ชุดคลุมเพลิงลุกไหม้ ผมยาวลุกไหม้ คิ้วลุกไหม้ กายเนื้อลุกไหม้ วิญญาณ…ลุกไหม้!
กายและจิต ชีวิตและวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำลังลุกไหม้
ไม่ว่าจะเป็นงูวารีหรือน้ำแข็งทมิฬล้วนพังทลายลงทันใด ท่ามกลางไอน้ำสีขาวเวิ้งว้าง ทั้งร่างจั่วกวงเลี่ยอาบไปด้วยเพลิง
เขาก้มหน้ามองมือที่มีไฟลุกโชนของตน เหมือนกำลังสัมผัสพลังจากวิชาต้องห้ามของราชวงศ์วิชานี้
จากนั้นเขาพลันเงยหน้ามองไปยังเหยี่ยวขนดาบที่อยู่กลางฟ้า!
ในเสี้ยวพริบตาที่สายตาสบประสาน ชายหน้ากากเหล็กก็ทิ้งตัวดิ่งลงมาอย่างไม่ลังเล
เหยี่ยวขนดาบล้ำค่าตัวนั้น…ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านทันที!
ครั้นสองมือของจั่วกวงเลี่ยประสาน ดอกไม้ไฟแต่ละดอกก็เบ่งบานกลางท้องฟ้า กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา
เปลวไฟเผาไหม้ลุกโหม เผาผืนฟ้าไหม้ผืนดิน
แม้แต่ตราเวทเก้าอสูรหยินทมิฬที่รวมตัวอยู่บนเมฆสูงก็เหมือนกลายเป็นฟืนให้ไฟลุกโชน
วิชาบุปผาเพลิงเผาเมืองวิชานี้พูดได้ว่าเป็นผลงานรังสรรค์ที่อัจฉริยะที่สุดของจั่วกวงเลี่ย ตอนอายุสิบเก้าปีเขาก็ใช้วิชานี้สู้ทำลายเมือง!
ดอกไม้เพลิงงดงามเป็นอย่างยิ่ง และยังทรงพลังเป็นอย่างมาก
ชายหน้ากากเหล็กแบสองมือขณะที่พุ่งลงมา นิ้วทั้งสิบกางออก ทุกนิ้วมีเส้นไหมโปร่งแสงเชื่อมอยู่ อีกด้านหนึ่งของปลายเส้นไหมพุ่งเข้าไปในหีบทองแดงแล้วพลันกระชากออกมา!
หุ่นเชิดอีกา!
นิ้วทั้งสิบของเขาพลิ้วไหว หุ่นเชิดอีกาจำนวนมหาศาลบินออกมาจากหีบทองแดงและพุ่งไปทางดอกไม้เพลิงเหล่านั้น หุ่นเชิดอีกาทุกหนึ่งตัวสามารถดับดอกไม้เพลิงได้หนึ่งดอก ประกายไฟเหมือนไร้ที่สิ้นสุด แต่หุ่นเชิดอีกามีอยู่จำกัด
กงหยางไป๋ไม่มีเวลาจะสนใจพลังย้อนกลับเมื่อคุกน้ำแข็งทมิฬถูกทำลาย เขาใช้นิ้วชี้ดันคางแล้วอ้าปากทันใด! หมอกเย็นยะเยือกขาวโพลนพุ่งออกมาจากปากของเขา หมอกทะลักไปทางไหน ดอกไม้เพลิงทางนั้นก็ดับมอด
วิชาลับสายเลือดตระกูลกงหยาง พ่นลมหายใจเป็นน้ำค้างแข็ง
ผู้ฝึกตนชุดดำที่เขานำมาทั้งสิบแปดคนก็ประสานปางมือตาม
ดอกไม้เพลิงและน้ำค้างแข็งปะทะกันเกิดเป็นไอน้ำขาวโพลน รวมตัวเป็นเมฆบนท้องฟ้าสูง
ทันใดนั้นพายุฝนเทกระหน่ำ ดังกระหึ่มไปทั่วฟ้า
สิบแปดผู้ฝึกตนรวมพลัง เกิดเป็นพายุฝนโหมกระหน่ำนี้!
ดอกไม้เพลิง น้ำค้างแข็ง พายุฝน ทั้งสามสิ่งปรากฏอยู่กลางฟ้าเพียงเวลาสั้นๆ เกิดเป็นภาพอันงดงามน่าทึ่ง
ท่ามกลางภาพที่งดงามนี้ ชายในชุดคลุมเพลิงที่งามสง่าพลันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า “พลังมหาอัคคี เผานภาเผาสมุทร บรรพชนจู้หรง[1] จงมาสถิตที่ข้า!”
ในกายของเขา แสงไฟสงบที่แตกต่างไปจากไฟอื่นๆ พลันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
แค่การขยายใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้เท่านั้น อีกาก็ลุกไหม้ขึ้นเอง เมฆดำสลายไป พายุฝนจางหายไร้ซึ่งร่องรอย!
ดึงดูดจุดสนใจไปทั้งหมดทันที!
กงหยางไป๋หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน “เขาเอาเชื้อไฟจู้หรงมาจากที่ใด! กระตุ้นกายแท้จู้หรงได้อย่างไรกัน”
“นี่แหละคือจั่วกวงเลี่ย…” ชายหน้ากากเหล็กสยายปีกเหล็กจักรกลออกมาคู่หนึ่ง ลอยอยู่ข้างกายกงหยางไป๋ น้ำเสียงที่กล่าวเคร่งขรึมจริงจัง “บุคคลที่แทบจะใช้แค่พลังของตนคนเดียวบุกฝ่าด่านอวี้กู่!”
ท่ามกลางพลังสายอัคคีที่ขยายขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ทวารทั้งเจ็ดของจั่วกวงเลี่ยลุกไหม้
“เข้ามา! โม่จิงอวี่!”
“กงหยางไป๋!”
จั่วกวงเลี่ยสะบัดมือไปง่ายๆ เจียว[2]อัคคีก็ฉีกทึ้งผืนฟ้า บีบให้พวกกงหยางไป๋ล่าถอยไปไม่หยุด
“สำนักดัง! ตระกูลดัง! อัจฉริยะอะไรกัน! เมื่ออยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าอวดดีเรียกแทนตัวเช่นนั้นอีกหรือ!”
เขาเหมือนถูกเชื้อไฟจู้หรงเผาจนคลุ้มคลั่ง สูญเสียสติสัมปชัญญะ อารมณ์พลุ่งพล่าน
“ความแค้นที่บ้านเมืองถูกทำลาย ต่อให้ใช้ทะเลแม่น้ำลบล้างก็ยากจะล้างได้หมด!”
ศึกอวี้กู่พ่ายแพ้ไปแล้ว เขาเหมือนได้ยินเสียงครอบครัวนับหมื่นในรัฐฉู่ครวญคร่ำ
ทั้งยังเหมือนเห็นบิดาที่รบตายตอนเขาอายุสิบปีท่ามกลางกองไฟนั้น…คล้ายกำลังพูดอะไรกับเขา
พูดว่า…อะไรกัน
จั่วกวงเลี่ยหัวเราะลั่น หัวเราะจนน้ำตาหลั่งริน แต่หยดน้ำตาก็ถูกเผาแห้งเหือดไปในพริบตา
“ศีรษะงามๆ อยู่ที่นี่แล้ว ใครมีปัญญาตัดมันลงมาได้?”
ด้านหลังเขามีเงาเทพที่สูงส่งน่าเกรงขาม มือกุมมังกรเพลิงปรากฏอยู่รางๆ
ในที่สุดเขาก็เผาทุกอย่าง หลอมละลายไปในไฟ
“ผู้ที่สังหารข้าได้มีเพียงข้า ผู้ที่เผาวิญญาณข้าได้มีเพียงจู้หรง!”
ในดวงตาที่มีเปลวไฟแดงฉานลุกไหม้ของเขา ในที่สุดก็สูญเสียซึ่งความรู้สึกทุกอย่าง
มีเพียงจิตสังหารที่เยียบเย็นเป็นที่สุดจับจ้องไปยังร่างของคนที่ล้อมโจมตีเขาเหล่านี้
“ตาย!”
โม่จิงอวี่พลิกมือไปข้างหลัง คิดจะเปิดหีบทองแดงที่แบกไว้และสำแดงวิชารักษาชีวิตสุดท้ายออกมา แต่มือของเขาสั่นระริกไม่หยุด เค้นพลังไม่ออกแม้แต่เศษเสี้ยว
ในจิตสัมผัสรับรู้ของเขาไม่มีเขตชนบท ไม่มีอารามเต๋าร้าง กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดสักคน มีเพียงไฟกับคลื่นไฟที่ไร้ขอบเขตเท่านั้น เปลวไฟลุกโหมรุนแรงจนแทบจะบิดมิติจนเบี้ยว และเกือบเผาความคิดของเขาเป็นเถ้าถ่าน
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขากับพวกขอทานที่ตายไปจะมีอะไรแตกต่างกัน
……
ขอบฟ้ามีแสงเย็นเยือกเส้นหนึ่งตรงมาจากทางตะวันตก
เพียงแค่หางตาเหลือบเห็นภาพนี้ กงหยางไป๋ก็มีความรู้สึกเหมือนตาถูกกรีด!
เขาไม่ทันได้พิจารณาให้ดี เพราะแค่เสี้ยวพริบตาที่เห็น แสงเย็นเยือกกลุ่มนั้นก็พุ่งไปถึงตรงหน้าจั่วกวงเลี่ย วนๆ แล้วลอยผ่านไป!
เสียงคำรามของจั่วกวงเลี่ยพลันเงียบสนิท
“หนวกหูจะตายอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มสวมชุดขาวพลันปรากฏตัวขึ้น
เขามีใบหน้าที่เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ยืนหันข้างอยู่ตรงนั้น ราวกับจะรักษาระยะห่างกับมนุษย์ไปตลอดกาล
เขาเก็บกระบี่ลงฝักอย่างช้าเนิบ เสียงพูดก็เรียบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ
ศีรษะของจั่วกวงเลี่ยร่วงหล่นทันใด กลิ้งขลุกๆ ไปบนพื้นสองรอบ แต่เพราะสำแดงเลือดเดือดพล่านเผาวิญญาณ จึงไม่มีเลือดสักหยดสาดกระจายออกมา
จวบจนถึงตอนนี้ เสียงครืนครานเลื่อนลั่นของฟ้าร้องถึงจะดังขึ้นบนท้องฟ้า!
นั่นเป็นเสียงแหวกฟ้ามาจากทางตะวันตกด้วยกระบี่เดียวของชายชุดขาวนั่นเอง!
……
กงหยางไป๋และโม่จิงอวี่มองตากัน ต่างมองเห็นความตื่นตะลึงหวาดกลัวสุดขีดในดวงตาของอีกฝ่าย
“หลี่อี ข้ารับคำบัญชาจากฝ่าบาทอิ๋งอู่…”
กงหยางไป๋พูดถึงแค่ตรงนี้ก็หุบปาก เก็บศีรษะของจั่วกวงเลี่ยขึ้นมาแล้วหมุนตัวบินจากไป
เพราะชายชุดขาวคนนั้นเบนสายตามาหาตัวเองแล้ว
ผมของเขา คิ้วของเขา ตาของเขา กระทั่งมุมปากของเขา ต่างก็คมกริบดุจกระบี่ แต่แววตากลับเรียบนิ่งจนแทบไร้ความรู้สึก
ทว่าความไร้ความรู้สึกนั้นนำมาซึ่งความเย็นชาที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน
ไม่ว่าจะเป็นบุคคลอัจฉริยะของสำนักโม่อันเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณ หรือจะเป็นสายเลือดจากสำนักชื่อดังมากมาย
ไม่มีใครกล้าถามว่าทำไม ไม่มีใครกล้าพูดมากแม้เพียงคำเดียว
……
จั่วกวงเลี่ยตายแล้ว แต่เชื้อไฟจู้หรงในกายของเขาไม่ได้สลายไปด้วย ยังคงขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ
พลังนี้ไม่ใช่พลังที่คนใกล้ตายอย่างจั่วกวงเลี่ยจะควบคุมได้เลย เขาเป็นเพียงสิ่งเหนี่ยวนำและสื่อกลาง อาศัยความอัจฉริยะและความยอดเยี่ยมของเขา ให้พลังยิ่งใหญ่ของกายแท้จู้หรงได้ระบายออกมาเล็กน้อยในชั่วเวลาสั้นๆ บนโลกใบนี้
ชายชุดขาวสะบัดป้ายคำสั่งสีดำแผ่นหนึ่งออกมา จ้องมองมันอย่างเงียบงัน
ป้ายคำสั่งสีดำนั้นเงียบอยู่นาน ก่อนจะมีเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้น… “ไม่ติดค้างกันแล้ว”
เพิ่งสิ้นคำพูด ป้ายที่เป็นวัสดุธรรมดาๆ แผ่นนี้ก็เหมือนแบกรับเสียงนี้ไม่ไหว พลันแหลกละเอียดกลายเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วน ไหลตามร่องนิ้วของหลี่อีและปลิวร่วงลงไป
จวบจนนักพรตจากไปทั้งหมด ป้ายคำสั่งในมือก็แหลกละเอียดหมดแล้ว หลี่อีเอียงศีรษะมองไปยังเชื้อไฟจู้หรงที่กำลังขยายตัวอยู่กลุ่มนั้น
เขายื่นมือเรียวยาวขาวเนียนออกไป นิ้วทั้งห้ารวบเป็นลักษณะคล้ายถุง
จนถึงตอนนี้ ในยามที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาถึงได้เผยความไร้เดียงสาราวเด็กน้อยออกมาให้เห็นจากความเฉยเมยเย็นชาตามปกติ
เขาร้องออกมาเบาๆ “บึ้ม!”
ในเวลาเดียวกับที่นิ้วทั้งห้ากางออก เชื้อไฟจู้หรงก็ระเบิดพอดี
พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งควบคุมการระเบิดครั้งนี้เอาไว้ ทำให้ไม่ขยายวงออกไป เพียงระเบิดร่างของจั่วกวงเลี่ยกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วนเท่านั้น
ดอกไม้ไฟแดงฉานเบ่งบานอย่างเต็มที่ในพื้นที่เล็กๆ เจิดจ้าในพริบตาหนึ่ง พร่างพรายไปในแถบหนึ่ง
ภาพที่งดงามอย่างยิ่งนี้มีให้เขาได้ชื่นชมเพียงคนเดียว
มุมปากของหลี่อียกยิ้มจางๆ แต่ก็หุบกลับไปทันควัน
ดอกไม้ไฟจางหายไปหมดแล้ว
เขาไม่ดูว่าร่างของจั่วกวงเลี่ยทิ้งอะไรเอาไว้ ยิ่งไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้เพียงเศษเสี้ยว เขาตามแสงกระบี่จากไปไกลในทันที
……
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนจบ ระหว่างการต่อสู้นอกอารามเต๋าร้างไร้ชื่อแห่งนี้ ไม่มีใครสนใจมองไปยังอารามร้างแม้แต่น้อย
สำหรับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งแล้ว ยากนักที่จะมาเหลือบแลรัฐจวงที่อ่อนแอ สำหรับดินแดนสามพันลี้ของรัฐจวง เมืองเฟิงหลินก็เล็กจ้อยราวฝุ่นธุลี และด้วยตัวเมืองเฟิงหลินเล็กๆ แห่งนี้เอง อารามเต๋าร้างในแถบชนบทจึงถูกผู้คนลืมเลือนไปนานแล้ว
แต่ในอารามร้างแห่งนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนอยู่
คนผู้นั้นเป็นขอทานที่ลมหายใจรวยรินนอนรอความตายคนหนึ่ง
เขาเตรียมตัวตายเอาไว้แล้ว อีกทั้งกำลังรอคอยมันอยู่ แต่เขายังไม่ตาย หนำซ้ำยัง ‘ได้ยิน’ เสียงสุดยอดการต่อสู้นั่นตั้งแต่ต้นจนจบด้วย
ยามที่การต่อสู้จบลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
เขายังมีชีวิตอยู่
บางทีเขาอาจจะโชคดี แต่โชคดีคำนี้ไม่ค่อยจะเข้ากับเขาเลย เสื้อผ้าขาดวิ่นของเขา ใบหน้าผอมซูบ กระทั่งลมหายใจที่ใกล้จะหลุดลอยเต็มที ล้วนบรรยายถึงคำจำกัดความของความโชคร้ายทั้งสิ้น
ทว่าอย่างไรเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยายามพลิกตัวกลิ้งออกมาจากใต้โต๊ะบูชา
เขากัดฟัน ใช้พลังทั้งหมดที่มีพยายามโซซัดโซเซยืนขึ้นมา
สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืนได้
จากหน้าโต๊ะบูชาเดินไปถึงนอกอารามเต๋า ทั้งหมดรวมหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดก้าว
จากหน้าประตูอารามเดินไปถึงหน้าซากร่างของจั่วกวงเลี่ย ทั้งหมดรวมสามร้อยยี่สิบสี่ก้าว
ขอทานขยับฝีเท้าของตัวเองอย่างเงียบงัน บอกกับตัวเองไม่หยุดว่าใกล้ถึงแล้ว
ใกล้แล้ว
กล้ามเนื้อทุกมัดทั่วร่างล้วนต่อต้าน ล้วนกำลังสั่นสะท้าน
ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าพลังจากไหนทำให้เขาเดินต่อไปข้างหน้าได้
พลังใจอันน่าทึ่งของเขาไม่มีผู้ใดเห็น
ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าซากร่างของจั่วกวงเลี่ย การเดินทางอันยากลำบากในที่สุดก็ถึงปลายทางเสียที…หากเศษเนื้อกองนั้นยังสามารถเรียกว่าซากร่างได้ละก็
เขาค่อยๆ นั่งยองลงไป หากนั่งยองก็ช่างเหนื่อยนัก ดังนั้นจึงนั่งลงไปเสียเลย
เขาป่วยสาหัสจริงๆ จากคราบไคลที่ทำให้ยากจะพิจารณาใบหน้าของเขา ก็ยังคงมองเห็นความซีดเซียวอ่อนแรงได้
มือของเขากระทั่งว่ากำลังสั่นเทา
สั่นสะท้านพลางคลำไปในเศษเนื้อกองนั้น
เศษเนื้อ เศษเนื้อ เศษกระดูก โลหะอะไรสักอย่างที่แตกหัก เศษเนื้อ กระดูกนิ้ว กระดูกไม้ครึ่งท่อนที่มองไม่ออก…
ขวดขวดหนึ่ง!
หลังจากคุ้ยเลือดเนื้อที่จำเค้าเดิมไม่ได้กองนั้น เขาเจอขวดหยกครึ่งขวด!
ปากขวดถูกระเบิดแตกไปหมด เหลือเพียงส่วนก้นขวด
ขอทานสะกดลมหายใจที่หอบกระชั้นเล็กน้อยของตัวเองพลางหยิบขวดหยกนี้มาไว้ข้างหน้า
เขาหยิบเศษเนื้อที่อุดขวดไว้ออกอย่างระมัดระวัง แล้วมองลงไปที่ก้นขวด
ยามเห็นว่าในขวดเหลือเพียงโอสถสีดำขลับลักษณะกลมเกลี้ยงเม็ดหนึ่ง ลมหายใจก็หยุดชะงักไป
เขาจำได้ นั่นเป็นสิ่งที่เขาคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่เขาเคยได้มาแต่สุดท้ายก็สูญเสียไป ลูกกลอนเปิดชีพจร!
………………………………………………………
[1] จู้หรง คือเทพเจ้าแห่งไฟตามตำนานและความเชื่อพื้นบ้านของจีน
[2] เจียว หรือมังกรเจียว ตามตำนานจีนเป็นมังกรมีเกล็ดชนิดหนึ่งที่สร้างอุทกภัยได้ บ้างก็ว่าเจียวอายุครบพันปีจึงจะนับว่าเป็นมังกร