“หือ”
หยูซีคิดในใจว่าเทพหลิงเพิ่งจ้องเขม็งไปที่ไอดอลวงดนตรีชายเมื่อกี้นี้ ทำไมถึงไม่ยอมรับ
หลังจากที่คิดอยู่ชั่วขณะ หยูซีจึงค่อยหันหน้าไปและก็พบในทันใดนั้นว่าเจี่ยนอีหลิงกับจ๋ายหวินเชิ่งนั้นเดินไปไกลแล้ว
“เฮ้…สองคนนั่นน่ะ… ทำไมพวกนายท่านถึงทิ้งผมอีกแล้ว… มีจิตสำนึกบ้างสิ…”
เขามีท่าทีงงงันขณะที่สองคนนั้นทิ้งเขาไปอย่างไร้ความปรานี
ที่นี่เป็นชุมชนที่เป็นที่ตั้งของอพาร์ตเมนต์ของจี้หมิง
คืนนี้จี้หมิงเป็นกระสอบทรายมนุษย์ที่จ๋ายหวินเชิ่งหามาให้เจี่ยนอีหลิง
พวกเขาสามคนไปถึงประตูห้องของจี้หมิง ซึ่งบอดี้การ์ดของจ๋ายหวินเชิ่งได้รออยู่ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อไปถึงเขาก็เปิดประตูเข้าไปทันที และจี้หมิงที่อยู่ด้านในก็ไม่อาจจะมีแม้แต่โอกาสจะขัดขืน
เมื่อเห็นจ๋ายหวินเชิ่งกับคนอื่นๆเข้ามา จี้หมิงก็พยายามยิ้มพยักหน้าทักทายทำใจดีสู้เสือ
“นายท่านเชิ่ง พี่ซี พวกพี่เพียงแค่โทรศัพท์มาถ้ามีอะไร ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตนเองก็ได้…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้หมิงนั้นถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก
กระโดดเชือกห้าพันครั้งเมื่อวันก่อนทำให้เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัวเป็นเวลาหลายวัน เขาต้องเดินเหมือนกับมัมมี่ เวลาเข้าห้องน้ำก็นั่งส้วมไม่ได้
หลังจากที่ต้องร้องครางน้ำตาเล็ดไปหลายวัน เขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก
จ๋ายหวินเชิ่งกลับมาหาเขาอีกครั้ง
จี้หมิงพลันรู้สึกถึงลางร้าย
เขาคิดว่าเขาคงได้อยู่อย่างสงบสุขแล้วในหลายวันนี้ เขาไม่คิดที่จะไปไหนและไม่คิดที่จะทำอะไร
อย่าคิดถึงว่าจะไปตอแยนายท่านเชิ่ง เขายังไม่กล้าแม้จะไปตอแยเจี่ยนอีหลิงอีกครั้งด้วยซ้ำไป กระทั่งชื่อของเธอเขาก็ยังไม่อยากที่จะเอ่ยถึง
หยูซีอยากจะหัวเราะเมื่อเขาเห็นจี้หมิงเป็นอย่างนี้ แต่ด้วยจิตวิญญาณของมนุษยธรรม เขาก็จำเป็นต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้
หยูซีบอกจี้หมิงว่า “จี้หมิง ครั้งที่แล้วนั้นเป็นนายท่านเชิ่งที่มาตามหานาย แต่คราวนี้เป็นอีหลิงที่มาหานาย ในเมื่อครั้งที่แล้วนายวางแผนจัดการกับอีหลิง แล้วนายก็ยังไม่ได้กล่าวขอโทษอีหลิง”
จี้หมิงเบิกตากว้าง ไม่นะ เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน
นั่นหมายความว่าครั้งที่แล้วที่นายท่านเชิ่งบอกให้เขากระโดดเชือกห้าพันครั้ง เรื่องที่ได้จบลงไปแล้วนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนของนายท่านเชิ่ง และก็ยังคงมีส่วนของเจี่ยนอีหลิงที่ต้องคิดแยกต่างหากอย่างนั้นใช่ไหม
จี้หมิงจะบ้า
เขารู้สึกว่าก่อนหน้านั้นตัวเขาอหังการอยู่ไม่เบา แต่เมื่อเทียบกับจ๋ายหวินเชิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเขาเองก่อนหน้านั้นเป็นคนที่ดีมากๆ
อย่างน้อยเขาไม่บุกรุกบ้านใครสักคนยามดึก เพียงเพื่อมาคิดบัญชีจากเมื่อสองสามวันก่อน
คนอยู่ใต้ชายคาต้องก้มห้ว*
จี้หมิงไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้จ๋ายหวินเชิ่งสร้างปัญหาให้กับเขาอีกต่อไป จี้หมิงจึงทำการขอโทษเจี่ยนอีหลิง “เจี่ยนอีหลิง ฉันรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว หวังว่าเธอจะไม่ถือสา ให้ถือเสียว่าเรื่องนี้จบไปแล้วเถอะ”
จ๋ายหวินเชิ่งมองไปยังเจี่ยนอีหลิงและดูว่าเจี่ยนอีหลิงจะจัดการเรื่องแย่ๆนี้อย่างไร
เจี่ยนอีหลิงเริ่มมองไปรอบๆ เหมือนกับว่ากำลังหาอะไรอยู่
หยูซีรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ทำไมเทพหลิงจึงมองไปทั่วห้อง ไม่รู้ว่าเธอยอมรับคำขอโทษของจี้หมิงหรือว่าไม่ยอมรับกันแน่
หลังจากที่มองไปสักพัก สายตาของเจี่ยนอีหลิงก็ตกลงไปยังอุปกรณ์กีฬาในห้อง
เธอเดินไปหยิบไม้แบตมินตันที่อยู่ภายในล็อกเกอร์
ทันทีที่เจี่ยนอีหมิงหยิบไม้แบตมินตันขึ้นมา หยูซีก็ทำตาโต
ไม่มั้ง
จ๋ายหวินเชิ่งหยักรอยยิ้มที่มุมปาก
ปฏิกิริยาของจี้หมิงนั้นรุนแรงกว่าหยูซี
เธอ เธอ หวังว่าเธอคงไม่ใช้สิ่งนี้ตีเขานะ
เมื่อเห็นเจี่ยนอีหลิงตรงเข้ามาหาพร้อมกับไม้แบตมินตัน จี้หมิงรู้สึกตื่นตระหนก
“เจี่ยน เจี่ยนอีหลิง ถ้าเธอมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ ฉันขอโทษเธอแล้ว ฉันยอมรับผิดแล้ว อย่าใช้ของแบบนี้ มันฆ่าคนได้นะ”
ใช้ไม้แบตมินตัน นี่มันโหดร้ายไม่ใช่หรือไง
“นอนลง” เจี่ยนอีหลิงกล่าวกับจี้หมิง
อะไรนะ
จี้หมิงไม่สามารถที่จะตามทันกับคำสั่งแปลกๆของเจี่ยนอีหลิง
—————————————————————-
ผู้แปล * 人在屋檐下,不得不低头。 คนอยู่ใต้ชายคาต้องก้มหัว เป็นคำอุปมาอุปไมย หมายถึงการอยู่ภายใต้การบีบบังคับของผู้อื่นจำเป็นต้องยินยอมเชื่อฟัง