หลัวซิ่วเอินกล่าวกับเจี่ยนอีหลิงว่า “น้องสาวอีหลิง ไม่ต้องกังวล พี่สาวจะวางตั่งเล็กๆไว้ในรถคราวหน้า พี่สัญญาว่าคราวหน้าน้องจะไม่ลำบากมากขนาดนี้ ถ้าหากว่าไม่มีตั่ง พี่สาวจะให้เฉิงอี้นอนลงบนพื้นเป็นตั่งให้กับน้อง”
เจี่ยนอีหลิงรู้สึกอายอยู่บ้าง ความสูงของเธอเป็นปัญหาจริงๆ…
เธอได้พยายามอย่างหนักในการกินและยืดกล้ามเนื้อมาก่อนหน้านี้ และเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะสูงขึ้นกว่าเดิมอีกสักเล็กน้อยได้หรือไม่
รถเคลื่อนตัวไปจนถึงทางเข้าของสถาบัน และเมื่อพวกเขากำลังจะเข้าไป พวกเขาก็พบกับคนหนึ่งคนยืนอยู่กลางถนน กั้นรถของหลัวซิ่วเอินเอาไว้
หลัวซิ่วเอินไม่ประหลาดใจกับสถานการณ์แบบนี้
มักจะมีคนมากมายที่ไม่ยอมรับฟังการหว่านล้อม พวกเขาคิดว่าการส่งข้อมูลขึ้นไปบนเว็บไซต์ของสถาบันนั้นไม่เพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาที่ประตูของสถาบันวิจัยเพื่อยับยั้งผู้คน
สำหรับคนเหล่านี้นั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องของความเป็นความตายของคนที่พวกเขาห่วงใย
ดังนั้นคงจะไม่ดีนักหากจะปฏิบัติกับพวกเขารุนแรงเกินไป
แต่อย่างไรก็ตามจากที่รู้กันโดยทั่วไป พฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้ทำให้เกิดผลใดๆ มีแต่จะเพิ่มปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับสถาบันวิจัย
หลัวซิ่วเอินหมุนกระจกรถลงหลังจากที่หยุดรถแล้ว และตะโกนใส่ชายคนที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างวางอำนาจว่า “ออกไปให้พ้นทาง ให้พี่สาวผ่านไปหน่อย แล้วนายค่อยคุยกับรปภ.ไป”
ชายหนุ่มหันมามอง เขาไม่ใช่ใครไหนอื่น เขาก็คือ ฉินชวน
ฉินชวนมองเห็นเจี่ยนอีหลิงนั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสารเพียงแค่เหลือบมอง
รถข้างหน้าเขาเป็นรถของสถาบันวิจัยอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ทำไมเจี่ยนอีหลิงจึงอยู่ในรถของสถาบันวิจัยได้ ฉินชวนประหลาดใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ฉินชวนตรงไปยังด้านข้างรถ ถามเจี่ยนอีหลิงว่า “นักเรียนเจี่ยนอีหลิง เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
หลัวซิ่วเอินถามเจี่ยนอีหลิงว่า “น้องรู้จักชายคนนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักพี่จะได้เตะเขาไปให้พ้น”
หากว่ามีใครก็ไม่รู้เข้ามาพูดคุยโดยไม่รู้จักเจี่ยนอีหลิง ก็จะถูกถือว่าเป็นพวกจิ๊กโก๋
“ครูสอนพิเศษ” เจี่ยนอีหลิงตอบ
“หือ” เสียงของหลัวซิ่วเอินค่อนข้างดัง เธอชี้นิ้วไปยังฉินชวน “เขาเป็นครูสอนพิเศษน้องเหรอ สอนอะไรน้องเหรอ กีฬาหรือเปล่า”
หลัวซิ่วเอินรู้สึกว่าสภาพร่างกายของเจี่ยนอีหลิงยังคงต้องการฝึกฝนเพิ่มเติม
เธอจ่ายเงินนี้ให้คนอื่นเพื่อฝึกฝนในส่วนที่เธอยังขาดอยู่ ใช่ไหม
ฉินชวนมองไปยังหลัวซิ่วเอินและเห็นเสื้อกาวน์ที่เธอสวมอยู่ซึ่งมีโลโก้ของสถาบันฮุ่ยหลิงติดอยู่ และเขาก็รู้ว่าเธอมาจากสถาบันนี้
หลัวซิ่วเอินออกมาวันนี้ก็เพื่อรับตัวเจี่ยนอีหลิง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
ฉินชวนไม่มีเวลาที่จะสงสัยว่าทำไมเจี่ยนอีหลิงจึงอยู่ในรถ เพราะว่าเขาต้องการถือโอกาสนี้สนทนากับหลัวซิ่วเอิน
“คุณพอจะให้โอกาสผมสักหน่อยได้ไหม เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ของผม ช่วยโปรดพิจารณาในเคสแม่ของผมหน่อย”
ในเรื่องของแม่ของเขา ฉินชวนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
หลัวซิ่วเอินไม่สนใจที่จะพูดกับฉินชวน แต่เพราะว่าความจริงที่ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จักกับเจี่ยนอีหลิง หลัวซิ่วเอินจึงได้แต่ย้ำถึงจุดประสงค์ของสถาบัน
“นี่น้องชาย นายต้องเข้าใจในตัวพี่สาว พวกเราอยู่ที่นี่ที่ซึ่งเป็นสถาบันวิจัย ไม่ใช่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใครก็ตามที่ป่วยขึ้นมาอย่างกระทันหันจะได้ส่งมาหาพวกเรา ในสถาบันนี้มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน และมันยุ่งเกินกว่าที่จะรับคนไข้ได้ทุกวัน หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงไม่ได้ทำงานวิจัยกันอย่างแน่นอน สำหรับนายอาจจะคิดว่าพวกเรานั้นไร้ความปรานีที่ไม่ยอมช่วยญาติพี่น้องของนาย แต่เมื่อพวกเราพัฒนายาใหม่ได้ พวกเราก็จะสามารถช่วยเหลือคนได้นับไม่ถ้วนในคราวเดียว”
การที่จะได้อะไรมาสักอย่างจำเป็นจะต้องมีการแลกเปลี่ยน ถ้าสถาบันวิจัยเพียงแค่มัวสนใจอยู่กับเพียงคนไข้ธรรมดาเพียงแค่คนหรือสองคนในทุกๆวัน ผลที่ควรจะได้ก็คงจะลดลงอย่างมาก
ฉินชวนเงียบไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจในความเป็นจริงข้อนี้
เพียงแต่ว่าอารมณ์ความรู้สึกกับเหตุผลนั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกัน