูกมัดตัวเองกับผลกำไรของตระกูลเปียน แต่เขาขาดเงินพอดี ถึงแม้ในพรรคจะจ่ายเงินให้แล้ว แต่สำหรับคนคลั่งการฝึกวรยุทธ์ที่กินยาบำรุงปริมาณมหาศาลเช่นเขา เงินแค่นั้นไม่พอใช้
ตระกูลเปียนนี้ดูจากขนาดสมควรใหญ่กว่าตระกูลลู่ของตนเล็กน้อย แต่ก็มีข้อจำกัด เงินมากกว่าร้อยหมื่นตำลึงดูเหมือนมาก แต่ความจริงสินเดิมที่ตระกูลเฉินของเฉินอวิ๋นซีเสนอมาก็มากกว่าร้อยหมื่นตำลึงแล้ว
ดังนั้นที่ว่ากระจายทั่วมณฑลใหญ่อันใด เป็นแค่เปียนซู่ปิดทองใส่หน้าตัวเองเท่านั้น เป็นเพียงตระกูลวัตถุดิบยาเล็กๆ แห่งจงหยวนเท่านั้น
“ข้าต้องการห้าส่วน สามส่วนน้อยไปแล้ว” ลู่เซิ่งต่อรอง
“ห้าส่วน…!” เปียนซู่สีหน้าเปลี่ยนแปลง ซึ่งความจริง กำไรในบ้านยังมีส่วนหนึ่งต้องแบ่งให้งูเจ้าถิ่นแต่ละที่เป็นสินบน หลังให้ลู่เซิ่งห้าส่วน แล้วตัดส่วนสินบนทิ้ง ที่บ้านเหลือเพียงสามส่วน
รายรับเล็กน้อยนี้น้อยเกินไปจริงๆ แต่พอนึกถึงสถานการณ์ที่บ้านในตอนนี้ เอามาเป็นของตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นของคนอื่น
เปียนซู่กัดฟัน
“ได้! ห้าส่วนก็ห้าส่วน คุณชายลู่จะให้คนส่งข้ากลับไปเวลาใด”
“ท่านคิดไปเวลาใด” ลู่เซิ่งถาม
“ยิ่งเร็วยิ่งดี” เปียนซู่ตอบ
ลู่เซิ่งพยักหน้า ปรบมือเรียกยอดฝีมือของโถงอินทรีเหินมาทันที
“คุณชายเปียนรอประเดี๋ยว”
ทั้งสองคนรอครู่เดียว ไม่ทันไรบุรุษท่าทางกระฉับกระเฉง ผมสั้นสีดำ สวมอาภรณ์ดำก็เดินเข้ามา ประสานมือให้ลู่เซิ่งก่อน
“อินทรีทองแดงคำนับหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก!”
อินทรีเหินสิบสามคนต่างใช้ฉายาของตัวเองต่อบุคคลภายนอก
“จัดการเรื่องชุมนุมเขาบูรพาให้เสร็จ ภายหลังเจ้ากับอินทรีเหล็กกลับจงหยวนกับคุณชายเปียนผู้นี้ ช่วยนางสะสางเรื่องในบ้าน เอามือดีในพรรคไปห้าสิบคน” ลู่เซิ่งกำชับ
“ขอรับ!” อินทรีทองแดงสีหน้าไร้อารมณ์ ตอบอย่างปลอดโปร่ง หลังจากโถงอินทรีเหินกลับมาเชื่อฟัง ย่อมไม่มีเงื่อนไขต่อราคา แม้ไม่อยากเดินทางไกลพันลี้ไปจงหยวน แต่คำสั่งของลู่เซิ่งผู้นี้เขาไม่อาจไม่ทำตาม
โบกมือให้อินทรีทองแดงกับเปียนซู่ไปปรึกษาขั้นตอนกันเอง ลู่เซิ่งลุกขึ้นกลับบ้าน
นั่งรถม้ามาถึงบ้านก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ช่วงนี้เขากลับถึงบ้านช่วงเย็นแทบทุกวัน บางวันก็ยังไม่แน่ว่าจะกลับมา
ครั้งนี้อาศัยตอนที่เขาอยู่บ้าน เฉี่ยวเอ๋อร์ฉวยโอกาสพูดถึงข่าวดีที่เขาสอบติด ต่อมาก็หยิบจดหมายจากทางบ้านฉบับหนึ่งให้
“ย้ายบ้านหรือ” ลู่เซิ่งอ่านเนื้อหาหลังเปิดจดหมายจากทางบ้าน ประหลาดใจเล็กน้อย
“จะเริ่มย้ายตอนนี้เลยหรือ”
“เห็นว่าเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ขบวนม้าก็ติดต่อแล้วเช่นกัน ครั้งเดียวเช่ารถใหญ่สิบกว่าคัน” เฉี่ยวเอ๋อร์อธิบายเสียงเบา นางได้รับจดหมายจากพี่น้องที่สนิทสนมกันในบ้านมาตั้งแต่แรก จึงทราบเรื่องราวส่วนหนึ่ง
“จริงด้วย เตรียมตัวมานานขนาดนี้ จากเมืองเก้าประสานถึงเมืองเลียบคีรี ระหว่างทางเร่งม้าลงแส้ต้องใช้เวลาสองวัน เป็นเพราะมีของสำคัญ การย้ายบ้านเกรงว่าจะล่าช้ากว่าเดิม คาดว่าแค่บนถนนหนทางก็ใช้เวลาสี่ห้าวัน ลู่เซิ่งคำนวณ “เอาล่ะ ข้าทราบแล้ว”
“ยังมีอีกคุณชาย ช่วงนี้คุณหนูเฉินอวิ๋นซีนั่นมาหาท่านหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่มา ท่านก็อยู่ด้านนอก เฉี่ยวเอ๋อร์เห็นนางผิดหวังยิ่ง” เฉี่ยวเอ๋อร์พูดถึงเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง
“เฉินอวิ๋นซี…” พูดถึงเรื่องนี้ลู่เซิงก็ปวดหัวเล็กน้อย ทำไมช่วงนี้มันถึงยุ่งยากนัก เดี๋ยวก็ไปสู้ตายกับคนอื่น เดี๋ยวก็ไปปะทะกับผี นี่ไม่ใช่เวลาสร้างครอบครัว
“เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ยังมีผู้ใดมาหาข้าอีกหรือไม่”
“ยังมีซ่งเจิ้นกั๋วคุณชายซ่ง มาหาท่านหลายครั้งเช่นกัน เขาฝากเฉี่ยวเอ๋อร์ถามท่านแทนว่าจะทดสอบเขาเมื่อใด” เฉี่ยวเอ๋อร์บอกอีก
ลู่เซิ่งค่อยนึกถึงเรื่องซ่งเจิ้นกั๋วคิดเรียนวรยุทธ์ ก่อนหน้านี้ลืมไป หลักๆ ไปจัดการเรื่องอื่น
“เรื่องนี้ไม่รีบ วันมะรืนหลังไปสถานศึกษาข้าจะจัดการเรื่องคนที่บ้าน” ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา แม้จะไม่กล้าเสี่ยง แต่ก็รัดกุมยิ่ง สมควรเลือกทำเลบ้านไว้แต่แรก ไม่แน่ว่าจะซื้อไว้แล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฝึกวิชา บวกกับก่อนหน้านี้จัดการขุมกำลังที่รับช่วงต่อใหม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องทางบ้านชั่วขณะ
“ยังมีลู่อิงอิง นางมาเมืองเลียบคีรีกับข้า อยู่สถานศึกษามานาน ข้ากลับไม่เคยเห็นน้องสาวผู้นี้ไปอยู่ที่ไหน”
ลู่อิงอิงเกียจคร้าน ชอบชื่อเสียงจอมปลอม เอาแต่เที่ยวเล่นกับพี่น้องในเมืองเก้าประสานทั้งวัน เดี๋ยวไปเดินเล่น เดี๋ยวไปชุมนุมกลอน เดี๋ยวไปชมดอกไม้ ตบตีหึงหวงกับคนอื่นๆ บนเหลาสุราเพื่อเว่ยซิงบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงในเมืองเก้าประสานเหมือนกับไล่ตามดารา ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนอยู่นิ่ง พอมาถึงเมืองเลียบคีรีถึงกับไม่มีการเคลื่อนไหว ทำให้ลู่เซิ่งค่อนข้างเหนือคาด
“เฉี่ยวเอ๋อร์กลับได้ยินเรื่องของคุณหนูห้า…” เฉี่ยวเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเลอยู่บ้าง
“ตอนนี้เป็นอย่างไร ข้าจำได้ว่าที่บ้านหาร้านหนังสือร้านหนึ่งให้นาง เป็นรายรับสำหรับดำรงชีวิตกระมัง” ลู่เซิ่งถาม
“คือ… ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนเฉี่ยวเอ๋อร์ไปซื้อเครื่องปรุงยา เคยเห็นคุณหนูห้าบนถนนแถวสวนรุ่งโบราณ” เฉี่ยวเอ๋อร์เสียงเบาลงเรื่อยๆ “ตอนนั้นเห็นนางเดินกับคุณชายบัณฑิตคนหนึ่ง…”
………………………………………….