เฉิงอี้กล่าวว่า “ยังมีส่วนที่เป็นพื้นที่ทำงานสาธารณะ เมื่อเธอต้องการที่จะพูดคุยปรึกษาหารือกับคนอื่นๆก็สามารถทำได้ที่พื้นที่ทำงานสาธารณะนี้”
ถ้าหากว่าต้องการพื้นที่สำหรับคิดเป็นการส่วนตัว ก็ให้อยู่ภายในห้องทำงานส่วนตัวและห้องวิจัยส่วนตัวของพวกเขาเอง
แต่ถ้าต้องการที่จะพบปะพูดคุยกับคนอื่น ก็ยังมีพื้นที่ทำงานสาธารณะ
เมื่อเจี่ยนอีหลิงมาถึงพื้นที่ทำงานสาธารณะ ก็พบโต๊ะของเธอได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ด้านขวาของหลัวซิ่วเอิน ตรงข้ามกับเฉิงอี้
โต๊ะคอมพิวเตอร์นั้นสะอาดเรียบร้อย คอมพิวเตอร์ใหม่ก็ได้ถูกติดตั้งไว้แล้ว ทั้งยังมีตุ๊กตาน่ารักและฟิกเกอร์การ์ตูนวางอยู่บนนั้น จัดเรียงเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ
ตุ๊กตาน่ารักนั้นถูกนำมาโดยหลัวซิ่วเอิน
ส่วนฟิกเกอร์การ์ตูนนั้นถูกจัดวางไว้โดยเฉิงอี้
เจี่ยนอีหลิงนั้นจริงแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรกับของน่ารักเหล่านี้แม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องของเธอในบ้านตระกูลเจี่ยน กระเป๋านักเรียนและเครื่องเขียน รวมไปถึงโต๊ะของเธอในตอนนี้ พวกมันก็ไม่สามารถที่จะหนีจุดจบที่จะต้องเป็นสิ่งน่ารักและสีชมพูไปไม่ได้
เจี่ยนอีหลิงยังสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมที่รายรอบไปด้วยวงดนตรีชายจูปีเตอร์วางอยู่บนโต๊ะของหลัวซิ่วเอินที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของเธอ
ส่วนทางด้านตรงข้ามที่เป็นโต๊ะของเฉิงอี้นั้นจะเต็มไปด้วยฟิกเกอร์การ์ตูน เขาวางฟิกเกอร์น่ารักไว้บนโต๊ะของเจี่ยนอีหลิง ส่วนบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขาเกือบทั้งหมดนั้นเป็นสาวสวยขาวขายาว
หลังจากนั้นเจี่ยนอีหลิงก็นั่งลง เปิดคอมพิวเตอร์ และเริ่มทำงาน
คนอื่นในสถาบันก็ได้เข้าสู่สภาพการทำงาน แม้ว่ามันจะเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างมากที่มีเด็กสาวคนใหม่เข้ามา แต่ทุกคนก็ไม่ได้ลืมว่าพวกเขาตอนนี้อยู่ในเวลางาน
เจี่ยนอีหลิงเปิดระบบลงทะเบียนผู้ป่วยของเว็บไซต์ของสถาบันของพวกเขา
หลังจากที่กลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของสถาบัน เธอก็มีสิทธิ์ที่จะดูระบบลงทะเบียนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับงานของสถาบัน
เธอเห็นใบสมัครและเวชระเบียนของแม่ของฉินชวนอยู่ภายในนั้น
ตามนิยายต้นฉบับนั้น แม่ของฉินชวนเป็นโรคเลือดที่หาได้ยาก เธอได้อยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน เพราะว่าเธอจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในทุกๆวัน ดังนั้นฉินชวนจึงต้องทำงานหนักขึ้น
แต่แม่ของเขานั้นก็ยังไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เขาได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เหตุการณ์นี้ได้มีผลกระทบต่อฉินชวนเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เขาเกิดความไม่พอใจต่อพ่อผู้ให้กำเนิดนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เจี่ยนอีหลิงตรวจสอบเวชระเบียนของแม่ของฉินชวนและพบว่าเวชระเบียนนั้นถูกส่งไปยังอีเมลของเฉิงอี้จากผู้ช่วยเมื่อครึ่งเดือนก่อน และแสดงให้เห็นว่าเฉิงอี้นั้นไม่ได้ปฏิเสธเวชระเบียนนั้น
ขณะที่เจี่ยนอีหลิงกำลังทำการตรวจสอบเวชระเบียน หลัวซิ่วเอินที่อยู่ด้านซ้ายมือก็ได้ชะโงกหน้ามาถามเจี่ยนอีหลิง “ชายคนที่อยู่ตรงประตูนั้นเป็นครูสอนพิเศษของเธอจริงเหรอ เขาสอนกีฬาใช่ไหม”
เจี่ยนอีหลิงตอบว่า “ยกเว้นกีฬา”
“ไม่อยากเชื่อ” หลัวซิ่วเอินแสดงความคิดเห็น “ว่าแต่ว่า ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรเหรอ ขอให้พี่สาวได้ดูเวชระเบียนที่เขาได้ลงทะเบียนสักหน่อย”
“ฉินชวน”
“ทำไมพี่สาวถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อของผู้สมัครนี้จัง” หลัวซิ่วเอินมีความจำดี “เฉิงอี้ นี่ไม่ใช่เคสของนายเหรอ”
เฉิงอี้ยืนขึ้น “ใช่ เป็นเคสของผม ผมยังคงเก็บสำรองเอาไว้ก่อน”
“สำรองเอาไว้ แล้วนายต้องการอะไรงั้ันรึ” หลัวซิ่วเอินถาม
ปกติโดยทั่วไปแล้ว คนที่พวกเขาไม่ต้องการที่จะรับนั้นจะถูกปฏิเสธไปตรงๆ
เฉิงอี้ตอบว่า “ใช่ ผมต้องการรับเคสนี้ ผมสนใจในโรคเลือดพิเศษนี้มาก ผมคิดว่าการศึกษาในเคสนี้จะทำให้ผมได้ก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่งในเรื่องงานวิจัยเลือด แต่ผมมีเคสอื่นอยู่ในมือตอนนี้ ผมต้องรอจนกว่าจะจบเคสนั้นเสียก่อนที่ผมจะรับเคสนี้”