“แม่ พี่ชายใหญ่ก็พูดเหมือนกันว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องดูแลบริษัท และไม่มีปัญหาใดๆหากว่าเราจะถือหุ้นและรับเงินปันผล”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยปฏิเสธมุมมองของเหอเยี่ยน พยายามที่จะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าสิ่งต่างๆไม่ได้เลวร้ายไปเหมือนอย่างที่เธอคิด
“อย่าอ่อนหัด ในตอนนั้นแกคิดเหรอว่าตระกูลเจี่ยนจะมีที่ให้เรายืนอยู่อีก” เหอเยี่ยนไม่สามารถทนฟังคำพูดแบบนั้นได้
“แม่ อย่าคิดเรื่องพวกนี้เลวร้ายเกินไปนักสิ…”
“ฉันคิดเรื่องพวกนี้เลวร้ายเกินไปอย่างงั้นเหรอ” เหอเยี่ยนพลันหัวเราะขึ้นมาในทันใดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ตอนที่ฉันอายุได้แปดขวบ พ่อของฉันตายที่ไซต์งาน ไซต์งานไม่ได้จ่ายเงินชดเชยให้เราเลยแม้แต่หยวนเดียว เงินที่พวกเราอาศัยประทังชีวิตนั้นมาจากแม่ของฉัน เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่รู้ว่าจะต้องหาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย พวกเรายังต้องเผชิญกับความเลวร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อถูกเจ้าของที่ไล่ออกเหมือนหมาจรจัด”
“ตอนหลังเมื่อแม่ตกถังข้าวสารได้แต่งงานใหม่กับพ่อหม้าย พวกเราจึงได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ชายคนนั้นก็ทุบตีพวกเราทุกครั้งที่เขาดื่มเหล้า ฉันต้องระมัดเนื้อระวังตัวทุกวันเมื่อเห็นหน้าเจ้าบ้านั่นเพราะว่ากลัวว่าฉันจะทำอะไรผิดแล้วถูกทุบตีอีก ฉันยิ่งกลัวกว่าว่าจะถูกไล่ออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ข้างถนน”
“ฉันรู้ว่าตัวฉันเองนั้นไม่มีประวัติความเป็นมาที่ดีนัก และฉันก็รู้ว่าคนหลายคนดูถูกฉัน หลังจากที่ฉันได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลเจี่ยน ฉันก็ยังต้องระมัดระวังตัว ฉันกลัวว่าฉันจะทำให้แม่ยายไม่พอใจ ฉันยังกลัวว่าฉันจะสูญเสียครอบครัวนี้ไปและสูญเสียพ่อของแกด้วย”
“ตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่เหรอ ฉันก็แค่ไม่ต้องการมีชีวิตที่ต้องมองหน้าคนอื่นก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ฉันแค่ต้องการชีวิตที่มีความมั่นคง”
เหอเยี่ยนคำรามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู
เจี่ยนหยู่เจี๋ยยืนนิ่งอยู่ที่ตรงนั้นด้วยความงงงัน ไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร
การที่แม่ของเขาร้องไห้นั้นก็เหมือนกับมีดคมที่กรีดเฉือนเข้าไปในอกของเขา
ชีวิตจิตใจของเจี่ยนหยู่เจี๋ยนั้นกำลังเผชิญหน้ากับการพังทลายเป็นครั้งแรก
เหอเยี่ยนยังคงแผดเสียงตะโกนใส่เจี่ยนหยู่เจี๋ย “ไปเลย ไปแสดงวิดีโอที่บันใดนี้ให้ลุงของแก พี่ชายของแกดู พวกเขาจะได้เอาไปให้ปู่ย่าแกและให้พวกเขากวาดฉันออกไป”
“ไม่ พวกเขาจะไม่…” เจี่ยนหยู่เจี๋ยส่ายหน้า
“แกมั่นใจเหรอว่าปู่ย่าของแกจะไม่ทำแบบนั้น”
เจี่ยนหยู่เจี๋ยไม่มั่นใจ
มันเป็นเรื่องต้องห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับปู่เจี่ยนสำหรับการทำร้ายคนในตระกูลด้วยการยุยงให้แตกแยกสร้างความร้าวฉานต่อตระกูล
และสิ่งที่แม่ของเขาทำนั้นก็คือการทำลายความสัมพันธ์ในตระกูลเจี่ยน
“แม่ ผมไม่ต้องบอกพวกเขาก็ได้ว่าวิดีโอนี้นั้นมาจากแม่ไม่ใช่เหรอ แม่ ผมขอร้องล่ะ” เจึี่ยนหยู่เจี๋ยจับแขนเหอเยี่ยนและอ้อนวอนด้วยเสียงเบาหวิว
“แกคิดว่าลุงของแกโง่นักเหรอ ถ้าวิดีโอนี้ถูกแกส่งออกไป พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่าแกได้วิดีโอนี้มาจากไหน แกคิดว่าแกจะหลอกพวกเขาด้วยสมองของแกได้เหรอ”
เหอเยี่ยนปฏิเสธทุกคำแนะนำของเจี่ยนหยู่เจี๋ย
บีบบังคับเขาให้เลือกระหว่างเจี่ยนอีหลิงกับแม่ของตนเอง
แล้วเจี่ยนหยู่เจี๋ยจะสามารถเลือกได้อย่างไร
ด้านหนึ่งนั้นเป็นน้องสาวสุดที่รักเจี่ยนอีหลิงของเขา
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นแม่ของตัวเขาเอง
ถึงแม้ว่าจะมีความไม่ลงรอยกับเขาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เธอก็ยังคงเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเขา
สุดท้ายเจี่ยนหยู่เจี๋ยก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขานั่งลงยองๆ ยกมือกุมขมับและร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ
เขาพังทลายแล้ว
เขาไม่สามารถที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งได้
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องถูกบีบบังคับให้เลือกทางใดทางหนึ่งด้วย
เขาไม่ต้องการที่จะทำอะไรที่สร้างความเสียใจให้กับน้องสาวอีหลิง หรือว่าต้องการที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับแม่
เหอเยี่ยนก้าวเข้ามานั่งลงยองๆแล้วกอดเจี่ยนหยู่เจี๋ย “หยู่เจี๋ยฟังแม่นะ ถ้าลูกลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลูกก็เพียงทำเหมือนกับว่าลูกไม่ได้เห็นอะไรและปล่อยให้แม่จัดการกับมัน ได้ไหม วิดีโอของเจี่ยนอีหลิงนี้ไม่ได้มีอะไรมาก เธอยังคงได้รับความคุ้มครองจากย่าเจี่ยน แต่แม่นั้นกลับต่างออกไป แม่ต้องถูกบีบให้หย่าขาดจากพ่อของลูก แม่ต้องไปจากบ้านนี้ แม่ต้องสูญเสียลูกไป แม่จะไม่มีอะไรเหลืออีก”
“แม่ไปเลย ปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพัง” เสียงของเจี่ยนหยู่เจี๋ยแหบแห้ง และสะอึกสะอื้น
“ก็ได้ แม่จะไม่บีบบังคับลูก ลูกคิดดูให้ดี”
เหอเยี่ยนรู้ว่าเธอไม่สามารถบีบเจี่ยนหยู่เจี๋ยแรงเกินไปนัก
เหอเยี่ยนไปจากห้องนั้น ปล่อยให้เจี่ยนหยู่เจี๋ยอยู่ในห้องทำงานตามลำพัง
เจี่ยนหยู่เจี๋ยอยู่ตามลำพังที่ห้องทำงานนั้นจนถึงเที่ยงคืน
เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเซื่องซึม
มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน มองไปยังดวงจันทร์ มองไปยังเงามืดของไพรพฤกษ์
เขารู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่สุดจะเหน็บหนาวที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน…