ดวงตาสีเหลืองอำพันที่สวยงามอย่างหาสิ่งใดเปรียบมิได้คู่นั้นมองไปยังหญิงสาวที่สลบไสลอยู่กลางซากปรักหักพัง
สายตาของเขานั้นกำลังพรรณนาภาพของหญิงสาวผู้นั้น และใบหน้าของนาง
“แค่ก แค่ก แค่ก!” เขาไอขึ้นมาอย่างรุนแรง และที่มุมปากของเขานั้นก็ได้มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา
เสียงของเขากลายเป็นเสียงที่แหบพร่าอย่างที่สุด แล้วได้กล่าวขึ้นอย่างมิยอมให้ผู้ใดกล่าวขึ้นมาแทรก “ช่วยนาง!”
“อย่าให้นางตาย!”
“นายน้อย!”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้หมดสติไป เขาเองก็หมดสติล้มลงไปเช่นกัน
ซวนอีมองสาวน้อยผู้นั้นที่หมดสติล้มลงไป ใบหน้าของเขานั้นได้แสดงออกมาถึงความสับสนเป็นอย่างมาก
นายน้อยของพวกเขามิใช่ผู้มีเมตตาแห่งพระพุทธศาสนาของแคว้นจักรวรรดิฟ้านอิน ที่จะไปเกิดความสงสารแก่คนทั้งใต้หล้า และเมื่อพบเจอความเป็นความตายจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
ถึงแม้ว่าชีวิตของผู้คนทั้งเมืองจะหายวับไปในพริบตา EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสาวน้อยผู้หนึ่งที่มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขาเลย
ซวนอีมองมู่เฉียนซีอย่างพิจารณา หรือว่านายน้อยชอบในรูปลักษณ์ของสาวน้อยผู้นี้เข้าแล้ว?
ต้องบอกเลยว่าแม้แต่เขาที่ได้พบเจอพบเห็นสาวงามามิน้อย ก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ช่างไร้ที่ติ
หรือว่า นายน้อยที่ไม่เคยหวั่นไหวมาโดยตลอดได้เกิดความหวั่นไหวขึ้นแล้ว?
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขามิอาจที่จะขัดคำสั่งของนายน้อยได้
ซวนอีรู้สึกว่า EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq
หลังจากที่พวกเขาได้ออกมาจากกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรแล้ว ก็ได้พบกับพวกมดปลวกกลุ่มหนึ่งที่กระโดดออกมาและพลันกล่าวขึ้น “ส่งตัวมู่เฉียนซีมา!”
“พวกเจ้าเป็นใคร? ส่งตัวมู่เฉียนซีออกมา!”
ซวนอีกล่าวพึมพำกับตนเอง “ที่แท้แม่สาวน้อยนั่นก็ชื่อว่ามู่เฉียนซีนี่เอง ชื่อฟังดูไม่เลวเลย!”
เมื่อเผชิญกับพวกมดปลวกที่ขวางทาง ซวนอีได้พุ่งฆ่าฟันฝ่าออกไป
ใครก็ตามที่กล้ามาขวางทางพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องถูกเสียบแทงที่ขั้วหัวใจในกระบวนเดียว และต้องกลายเป็นศพไปเป็นแน่
ในครานี้คนของกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรได้หวาดกลัวเข้าเสียแล้ว
“มู่เฉียนซีได้ถูกบุรุษผู้แข็งแกร่งหลายคนช่วยเหลือไปแล้ว? พลังความสามารถของคนผู้นั้น อย่างต่ำก็เป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หก นั่นเป็นไปได้อย่างไร?”
“หรือว่าสาวน้อยผู้นั้นมิใช่คนพื้นถิ่นของแดนใต้? หรือไม่ก็เบื้องหลังของนางนั้นเป็นกองกำลังระดับขั้นสำนักนิกายระดับสาม!”
“………..”
ในตอนนี้หัวหน้าของผู้นำเจ็ดอสูรเริ่มมีเหงื่อตกออกมาตามแผ่นหลังแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนั้นละก็…..
“ไอ้พวกห่าหุบเขาหมอเทวดา ทำให้ข้าอนาถนัก!”
“ท่านหัวหน้า เช่นนั้นแล้วจะทำเช่นไรกับชายผู้นั้น? เขาได้หมดสติไปแล้ว”
“เอาตัวเขาไปก่อน! เมื่อถึงตอนที่สาวน้อยนั่นมาสร้างความลำบากวุ่นวาย ข้าจะยังมีเบี้ยในมือเอาไว้ต่อรอง”
“ขอรับ!”
แดนนรก แดนเลือด
สีแดงและดำผสมผสานอยู่ด้วยกัน เป็นแดนคุกเลือดที่ลึกที่สุดจนมิอาจจะหยั่งถึงได้
เงาร่างสีเขียวได้พุ่งเข้าไปในห้องที่มืดครึ้มนั้น เอวบางเล็กที่กำลังนอนบิดอยู่นั้นช่างน่าเย้ายวนอยากหาสิ่งใดเปรียบได้
เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วกล่าว “ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองสำนักแห่งโลกทั้งสี่ทิศนั้นไปได้ข่าวมาจากไหน ได้ยินมาว่าตัวกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ที่สนามรบโบราณในทวีปเหลยโจวของโลกสี่ทิศนี้ เจ้าว่าจะเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นกับคนงามของเจ้าหรือไม่เล่า!”
บุรุษตรงหน้านั้นมีใบหน้าที่งดงามไร้ตำหนิ ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ตาม ล้วนแต่ไร้ที่ติเสียจนเกินจริง
แต่ความหนาวเหน็บที่กัดเซาะกระดูกนั้น กลับทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมองเขาแม้แต่พริบตาเดียว ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าพราวเสน่ห์ปานใด แต่กลับดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งอายุหมื่นปีก็มิปาน
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่กองกำลังเล็กน้อยของขั้นสำนักนิกายระดับสาม ถ้าพวกเขากล้าที่จะแตะต้องซี! เช่นนั้นพวกเขาก็ควรที่จะหายไปจากโลกทั้งสี่ทิศนี้ได้แล้ว”
ไอเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย มันแทบทำให้ทุกคนในวังคุกโลหิตสั่นสะท้าน
สรุปแล้วไอ้ตาบอดผู้ใดทำให้ท่านโกรธกริ้วอีกแล้ว?
จิ่วเยี่ยได้หายวับไปในห้องหนังสือ “ข้าจะเก็บตัวเพื่อสะกดคำสาป ธุระส่วนที่เหลือพวกเจ้าจัดการกันเอง”
ทุกครั้งจิ่วเยี่ยจะสะกดคำสาปจนถึงขั้นที่มันมั่นคงที่สุดแล้วจึงไปพบมู่เฉียนซี หากมิเช่นนั้นละก็เขาอาจจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้….อดกลั้นเอาไว้มิอยู่แล้วไปทำร้ายผู้ที่เขาให้ความสำคัญเป็นที่สุด
จื่อโยวร้องตะโกนขึ้น “เยี่ย เจ้ารอก่อนสิ ข้า…..”
“โอ้ สวรค์! เจ้าคิดที่จะเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนใจกิจการร้านอีกแล้ว หากรู้เช่นนี้แต่แรกข้าไม่เอาข่าวสารนั่นบอกแก่เจ้าเสียหรอก”
จื่อโยวอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ถ้าหากว่าไม่บอกข่าวนั้นแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับคนงามเพียงน้อยนิดละก็ เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้จบแค่การเป็นแรงงานทาสอย่างง่ายดายเช่นนั้นแน่ แต่คงจะเป็นความเป็นอยู่ที่ทรมานอย่างไม่สู้ตายไปเสีย!
มู่เฉียนซีลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนั้นนอนอยู่บนเตียง
นางได้โคจรพลังวิญญาณขึ้นมา มู่เฉียนซีรู้แล้วว่ามีคนยัดสมุนไพรวิญญาณให้นางกินไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ยารักษาอาการบาดเจ็บระดับปฐพีขั้นสูง!
ชายที่ได้ช่วยนางเอาไว้เป็นผู้ใดกันแน่? พานางออกจากป่าเชียนโยวและยังให้นางใช้ยาเม็ดชั้นดีเช่นนี้
ในเมื่อตนเองได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นอาการบาดเจ็บที่เหลืออยู่และยังไม่ทันได้ฟื้นฟูขึ้นมา มู่เฉียนซีจึงได้จัดการมันด้วยตนเอง
เมื่อนางจัดการเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้ผลักประตูเปิดแล้วเดินออกไป!
นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยม แต่เป็นจวนขนาดใหญ่ที่สง่างามและเงียบสงบ
สถานที่แห่งนี้ใหญ่โตนัก แต่ทว่ากลับว่างเปล่าเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีนั้นไม่เห็นเลยแม้แต่เงาของคนสักคนเดียว
รอจนเมื่อนางได้เดินไปถึงที่ระเบียงทางเดินที่ยืดยาวนั้น ในที่สุดก็ได้พบเข้ากับสาวใช้ผู้หนึ่ง
สาวใช้เห็นนางแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหม่า “บ่าวคารวะนายท่าน”
พวกนางล้วนไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีเป็นผู้ที่คนเหล่านั้นได้ผ่านมาช่วยก็เท่านั้น แต่สาวใช้กลับนึกว่านางเป็นพวกเดียวกัน ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโต
มู่เฉียนซีถามขึ้น “พวกเขาเล่า?”
“นายน้อยและใต้เท้าคนอื่นๆอยู่ที่จวนตะวันออก”
“พาข้าไปที่นั่น!” ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะช่วยนางไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะสถานะตัวตนระดับใด นางก็จะต้องไปเพื่อที่แสดงความขอบคุณในน้ำใจสักครา
สาวใช้ผู้นั้นได้พานางไปยังจวนตะวันออก แต่ยังไม่ทันเข้าไปก็ถูกผู้ที่เฝ้าประตูอยู่นั้นขวางเอาไว้
สายตาของเขานั้นเหมือนกับธนูของเขามิมีผิด เขามองมู่เฉียนซีอย่างพิจารณา “เจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว”
ซวนอีไม่ชอบมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก ถ้าหากมิใช่เพราะนางทำให้ต้องเสียเวลาไปอยู่บ้าง อาการบาดเจ็บของนายน้อยก็คงจะไม่กลายกลับเป็นเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ชอบนางเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซียิ้มบางๆแล้วกล่าว “ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ หากพวกท่านไม่รังเกียจที่จะบอกสถานะตัวตนแก่ข้า ในภายหน้าข้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่ารังเกียจที่จะบอกกันแล้วละก็ วันหน้าหากมีวาสนาได้พบกันอีก ข้าก็ยังคงจะตอบแทนเช่นเดิม”
มู่เฉียนซีนั้นรู้ดีว่า ด้วยพลังความสามารถของตนเองในตอนนี้ และแม้ว่าสถานะตัวตนของนางจะสูงส่ง แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นจะไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างแน่แท้
แต่นางเชื่อมั่นในพลังความสามารถของนางในภายภาคหน้าและหอหมอปีศาจของนาง จะต้องไปถึงความสูงส่งขั้นนั้นอย่างแน่นอน
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของเขา หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับกล่าวประโยคเหล่านี้ออกมาอย่างใจเย็น
รูปลักษณ์อันสูงส่งและสง่างามอย่างไร้ที่ติ นั่นให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาได้พบกับนายน้อยรอง ฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ชอบกล่าววาจานัก เขาเหมือนกับเป็นน้ำเต้าที่ถูกอุดปากก็มิปาน และทำเพียงแต่จ้องมองนางเอาเช่นนั้น นั่นทำให้มู่เฉียนซีจนปัญญายิ่งนัก
“นางกล่าวขึ้น “นำคำของข้า ฝากไปให้ผู้เป็นนายของเจ้า!”
ในเมื่อลูกสมุนผู้หนึ่งเป็นถึงระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับที่หก มู่เฉียนซีก็สามารถคาดเดาได้ถึงสถานะตัวตนของคนผู้นั้นแล้วว่าเบื้องหลังของเขาจะต้องน่าสะพรึงเป็นอย่างมากแน่นอน
ตอนนี้ยังไม่ง่ายนักที่จะคบค้าสมาคมกับฝ่ายตรงข้ามให้ลึกซึ้งมากเกินไป อย่างไรเสียด้วยพลังความสามารถเพียงน้อยนิดเช่นนี้มันยังไม่พอที่จะให้หันมามอง
มู่เฉียนซีโบกมือพร้อมกล่าวขึ้น เช่นนั้น พบกันใหม่หากมีวาสนา!” นางหันกายอย่างสบายใจและเตรียมที่จะจากไป นั่นทำให้ซวนอีตะลึงค้าง
นางจะจากไปเช่นนี้หรือ และฝากไว้เพียงประโยคนี้!
ซวนอีกล่าวขึ้นพลัน “นายน้อยของพวกเราต้องการที่จะช่วยเหลือเจ้า นายน้อยมิได้ให้เจ้าจากไป เจ้าไม่สามารถที่จะไปไหนตามใจตนได้”
นี่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวที่นายน้อยได้สั่งให้ช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้งยังเป็นสตรีนางหนึ่งอีกด้วย ไม่เข้าใจเลยว่านายน้อยนั้นคิดเช่นไรกับนาง สตรีนางนี้ไม่สามารถที่จะจากไปไหนได้
มู่เฉียนซีจนปัญญา เห็นอยู่ชัดๆว่ารังเกียจนางขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมปล่อยตัวนางไป
นางหันกลับไปมองที่ซวนอีแล้วกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้ขวางทางข้าเอาไว้สิ! ปล่อยให้ข้าเข้าไป ข้าจะพูดกับนายน้อยของเจ้าด้วยตัวของข้าเอง”