ดวงตาอันโศกเศร้าของฉินชวนนั้นมองเข้าไปในรถอีกครั้ง ท่าทีของหลัวซิ่วเอินนั้นมั่นคงและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันอีกต่อไป
ฉินชวนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวหลังจากที่ยืนยันแน่ชัดถึงท่าทีของอีกฝ่าย
แม้ว่าฉินชวนจะสงสัยอย่างเต็มเปี่ยมเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเจี่ยนอีหลิง แต่เขาก็เชื่อว่าตัวตนของเขาในสายตาของตระกูลเจี่ยนนั้นก็เป็นเพียงแค่ครูสอนพิเศษที่พวกเขาจ้างมาเท่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างเจี่ยนอีหลิงกับสถาบันวิจัยฮุ่ยหลิงนั้น เธอย่อมบอกให้เขารู้ถ้าเธอปรารถนาที่จะบอกเขา เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการที่จะบอก เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถามเช่นกัน อย่าว่าแต่ขอให้เธอช่วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนขวางทางอีกต่อไปแล้ว หลัวซิ่วเอินก็เหยียบคันเร่งและขับรถเข้าไปในสถาบันวิจัย เมื่อประตูปิดลงไม่ว่าผู้คนด้านนอกจะคิดอย่างไรกับเธอมันก็ไม่มีความสำคัญอะไรอีก
หลังจากที่หลัวซิ่วเอินหยุดรถแล้ว เธอก็ก้าวลงจากรถก่อนแล้วไปรอให้เจี่ยนอีหลิงลงจากรถฝั่งตรงข้ามคนขับ
เธอกลัวว่าเจี่ยนอีหลิงจะลงจากรถไม่ได้
แต่เธอก็ไม่อยากทำให้เจี่ยนอีหลิงสูญเสียความเชื่อมั่น
ดังนั้นหลัวซิ่วเอินจึงได้แต่เฝ้ามอง และถ้าหากว่ามันยากเกินไป เธอค่อยช่วยอุ้มลงก็ยังไม่สาย
เจี่ยนอีหลิงไม่ได้เปิดโอกาสให้หลัวซิ่วเอินได้อุ้มเธอ ในเมื่อเธอกระโดดลงจากรถและลงพื้นอย่างมั่นคง
แม้ว่าจะยากไปสักหน่อยในการขึ้นรถ แต่เธอไม่มีปัญหาในการกระโดดลง
เฉิงอี้ได้ยินเสียงจากด้านนอก และรู้ว่าหลัวซิ่วเอินกับเจี่ยนอีหลิงได้กลับมาแล้ว จึงวิ่งไปที่ประตูเพื่อทักทายพวกเธอ
มีศาสตราจารย์แก่ๆหลายคนก็มาด้วยเช่นกัน นอกจากศาสตราจารย์ฉื่อที่เจี่ยนอีหลิงได้พบเมื่อครั้งแรกแล้ว ศาสตราจารย์อื่นก็มาด้วย
เดิมทีนั้นเหล่าศาสตราจารย์ล้วนหมกตัวอยู่ในห้องทดลองของตนเอง และไม่มีนิสัยที่จะมาร่วมสนุกกับคนอื่น
แต่สำหรับเช้าตรู่นี้ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเจี่ยนอีหลิงจะมายังสถาบันวิจัยเพื่อรายงานตัว ดังนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนสภาพจากปกติที่มักจะหมกตัวสนใจอยู่แต่กับงานวิจัยของตนเองมาเฝ้ารอเจี่ยนอีหลิง
ทันทีที่เจี่ยนอีหลิงมาถึง ศาสตราจารย์แก่ๆเหล่านั้นต่างก็พากันตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในงานวิจัยของตนเอง
เมื่อเฉิงอี้เห็นหลัวซิ่วเอิน เขาก็กล้ำกลืนถ้อยคำทุกคำที่เขาตั้งใจจะพูดไปจนสิ้น
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้ไปรับน้องสาวอีหลิง แต่… หลัวซิ่วเอินข้ามหน้าเขาไป…
ทุกคนพากันเข้าไปในสถาบันวิจัย และกลุ่มของศาสตราจารย์แก่ๆก็พากันรุมล้อมเจี่ยนอีหลิงแล้วถามคำถามเธอ
คำถามหลักๆนั้นวนเวียนอยู่บนเอกสารที่เจี่ยนอีหลิงได้ส่งไปตรวจสอบ
ไม่ต้องพูดถึงเฉิงอี้ แม้กระทั่งหลัวซิ่วเอินก็ถูกเบียดไปอยู่ด้านข้าง
นักวิจัยที่มีอายุสามสิบกว่าในสถาบันได้แต่เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ
เฉิงอี้กล่าวกับหลัวซิ่วเอินว่า “ผมว่านะพี่สาวเอิน เห็นไหมว่าในสถาบันวิจัยของเรานั้นหยางกล้าแข็งหยินเสื่อมโทรม แต่สุดท้ายเราก็มีเด็กหญิงมาคนหนึ่ง ดังนั้นพี่สาวต้องให้โอกาสพวกเราได้คุยกับเธอบ้าง พี่เองก็เป็นหญิงทำไมต้องแย่งชิงกับพวกเราด้วยล่ะ”
หลัวซิ่วเอินไม่ชอบฟังถ้อยคำเหล่านี้ “นายพูดอะไรกัน พี่สาวคนนี้ต้องการที่จะมีน้องสาวนับตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าแม่ของฉันปฏิเสธไม่ยอมมีให้ฉันอีกคน พอฉันมาอยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ ฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกนายเหล่าผู้ชายกันทุกวันเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกิน”
เฉิงอี้ถามด้วยความอยากรู้ว่า “ทำไมแม่พี่สาวถึงไม่มีคนต่อไปอีกล่ะ”
“แม่พูดว่า ตั้งแต่มีฉันครอบครัวของเรานั้นก็มีปัญหาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ถ้ามีอีกคนออกมาเป็นเหมือนฉัน แม่กลัวว่าบ้านจะแตกและพวกเราจะต้องนอนกันบนถนน”
“…” แม่ของพี่สาวหลัวซิ่วเอินช่างฉลาด
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมง เหล่าอัจฉริยะรอบกายของเจี่ยนอีหลิงจึงค่อยสลายตัวไป
เฉิงอี้จึงได้พาเจี่ยนอีหลิงไปยังที่ทำงานของเธอ
สมาชิกของสถาบันแต่ละคนจะมีที่ทำงานเฉพาะตัว
เฉิงอี้แนะนำเจี่ยนอีหลิงว่า “นี่เป็นที่ทำงานของเธอนะ ห้องแลปของเธอก็ยังคงว่าง เธอจำเป็นต้องที่จะเลือกอุปกรณ์ที่เธอต้องการมาเติมเอง ทางสถาบันจะช่วยเธอจัดซื้อและติดตั้งให้ แน่นอนว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับงานวิจัยนั้นพวกมันจะอยู่ในที่เดียวกัน ที่ชั้นสอง”
เจี่ยนอีหลิงรู้ชัดเจนและคุ้นเคยดีอยู่แล้วกับสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกันกับสถาบันวิจัยที่เธอเคยอยู่มาก่อน