คำพูดของเจี่ยนอีหลิงนั้นชัดเจน มีเหตุผล และเป็นระเบียบ
หยูซีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าเขาคือเทพหลิง
เทพหลิงพูดเร็วและคล่องแคล่วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วเธอพูดออกมาตั้งหลายคำพร้อมๆกันตั้งแต่เมื่อไหร่
เทพหลิงมักจะพูดไม่กี่คำ เธอให้ความสำคัญกับคำพูดประดุจทองคำ
หยูซีต้องการจะรีบไปข้างหน้า ถอดหน้ากากอนามัยออกจากใบหน้าของเจี่ยนอีหลิง เขาอยากจะเห็นว่า จริงๆแล้วเทพหลิงซ่อนตัวอยู่ในนั้นจริงหรือ
อย่างไรก็ตาม หยูซีไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะไม่นานหลังจากนั้น เจี่ยนอีหลิงก็ถอดอุปกรณ์ป้องกันเหล่านั้นออกด้วยตัวเธอเอง
หลังจากนั้น เธอก็ล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากฆ่าเชื้อให้กับตัวเองแล้ว เธอก็มองไปที่จ๋ายหวินเชิ่งและคนอื่นๆ
เธอมองพวกเขาด้วยดวงตากลมโตและสดใสคู่หนึ่ง
หยูซีไม่สามารถจะเทียบเคียงคนที่ตรวจสอบกระดูกกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ว่าเป็นคนเดียวกัน
จ๋ายหวินเชิ่งพยายามซ่อนรอยยิ้ม ปฏิกิริยาของเขาไม่ชัดเจนเท่าหยูซี
ข้างหลังพวกเขาสองคนคือท่านผู้เฒ่าจ๋าย เขามองดูฉากตรงหน้าด้วยความสนใจ
สำหรับท่านผู้เฒ่าจ๋ายไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กสาวจะกลายเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผิดปกติคือท่าทีและปฏิกิริยาของหลานชายของเขา
หยูซีรีบเดินไปที่เจี่ยนอีหลิงและถามเธอว่า “เทพหลิง น้องกลายเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ในเวลานี้ หลัวซิ่วเอินก็ได้เดินเข้ามาในห้อง เธอพาเจี่ยนอีหลิงหลบไปด้านข้าง
“ อย่าเข้าใกล้ที่รักของพวกเรามากเกินไปจะได้ไหม” หลัวซิ่วเอินพูดด้วยท่าทางรังเกียจเหยียดหยาม
สัตว์ตัวผู้อย่างเช่นหยูซีไม่ควรเข้าใกล้ที่รักของเธอมากเกินไป
ท่าทางของหยูซีเต็มไปด้วยความลำบากใจ “เดี๋ยวก่อน ไม่… ผมแค่แปลกใจที่… นั่นเทพหลิง…”
“ประหลาดใจอะไร ที่รักของพวกเราต้องฉลาดกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เธอเรียนรู้สิ่งต่างๆได้รวดเร็ว นอกจากนี้เธอยังผ่านการสอบและการทดสอบทั้งหมดของเราด้วย เธอเป็นสมาชิกของสถาบันของเรา”
“ไม่มีทาง การสอบและการทดสอบของพวกคุณนั่นไม่ได้เป็นนรกเหรอ”
“เหอ นั่นอาจจะสำหรับนาย แต่อย่าสับสนที่รักของพวกเรากับนาย โอเค ไอคิวของนายนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน”
หยูซีอ้าปากเพื่อจะตอบโต้ประเด็นของหลัวซิ่วเอิน แต่เขาพบว่าตัวเขาเองไม่สามารถหักล้างเธอได้
หยูซีอดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองว่า โอ้ พระเจ้า เทพหลิงเป็นเทพจริงๆ
เธอไม่เพียงแต่ชนะเขาในเกมเท่านั้น แต่เธอยังชนะด้านไอคิวของเขาอีกด้วย
จากนั้นหยูซีก็หันไปมองจ๋ายหวินเชิ่ง ราวกับว่าเขาคาดหวังให้จ๋ายหวินเชิ่งพูดอะไรบางอย่างในเวลานี้
จ๋ายหวินเชิ่งเดินเข้ามาถามเจี่ยนอีหลิง “ หิวไหม”
เธอนั่งทำงานอยู่ในห้องไม่หยุดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
หยูซีเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ
นั่นคือทั้งหมดที่คุณถามงั้นเหรอ นายท่านเชิ่ง แค่นั้นเหรอ นั่นคือทั้งหมดเหรอ
“ฉันหิวนิดหน่อย”
“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ”
จากนั้นจ๋ายหวินเชิ่งและเจี่ยนอีหลิงก็เดินไปที่โรงอาหารของสถาบัน
“ไม่…นายท่านเชิ่ง…นี่…”
หยูซีกำลังจะตามคนทั้งสองคนไป แต่ทว่าเขาถูกท่านผู้เฒ่าจ๋ายดึงกลับมา
“ท่านผู้เฒ่าจ๋าย”
“บอกฉันเพิ่มเกี่ยวกับเด็กหญิงตัวเล็กนั่น”
“หือ”
“สาวน้อยนั่นดูเหมือนว่าค่อนข้างจะเข้ากันได้กับหวินเชิ่ง ถ้าเป็นไปได้ คงจะดีถ้าจะให้เธอเป็นน้องสาวของหวินเชิ่ง เขาไม่เคยมีพี่น้อง เขาค่อนข้างเหงาตั้งแต่ยังเด็ก”
จากนั้นท่านผู้เฒ่าจ๋ายก็ถามหยูซีต่อไป หยูซีได้แต่ตอบคำถามทุกข้อนั้น
เมื่อหยูซีตอบคำถามของท่านผู้เฒ่าจ๋ายเสร็จแล้วเขาก็เดินไปที่โรงอาหาร เมื่อเขาเข้าไป เจี่ยนอีหลิงกำลังทำอาหารอยู่ในครัวแบบเปิดในโรงอาหาร
หยูซีดูมือเล็กๆทั้งสองของเจี่ยนอีหลิงนวดแป้ง เขาจ้องมองพวกมันด้วยความไม่เชื่อ
มือคู่นั้น…เธอเพิ่ง…
หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนอีหลิงก็นำเกี๊ยวนึ่งที่เธอทำมาให้ทุกคน
จ๋ายหวินเชิ่งเริ่มกินอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข เกี๊ยวนึ่งในตะกร้าเขามีเนื้อน้อยและมีผักมากอยู่ในไส้
หยูซีจ้องตะกร้าเกี๊ยวตรงหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่มือเล็กๆของเจี่ยนอีหลิง เขาไม่กล้าขยับตะเกียบเป็นระยะเวลาหนึ่ง
บทที่ 334 สร้างความอับอายให้กับป้าโม่ในการประชุมครู-ผู้ปกครอง 1
ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน
เจี่ยนชูฉิง เจี่ยนหยุ่นเฉิง และเจี่ยนหยุ่นน่าวมองหน้ากันด้วยความคิดเดียวกันในใจ เป็นอีกครั้งที่เวินน่วนไม่ว่างในวันนี้ ช่วงนี้ เธอกลับมาถึงบ้านค่อนข้างดึก เจี่ยนหยุ่นน่าวมองไปที่พ่อของเขา ก่อนที่เขาจะถาม
“พักหลังนี้ แม่มักจะออกจากบ้านเร็วและกลับบ้านช้า นอกจากนี้ผมรู้สึกว่าเครื่องประดับที่แม่สวมในทุกวันดูมีราคาแพงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าแม่จะเปลี่ยนมันทุกวันอีกเช่นกัน พ่อ กระเป๋าตังค์ของพ่อยังดีอยู่ไหม”
เจี่ยนหยุ่นน่าวถามด้วยเสียงกระซิบ
“พ่อไม่ได้ซื้อเครื่องประดับให้แม่ แม่เขามีเครื่องประดับทั้งหมดอยู่แล้ว” เจี่ยนชูฉิงตอบ เขาหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “หลายชิ้นเป็นของเก่า ยายของลูกให้สินสอดทองหมั้นกับแม่เป็นจำนวนมากเมื่อตอนเธอแต่งงาน อย่างไรก็ตามแม่ของลูกไม่เคยชอบใส่มันเลย ดังนั้นพวกมันส่วนใหญ่จึงถูกเก็บไว้ในตู้เซฟที่บ้าน ชิ้นอื่นๆก็ถูกเก็บไว้ในธนาคาร พวกมันไม่ได้ถูกแตะต้องมาหลายปีแล้ว และก็จริงแล้ว บางชิ้นนั้นเก่ามาก จนไม่สามารถประเมินราคาได้”
“ของเก่าเหรอ มีเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มีมากกว่านั้น เธอสามารถใส่เครื่องประดับทั้งชุดได้ทุกวันไม่ซ้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือนและยังมีชุดเหลือที่ไม่ได้ใส่ นอกจากนี้ก็ยังมีภาพวาดโบราณ และตัวหนังสืออีกมากมาย
ครอบครัวของเวินน่วนมีนักเขียนพู่กัน และจิตรกรมากมาย ดังนั้น ตระกูลของเธอจึงชอบสะสมสิ่งของต่างๆพวกนี้ พวกเขาเป็นเจ้าของคอลเลกชันมากมายนับไม่ถ้วน ตามความเป็นจริงพวกเขาได้เปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง เพื่อแสดงของสะสมของพวกเขา
เวินน่วนมีพี่ชายสองคนเท่านั้น เธอไม่ได้มีน้องสาวแม้แต่คนเดียว ดังนั้นพ่อแม่เธอจึงให้เครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นสินสอดให้เธอ
เวินน่วนเคยเฉยๆกับเรื่องนี้ เธอไม่ชอบอวด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอกำลังทำสงครามกับเหอเยี่ยน และด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มนำสิ่งของจากสินสอดทองหมั้นของเธอออกมาใช้ เครื่องประดับทุกชิ้นมีมูลค่ามหาศาล เป็นไปไม่ได้ที่เหอเยี่ยนจะแข่งขันกับเธอ
เดิมทีเหอเยี่ยนเคยรู้สึกว่าครอบครัวที่เหลือต้องการขโมยทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยน ด้วยเหตุนี้เธอจึงสงสัยทุกคน ราวกับว่าเธอกำลังปกป้องตัวเองจากหมาป่า
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยรู้เลยว่าเวินน่วนไม่สนใจทรัพย์สินของตระกูลเลยสักนิด ตามจริง เวินน่วนมีเงินค่าสินสอดเพียงพอที่จะดูแลลูกๆเธอไปชั่วชีวิต
ขณะที่ทั้งสามคนคุยกัน เวินน่วนก็เข้ามาทางประตู
“มีการประชุมครู-ผู้ปกครองที่โรงเรียนมัธยมปลายเชิ่งหัวพรุ่งนี้ เธอทั้งสามจะต้องไป” เวินน่วนบอกพวกเขา
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“แม่ ทำไมถึงอยากไปทั้งครอบครัว” เจี่ยนหยุ่นน่าวถามเสียงแผ่ว
ตอนนี้ในครอบครัวของพวกเขา เจี่ยนหยุ่นน่าวพูดน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องถามคำถามด้วยเสียงกระซิบ ยิ่งไปกว่านี้ การที่เขาจะได้รับคำตอบหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนที่เหลือทั้งหมด
“แม่จะไปกับลูกไปเข้าชั้นเรียนของลูก ชูฉิงกับหยุ่นเฉิงจะไปที่ชั้นอีหลิง”
จากนั้นเวินน่วนก็หันไปพูดเจาะจงกับเจี่ยนชูฉิงและเจี่ยนหยุ่นเฉิง “เธอสองคนต้องมีพฤติกรรมที่ดีที่สุดในวันพรุ่งนี้ ฉันต้องโน้มน้าวย่าเจี่ยนเกือบตายตอนบ่าย ในที่สุดย่าค่อยยอมให้ฉันไปประชุมครู-ผู้ปกครองแทนเธอ”
ก่อนหน้านี้ ย่าเจี่ยนได้วางแผนที่จะไปประชุมครู-ผู้ปกครองของเจี่ยนอีหลิงด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เวินน่วนได้ไปที่บ้านเก่าตระกูลเจี่ยน และใช้เวลาค่อนข้างนานในการพยายามเกลี้ยกล่อมย่าเจี่ยน จนท้ายที่สุด ย่าเจี่ยนจึงค่อยยอมจำนนและยกตำแหน่งนี้ให้แก่เวินน่วน
เจี่ยนชูฉิงรู้ว่าภรรยาอยากไปประชุมครู-ผู้ปกครองของเจี่ยนอีหลิงมาก ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “หากเธอต้องการไปที่การประชุมครู-ผู้ปกครองของอีหลิง เธอก็สามารถไปได้เช่นกันนะ แค่บอกหยุ่นเฉิงให้ไปที่หยุ่นน่าวแทน”
เวินน่วนอยากไปประชุมผู้ปกครองครูของเจี่ยนอีหลิงจริงๆ อย่างไรก็ตาม เธอมีสิ่งอื่นที่ต้องทำอยู่เช่นกัน “ไม่ ให้หยุ่นเฉิงไปที่อีหลิง เขามีหน้าตาดี จะเป็นการดีที่เขาไปที่นั่นเพื่อสนับสนุนอีหลิง ให้หนุ่มๆในห้องอีหลิงรู้ว่าพี่ชายเธอดุ ถ้าพวกเขารู้พวกเขาจะไม่รังแกเธอ”
“แม่ แม่ไม่ต้องไปที่การประชุมครู-ผู้ปกครองของผมหรอกครับ ผมไม่ได้เข้าชั้นเรียนในช่วงครึ่งแรกของภาคการศึกษา ครูจะไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับผมมากนัก แม่สามารถไปที่การประชุมครู-ผู้ปกครองของอีหลิงได้เลย”
เจี่ยนหยุ่นน่าวไม่ได้สนใจการประชุมครู-ผู้ปกครองของตนเองมากนัก
“แม่ไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อการประชุมครู-ผู้ปกครองของลูก แม่มีสิ่งอื่นที่ต้องชำระสะสาง” เวินน่วนกล่าว เธอไม่ได้ระบุว่านั่นคืออะไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนสามารถคิดหาเหตุผลได้อย่างรวดเร็ว
โม่ฮุ่ยฉิง ในฐานะแม่ของโม่ชืออวิ้นจะต้องเข้าร่วมการประชุมครู-ผู้ปกครองในวันพรุ่งนี้แน่นอน
เจี่ยนหยุ่นน่าวอยู่ในปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับโม่ชืออวิ้นมาสามปีเต็ม
ในช่วงสองปีก่อนหน้านี้ โรงเรียนมีการประชุมครู-ผู้ปกครองหลายครั้ง ตระกูลเจี่ยนไม่เคยพูดกับใครเลยว่าโม่ฮุ่ยฉิงเป็นแม่บ้านของครอบครัวเมื่อพวกเขาพบกันในการประชุมครู-ผู้ปกครอง
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เวินน่วนไม่ได้วางแผนที่จะใจดีขนาดนั้น