มาถึงศาลาประกาศยุทธ์อีกครั้ง ลู่เซิ่งคุ้นชินหนทาง นำป้ายคำสั่งออกมาขึ้นไปชั้นสองอย่างรวดเร็ว
วิชาแข็งกร้าวทั้งหมดของเมืองเลียบคีรีอยู่บนชั้นหนังสือที่เขาเคยดูก่อนหน้า ‘วิชาด้ายทอง’ ‘กำปั้นตัดวิญญาณ’ ‘วิชาเสาสมบัติ’ ‘วิชาโอสถกลองพลบค่ำ’
วิชาแข็งกร้าวหลายวิชาที่เขาเคยเห็นยังวางอยู่บนชั้น
‘วิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่งเหล่านี้ใช้โอสถเสริมกับปราณภายในเช่นวิชาหยินหยางกระเรียนหยก สมควรฝึกจนสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ การเรียนรู้จำเป็นต้องใช้ปราณหยิน แต่ว่าเมื่อใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกเป็นหลัก การฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวระดับรองเหล่านี้กลับผ่อนคลายมาก ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบวิชาเสาสมบัติขึ้นมา พลิกอ่านดู ตรงนี้มีแค่คำแนะนำเกี่ยวกับวิชาเสาสมบัติ
‘เคลื่อนไหวเหมือนเสา ลงมือดุจมังกร’
นี่เป็นเคล็ดหลักของวิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่งวิชานี้ วิชาเสาสมบัติเน้นการยืนเสาปักหลัก มีทั้งหมดสามระดับ แยกเป็นวิชาเสาสามชนิด
ถ้าฝึกจนสำเร็จ ร่างกายจะเหมือนเสาไม้ แข็งแกร่งไม่ล้มลง กระจายพลังจู่โจมจากภายนอกให้ทั้งร่างแบกรับไว้ เป็นวิชาพลังป้องกันที่ยอดเยี่ยมสุดขีด
ลู่เซิ่งขบคิดว่าระดับคุณูปการของตนเองสมควรมากแล้ว จึงหยิบวิชาโอสถกลองพลบค่ำที่อยู่ด้านบนมาด้วย
เขานำวิชาแข็งกร้าวสองวิชาไปยังชั้นสามซึ่งอยู่สูงกว่า บนชั้นสามกลับอยู่เหนือความคาดหมาย ทั้งหมดจัดวางวรยุทธ์พื้นฐาน จำนวนไม่มาก แต่ว่าเป็นวรยุทธ์ที่แพร่หลาย เช่นหัตถ์หมีขยุ้มก็มีอยู่ด้วย แต่คล้ายเป็นฉบับปรับปรุง ทั้งหมดเป็นวรยุทธ์ที่ถ่ายทอดให้คนทั่วไปฝึกฝนได้
จากนั้นเขาขึ้นบนชั้นสี่ ที่ชั้นสี่เป็นวิชาเดินลมปราณกำลังภายใน วิชาเดินลมปราณมีอยู่หลายวิชา แต่ส่วนใหญ่เป็นวิชากำลังภายในสำหรับการเข่นฆ่าหลายแบบ หนำซ้ำวิชากำลังภายในทุกวิชามีแค่ชื่อกับการแนะนำโดยสังเขป ขณะเดียวกันยังระบุระดับคุณูปการด้วย
ลู่เซิ่งตรวจสอบอย่างละเอียด วิชากำลังภายในเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งของที่ซื้อได้จากตลาดเหมือนวิชาทมิฬพิฆาต ทั้งหมดเป็นของชั้นเลิศที่ฝึกฝนถึงระดับสำนึกปลอดโปร่งได้อยู่แล้ว บนวิชาเดินลมปราณกำลังภายในทุกเล่มมีบันทึกให้คำอธิบายไม่น้อย ทั้งหมดเป็นประสบการณ์อรรถาธิบายที่ผู้ฝึกฝนรุ่นก่อนทิ้งไว้ ทำให้คนเดินบนทางคดเคี้ยวน้อยลง ลดการทำข้อผิดพลาดได้มาก
เขาเลือกวิชาหยกโลหิตซึ่งมีความสามารถทำให้เลือดลมเดือดพล่านลงไปที่จุดแลกเปลี่ยนด้วย
“ผู้อาวุโส ข้าขอใช้ระดับคุณูปการแลกเปลี่ยนคัมภีร์ลับเหล่านี้” ลู่เซิ่งส่งวิชาที่ตนนำลงมาให้
ชายชราที่จุดแลกเปลี่ยนกวาดตามองคัมภีร์ลับบนโต๊ะ ทั้งหมดมีสามเล่ม วิชาหยกโลหิต วิชาโอสถกลองพลบค่ำ วิชาเสาสมบัติ
“ที่แท้เป็นหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ วิชาเดินลมปราณสามวิชา ตามระดับคุณูปการของท่าน แลกได้แต่วิชาเดินลมปราณหนึ่งวิชา หรือไม่ก็วิชาแข็งกร้าวสองวิชา”
ลู่เซิ่งงุนงง
“ระดับคุณูปการของข้าไม่พอหรือนี่”
“แน่นอน วิชาเดินลมปราณมีคุณค่าสูงยิ่ง เป็นเพราะมีประสบการณ์อรรถาธิบายอยู่ด้วย ดังนั้นจึงใช้บ่มเพาะบริวารข้ารับใช้ได้ วิชาแข็งกร้าวได้แต่ฝึกฝนทำความเข้าใจด้วยตัวเอง บวกกับระดับไม่เหมือนกัน ราคาย่อมไม่เหมือนกัน” ชายชรากล่าวอย่างมีเหตุผล
เขามีศักดิ์อาวุโสสูงยิ่ง เข้าพรรคนานกว่าหงหมิงจือประมุขพรรคเฒ่า ความเป็นมาลึกลับ ความสามารถไม่แน่ชัด ไม่ได้มีความเคารพนบนอบต่อหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกอย่างลู่เซิ่ง เพียงปฏิบัติตัวด้วยในระดับเดียวกัน
“แลกได้แค่วิชาเดียวหรือ วิชาแข็งกร้าวหรือวิชากำลังภายใน…” ลู่เซิ่งครุ่นคิด “เช่นนั้นเอาวิชากำลังภายในก็แล้วกัน”
ภารกิจเร่งด่วนคือพยายามยกระดับปราณภายใน เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองก่อน วิชากำลังภายวิชาใหม่ถึงแม้เป็นแค่ระดับสำนึกปลอดโปร่ง แต่ว่าสมควรมีส่วนช่วยไม่น้อยต่อการเรียนรู้วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับถัดไปของเขา
โดยเฉพาะจนถึงตอนนี้ แม้จะเพิ่มถึงระดับแปดแล้ว ก็ยังมีผลพิเศษเท่าเดิม เขาสงสัยว่าเป็นเพราะเรียนรู้วิชาน้อยเกินไป
“เช่นนั้นก็ได้ เอาวิชาหยกโลหิต วิชากำลังภายใน รวมถึงคัมภีร์ลับประสบการณ์วิชา ใช้ความดีความชอบใหญ่ในพรรคครั้งหนึ่ง” ชายชราค่อยๆ จด
คุณูปการในพรรคก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่งก็หมดลงโดยสิ้นเชิงด้วยเหตุนี้
เขานำคัมภีร์ลับวิชาหยกโลหิตออกจากเรือวาฬแดง กลับไปที่พักแล้วเริ่มฝึกฝนทันที
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจก็คือ วิชาเดินลมปราณระดับสำนึกปลอดโปร่งอย่างวิชาหยกโลหิตนี้ไม่อาจเข้าสู่ระดับเบื้องต้นได้เหมือนวิชาโซ่เก้าสินธุที่เขาฝึกไปก่อนหน้า
ตามเหตุผล วิชาหยกโลหิตเป็นประเภทเข้าสู่ระดับเบื้องต้นได้ง่าย ด้วยประสบการณ์การโคจรวิชากำลังภายในของเขาในตอนนี้ สมควรเกิดความรู้สึกถึงปราณชั่วคราวได้อย่างไม่ยาก
ทว่าในความเป็นจริง ลู่เซิ่งอยู่ในห้องสองวัน สัมผัสความรู้สึกถึงปราณไม่ได้แม้แต่น้อย
ถึงขั้นที่เขาเกิดคามรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
เวลาพลบค่ำ
ลู่เซิ่งเดินออกจากห้อง ยืนมองท้องฟ้ายามกลางคืนในตัวลานบ้าน
ดวงจันทร์ที่เหมือนคมเคียวลอยนิ่งอยู่กลางนภา พร่ามัวไม่ชัดเจนเหมือนกับผ้าโปร่งชั้นหนึ่ง รอบๆ มืดมิด ไม่มีแสงดาวสักจุดเดียว
‘รวมปราณเป็นดาว เปลี่ยนปราณเป็นโอสถ ภาชนะใดๆ ก็มีความจุจำกัด ร่างกายเป็นภาชนะใหญ่ บรรจุปราณภายในได้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย
หรือว่าปราณภายในในตัวเราถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นไม่อาจสร้างใหม่ได้อีก จึงมีความรู้สึกอึดอัด’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
เส้นลมปราณในร่างกายมีขีดจำกัด เหมือนกับหลอดน้ำเหล็กๆ หลายหลอด ปราณภายในเล็กละเอียด ย่อมบรรจุได้เยอะ แต่หลอดน้ำในที่สุดแล้วก็มีขีดจำกัดอยู่
ลู่เซิ่งรู้ว่าเมื่อตนใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับปราณภายในอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเจอคอขวดนี้ กลับคาดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้
‘นี่เป็นด่านยากที่คนธรรมดาคิดข้ามเหมือนกัน…’ เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง
ยื่นแขนขวาออกมา ปราณภายในทั่วร่างไหลเวียนเชื่องช้า ผิวบนแขนเกิดความรู้สึกบวมพองแทบปริ ถึงขั้นที่กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณรับรู้ถึงความเจ็บปวดอันชัดเจนได้
‘สมควรถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ วิชากำลังภายในสะสมถึงขีดจำกัดของร่างกายร่างนี้แล้ว” ลู่เซิ่งถอนใจ
‘ต่อจากนี้ คิดจะทำลายขีดจำกัด จำเป็นต้องขยายเส้นลมปราณในร่าง แต่วิธีการแบบนี้ถ้าไม่ใช่ยาดีโอสถทิพย์ วัตถุฟ้าสมบัติดิน ก็ต้องฝึกฝนวิชาเสริมสร้างกายเนื้อที่พิเศษส่วนหนึ่ง’ ความรู้ต่อวรยุทธ์ของลู่เซิ่งไม่ได้ตื้นเขินเท่าก่อนหน้า ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ได้รับทราบจากหงหมิงจือไม่น้อย
‘วิชาเสริมสร้างกายเนื้อ…’ ถึงแม้รู้เซิ่งจะได้รับทราบความรู้ทั่วไปจากหงหมิงจือ แต่ขณะเดียวกันก็รู้ด้วยว่า วิชาเสริมสร้างกายเนื้อและเส้นลมปราณเกรงว่าจะมีแค่ในเทพนิยายที่เคยได้ฟังมา
ในตำนานพื้นบ้านมีเรื่องเล่าประหลาดไม่น้อย เคยเอ่ยถึงว่ามีเซียนแปลงเป็นมนุษย์ แล้วถ่ายทอดวิชาเซียน สร้างคุณสมบัติกายเนื้อขึ้นใหม่
เขาพ่นลมหายใจ มองดูลานบ้านที่ดำทะมึนรอบๆ
‘มาอีกตัวแล้ว…’
ซู่…
ลู่เซิ่งยืนนิ่ง ปราณภายในซัดในร่าง ความร้อนที่ไร้รูปร่างม้วนคลุมและอบอากาศรอบๆ ให้ร้อนเหมือนกับเตา
ในรัศมีหลายหมี่ อากาศถูกปราณภายในเผาจนอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขายกฝ่ามือกระแทกไปทางขวา
ผัวะ!
ทั้งๆ ที่เป็นเป็นพื้นว่างบนลาน ไม่มีอะไรเลย กลับถูกฝ่ามือนี้กระแทกโดน ส่งเสียงเหมือนกระแทกใส่ไม้
เงาดำสายหนึ่งถูกกระแทกโผล่ขึ้นมา ร้องอย่างเจ็บปวด แล้วลุกไหม้
เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้บนร่างมันหลายอึดใจ จึงค่อยดับสนิทลง
เงาดำที่กลิ้งอยู่บนพื้น ลีบฝ่อและหลอมละลายอย่างต่อเนื่อง ไม่ทันไรก็กลายเป็นน้ำหนองหย่อมหนึ่ง
ลู่เซิ่งตรวจสอบบนพื้นอย่างค่อนข้างประหลาดใจ ไม่มีของเหลืออันใดเลย
‘ครั้งนี้ไม่มีปราณหยินเลยหรือนี่…’ เขาเสียดายอยู่บ้าง นึกในใจว่ารอบนี้อาจไม่ใช่ผี แต่เป็นจำพวกปีศาจ
นับตั้งแต่ให้พี่น้องตระกูลหลิ่วมาอยู่ห้องข้างตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สองที่เจอผู้ลอบโจมตี พลังในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนไม่น้อย แต่ก็ยังคงจัดการได้ด้วยฝ่ามือเดียว ใช้พลังยุทธ์ไม่ถึงสามส่วนด้วยซ้ำ
วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่เรียนรู้มาใหม่แสดงอานุภาพที่แข็งแกร่งเหี้ยมหาญในด้านสะกดภูตผี
‘ในเมื่อปราณภายในไม่มีวิธีแล้ว เช่นนั้นก็ลองจัดการเรื่องความจุเส้นลมปราณในร่างกายก่อน’ ลู่เซิ่งนึกถึงวิธีของตนก่อนหน้านี้ ฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวหลากหลายประเภทเป็นจำนวนมากเพื่อเสริมสร้างกายเนื้อ อาจมีความเป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงทางปริมาณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ
คิดแล้วทำทันที ระดับคุณูปการของลู่เซิ่งถูกวิชาหยกโลหิตผลาญไปหมดแล้ว คิดจะแลกเปลี่ยนอีก ต้องลงแรงช่วยพรรค จึงจะแลกได้ นี่เป็นกฎ
เช้าตรู่วันที่สอง เขาเรียกอวี้เหลียนจื่อมาถามไถ่สถานการณ์ในช่วงนี้
“อะไรนะ อวี้เหลียนจื่อออกไปด้านนอกสองวันแล้ว ป่านนี้ยังไม่กลับมา” ลู่เซิ่งมองนิ่งซานตรงหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
นิ่งซานมีสีหน้าละอายใจ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าน้อยถามทุกที่แล้ว ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อบอกว่าจะไปตรวจสอบคดีคนหายข้างแม่น้ำไม้สนช่วงก่อน ไปเฝ้ายามพร้อมกับมือปราบจากที่ว่าการหลายคน ภายหลังคล้ายค้นพบบางสิ่งจึงไล่ตามไป ตอนนี้ยังไม่กลับมา”
“มีวิธีติดต่อเขาหรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม
“ลองใช้ควันไฟส่งข่าวดูก็ได้ แต่ไม่อาจรับประกันว่าเขาจะเห็น” นิ่งซานตอบ
“มือปราบพวกนั้นเล่า”
“มีคนหนึ่งวรยุทธ์สูงส่ง ไล่ตามไปด้วย ตอนนี้ยังไม่กลับมาเช่นกัน” นิ่งซานสืบมาเรียบร้อย ตอบอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งนั่งไตร่ตรองบนเก้าอี้
“ช่วงนี้มีเรื่องประหลาดอันใดเกิดขึ้นรอบๆ เมืองเลียบคีรีหรือไม่” เขาซัก
นิ่งซานครุ่นคิด กล่าวว่า “เป็นเรื่องประหลาดข้างแม่น้ำไม้สนนั่นเอง ที่เหลือคลื่นลมสงบจริงๆ นอกเมืองไม่เกิดเรื่องอีก”
“ไม่มีเรื่องเลยหรือ เจ้าแน่ใจหรือไม่” ลู่เซิ่งงุนงง ต่อให้เป็นยามปกติ เมืองเลียบคีรีที่มีขนาดใหญ่ก็อาจมีคนหลายคนจมน้ำตาย หรือข้ารับใช้นักการหายตัวไปหลายคน หรือไม่ก็จวนขุนนางประกาศจับนักโทษหลบหนีเป็นครั้งคราว
แต่พอไม่มีเรื่อง กลับเป็นความผิดปกติที่สุด
“แน่ใจ หลายวันมานี้ข้าน้อยติดตามใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อไปตรวจสอบคดีนี้ด้วยกัน จึงทราบรายละเอียดไม่น้อย” นิ่งซานตอบรวบรัด
“เรื่องที่อวี้เหลียนจื่อจัดการ เหตุใดไม่บอกข้า” ลู่เซิ่งไม่พอใจอยู่บ้าง เรื่องประหลาดทำนองนี้สุดท้ายให้เขาจัดการด้วยตัวเองถึงจะถูก อวี้เหลียนจื่อถึงอย่างไรก็เป็นมือรอง
“เอ่อ…ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อคิดลองจัดการดูเองก่อน ถ้าไม่ไหว ค่อยให้ใต้เท้าลงมือ” นิ่งซานตอบด้วยรอยยิ้มหนักใจ
“เจ้าเล่ารายละเอียดเรื่องนี้ให้ข้าฟังดู” ลู่เซิ่งขาดระดับคุณูปการของพรรคพอดี จึงวางแผนว่าจัดการเรื่องนี้เสร็จ ค่อยไปแลกวิชาแข็งกร้าวที่เหลือ
เมื่อเขาพยักเพยิด นิ่งซานก็เล่าคดีผีกลางคืนบนแม่น้ำไม้สน
ที่แท้ก่อนหน้านี้พักหนึ่ง ราวครึ่งเดือนก่อน ชายฝั่งข้างแม่น้ำไม้สนใกล้เมืองเลียบคีรี
มีชาวประมงลุกขึ้นมาปลดทุกข์ตอนกลางคืน เห็นข้างแม่น้ำไม้สนมีคนกำลังแบกเกี้ยวเดินอย่างเอ้อระเหยกลางดึกกลางดื่น
เป็นเพราะอยู่ห่างเกินไปจึงเห็นไม่ชัด ชาวประมงมีความสงสัย จึงเข้าไปดูใกล้ๆ คาดไม่ถึงมีคนหายไปเจ็ดแปดคนติดต่อกันเพราะสาเหตุนี้ ดึงดูดความสนใจของคหบดีท้องถิ่น หลังจากตรวจสอบแล้วไร้ผล คหบดีจึงรายงาน ส่งต่อเป็นลำดับ คนที่หายตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเรื่องมาถึงเมืองเลียบคีรี
“ปกติธรรมชาติของคดีหายสาบสูญต้องเลวร้ายก่อนจริงๆ จึงจะส่งมาถึงเมืองเลียบคีรี คดีทั่วไปคนเบื้องล่างจัดการได้เอง มีแต่จะไร้หนทางจริงๆ จึงจะรายงานเป็นลำดับ” นิ่งซานกล่าวเบาๆ
……………………………………….