ตอนที่ 64 : แสงปริศนา
“อืมมมม ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นต้องมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่มั้ย?”
“เขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่นะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ?”
ท่านนายพลเข้าสู่ห้วงแห่งการคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาเพิ่งได้ยิน เขาหยิบบุหรี่ซองหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัวและกําลังจะจุดไฟ แต่เสียงของศาสตราจารย์ก็โพล่งออกมาเพื่อดึงสติของนายพลกลับมา
“ฉันจะเตะนายออกจากห้องนี้ ถ้านายจุดบุหรี่นั่น นายเพิ่งจะบอกไม่นานนี้เองว่า นายได้เลิกบุหรี่แล้ว แล้วตอนนี้นายกําลังทําอะไรอยู่ หะ?”
ท่านนายพลไมเกลตัวแข็งและค่อยๆคืนบุหรี่กลับไปอย่างผืนใจ
“ขอโทษเรื่องนั้นด้วย ฉันเครียดตั้งแต่เมื่อเช้า ความดันฉันเพิ่มขึ้นน่ะ”
“ฉันไม่ได้จะว่าอะไรหรอกถ้ามันคือเหตุผลนั้น แต่นายไปดูดข้างนอกจะดีกว่า และไม่ใช่ดูดในตึกคารนี้”
ศาสตราจารย์ไอแซคเตือนเขาอย่างเข้มงวด
“แต่อย่างไรก็ยังมีชิ้นส่วนอื่นที่ตกลงมายังในประเทศอื่นๆใช่มั้ย? มีข้อมูลอะไรที่พวกเขาได้ให้เรามั้ย?”
สําหรับคําถามนั้น ศาสตราจารย์ก็ได้ตะคอกออกมา
“นายคิดว่าพวกเขาจะบอกหรอ? ด้วยข้ออ้างว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของประเทศพวกเขา นายคิดว่าประเทศที่เล็กกว่าของพวกเราจะได้อะไรจากพวกเขากันล่ะ? ประเทศของเราไม่มีสามารถแม้กระทั่งส่งสายลับไปยังประเทศอื่นๆได้เลย แน่นอนว่าเราไม่ได้ข้อมูลอะไรนอกจากรายงานเบื้องต้นและข่าวที่รั่วออกมา เกี่ยวกับการระบาดเล็กๆในหมู่บ้านในรัฐแอริโซนา”
“การระบาด?”
“ใช่ ก็คล้ายกับสิ่งที่เรากําลังประสบอยู่ในตอนนี้เนี่ยแหละ ฉันได้ส่งนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆไปสํารวจที่นั่นแล้ว เมื่อคนของฉันไปถึงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกชําระล้างไปแล้ว ข่าวเดียวที่เราได้รับคือมีเศษชิ้นส่วนได้ตกลงบนฝูงปลวก เขตนั้นกลายพันธุ์ฆ่าคนมากกว่าครึ่งในหมู่บ้านนั้น เราพยายามติดต่อสื่อสารในการร่วมมือกับเกี่ยวกับการวิจัยของพวกเขา แต่พวกเขานั้นก็เก็บเป็นความลับอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ฉันเข้าใจแล้ว นายไม่สามารถทําอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จริงๆ”
นายพลมองไปที่ผู้ช่วยสองคนที่กําลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่สมุดโน้ตที่อยู่บนโต๊ะ
“นายบอกว่าสองคนนั้นได้ถูกพัฒนา พวกเรานั้นได้รับพลังมากขึ้นกว่าเดิมมั้ย?”
“พวกเขามีพลังมากขึ้นกว่าเดิม อื่มม ฉันไม่ลําบากใจที่จะบอกเรื่องพวกเขาให้นายรู้นะ แต่มันจะง่ายกว่าถ้านายได้เห็นมัน”
ศาสตราจารย์ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“เนีย แอลเลน มานี่หน่อยโชว์ความสามารถของพวกเธอสิ ฉันอยากจะเห็นสีหน้าที่ตกใจของเขา”
ผู้ช่วยทั้งสองส่ายหัวเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์เล่นแบบนี้อีกแล้ว นักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าบอคนนี้หมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าการวิจัยไม่พอ แต่ยังชอบเล่นแผลง ๆ กับผู้คนอีกด้วย
คนแรกที่ได้โชว์ความสามารถนั้นคือ เนีย เธอยืดแขนออกครึ่งหนึ่งโดยเปิดฝ่ามือและหงายขึ้น จากนั้นฝ่ามือของเธอก็เริ่มเปล่งแสงจาง ๆ นายพลรู้สึกถึงอากาศเย็น ๆ ที่มาจากทิศทางของเธอ หลังจากนั้นประมาณห้าวินาที ก็ได้มีหนามแหลมน้ําแข็งขนาดเท่าตะเกียบสองอันตกลงบนฝ่ามือของเธอ
คนต่อไปคือแอลเลน เขาหยิบเข็มที่เล็กที่สุดจากตู้ในห้องพร้อมกับด้ายใน ล่อนเส้นเล็ก ๆ เขาใช้นิ้วหัวแม่มือดีดโดยใช้มือซ้าย เขาโยนเข็มขึ้นไปให้หมุนอยู่ในอากาศในแนวตั้งด้วยความเร็วที่เร็วมากราวกับใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นดวงตาของเขาก็ปล่อยแสงสีแดงจางๆออกมา และมือขวาของเขาก็ที่จับปลายด้ายไนลอนข้างหนึ่ง สิ่งต่อไปที่นายพลเห็นคือด้ายห้อยลงมาจากมือของเขาโดยที่ด้ายไนลอนนั้นผ่านเข้าไปยังรูเข็มขนาดเล็กสุดนั้นแล้ว
นายพลอ้าปากตกใจจนกรามค้าง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่สุภาพของศาสตราจารย์อยู่ข้างหลังเขา
“มหัศจรรย์ใช่มั้ยล่ะ? ความสามารถของเนียคือการเสกความชื้นในบริเวณโดยรอบและสร้างความชื้นที่เก็บรวบรวมให้กลายเป็นน้ําแข็งในรูปแบบใดก็ได้ที่เธอต้องการ สําหรับแอลเลนคือประสาทสัมผัสตาได้รับการปรับปรุงพัฒนาอย่างมาก จนเขายังสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งกระสุนปืนสไนเปอร์ที่ยิงได้เร็ว เมื่อร่างกายของเขาได้รับการพัฒนาเขาจะสามารถตอบสนองต่อทุกสิ่งได้ตราบเท่าที่เขาเห็นว่ามันกําลังพุ่งเข้ามา
จริงๆแล้วความสามารถของพวกเขามีประโยชน์ต่อการศึกษาทําการวิจัยของฉันมาก เพราะเนียสามารถแช่แข็งตัวอย่างสิ่งที่รวบรวมได้ทุกที่ที่ต้องการ ในขณะที่แอลเลนสามารถทําหลายอย่างเช่นเย็บบาดแผลได้ จับปรสิตที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องการปฏิกิริยาและการตอบสนองที่รวดเร็ว”
เมื่อได้ยินเขาอธิบาย นายพลก็ได้ถอนหายใจ
“นายโชคดีมากที่ได้มีผู้ช่วยแบบนี้”
“อะไร? อิจฉางั้นหรอ?”
“ฉันป่าว มันเป็นเพียงแค่ฉันนั้นรู้สึกมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดพวกมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ก็สามารถถูกจัดเป็นทีมของเราได้”
“สิ่งที่คุณต้องการทํานั้นมันยาก เป็นไปได้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้จะมีความทะนงตัวสูงและยากที่จะควบคุม ซึ่งแตกต่างจากชายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเต็มที่แล้ว เว้นแต่ว่าคนที่นายไว้ใจมากที่สุดจะกลายเป็นหนึ่งในพวกมัน และนั่นก็คงเป็นแผนการที่เป็นไปได้ยาก”
“ถ้าฉันให้ประโยชน์กับพวกเขาล่ะ? นายคิดว่าไง?”
“คําตอบและผลลัพธ์นั้นจะขึ้นอยู่กับผู้กลายพันธุ์เอง มีแนวโน้มว่าพวกเขาหลายคนจะมุ่งสู่ตําแหน่งที่สูงกว่าการเป็นทหารบกและคงไม่ทําตามคําสั่งจากพวกรัฐบาลที่ไม่น่าไว้วางใจง่ายๆหรอก แต่ฉันเดาว่าวิธีนั้นสามารถใช้ได้กับผู้ชายที่เรามีอยู่ตอนนี้”
“มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังความแข็งแกร่งสูงน่ะหรอ?”
“ใช่แล้ว ชายคนนั้นมีครอบครัวที่รอ เขาอยู่ในเขตอพยพผู้รอดชีวิต ถ้านายสัญญาว่าจะให้การดูแลความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ให้กับครอบครัวของเขา ฉันแน่ใจว่าเขาจะยินยอม”
“เขาจะถูกปล่อยตัวเร็วๆนี้มั้ย?”
“เอ่อ.. พวกเราเพิ่งจะทําการทดลองครั้งสุดท้าย ดังนั้นนายจะได้ตัวเขาหลัง จากนี้ถ้านายโน้มน้าวเขาได้นะ ถ้าไม่ได้เราก็ทําได้แค่ปล่อยตัวเขาไป”
“แหม ฉันคิดว่าเราทําได้แค่ปล่อยเขาไปตั้งแต่ตอนที่เราไม่อํานาจไม่ควบคุมตัวเขามาแล้ว ถ้าเป็นไปได้มันจะดีกว่านะถ้าสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ไว้ เนื่องจากความปลอดภัยของผู้คนจะตกอยู่ในอันตราย ถ้าพวกเราเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ทําไม่ดีกับพวกเขาก่อน
นายยังต้องหนุนกลุ่มกําลังคนของนาย ด้วยนะไมเกล นอกจากนี้ยังมีพวกสัตว์ และพืชที่กลายพันธุ์ สิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์เหล่านี้จะมารวมกลุ่มกันเป็นฝูงในเร็วนี้ ก่อนที่มนุษย์เราจะสามารถพัฒนาไปตามธรรมชาติได้”
วันที่ 2 – เวลา ตี 5.25 นาฬิกา – ห้างสรรพสินค้าบาคัวร์, ลานจอดรถใต้ดิน, พื้นที่ส่วนกลาง
กองกําลังทหารเคลื่อนตัวไปมารอบๆ ยานพาหนะที่จอดไว้ซึ่งพวกเขาได้ ขนส่งเข้าไปแล้วหลังจากพบห้องรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้า เหล่าทหารที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ในที่จอดรถ หน้าที่ตรวจสอบและซ่อมยานพาหนะของพวกเขา ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่ย้ายออกไปแล้วและรักษาความปลอดภัยตามส่วนสําคัญของห้างสรรพสินค้า เช่นร้านฮาร์ดแวร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในชั้นหนึ่ง และส่วนบริการทั้งหมด ทางเดินทุกชันของห้างสรรพสินค้า
ผู้รอดชีวิตที่นําโดยขบวนทหารนั้นพัก อยู่ทางปีกตะวันออกของที่จอดรถชั้นใต้ ดินซึ่งพวกเขาจัดเตรียมเครื่องนอนและอาหารจากโกดังไว้ให้ผู้รอดชีวิตนั้น แทบไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อเช้า ต่างก็มีความสุขในการได้รับประทานอาหารที่พวกทหารแบ่งปันมาให้
พนักงานหลายๆคนของห้างก็ช่วยคุ้ม กันโดยการให้คําแนะนํากับเหล่าทหาร เพราะพวกเขารู้โครงสร้างของห้างสรรพสินค้ามากกว่าใครคนอื่นที่นี่
ระหว่างขั้นตอนการคุ้มกันห้างนั้น พวกเขาจัดการหาผู้รอดชีวิตหลายๆคนที่หลบซ่อนอยู่ตามร้านค้าต่างๆ พวกเขาส่วนใหญ่ออกมาจากการหลบซ่อนหลังจากได้ยินเสียงของเหล่าทหาร
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้รอดชีวิตที่เพิ่มขึ้น จึงจําเป็นต้องมีทีมกู้ภัยอื่นในการขนส่งผู้รอดชีวิตทั้งหมดในครั้งเดียว ตามรายงานที่ร้อยราฟาเอลได้รับจากสํานักงานใหญ่ การมาถึงเร็วที่สุดของหน่วยกู้ภัยจะเป็นช่วงบ่ายและช่สุดคือก่อนเที่ยงคืน
ถึงอย่างไร ดูเหมือนว่าไม่ว่าทีมช่วยเหลือจะมาถึงนั้นใช้เวลานานแค่ไหน ผู้รอดชีวิตก็ยังไม่เป็นไร ตราบเท่าที่การช่วยเหลื่อนั้นถึงอย่างแน่นอน เป็นเพราะร้อยตรีราคฟาเอลนั้นแสดงความกล้าหาญของพวกเขาและประสบความสําเร็จในการคุ้มกันพื้นที่ขนาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้า โชคร้ายที่พวกเขาไม่สามารถรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หลักของห้าง สรรพสินค้าได้เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อจํานวoมาก
อีกประการหนึ่งคือความขัดแย้งระ หว่างผู้รอดชีวิตนั้นก็ไม่เกิดขึ้นเลย เนื่องจากเหล่าทหารนั้นเป็นผู้นําแก่ประชาชน ผู้รอดชีวิตยึดทหารเป็นเสาหลักทําให้เหล่าทหารพยายามไม่ให้คนเหล่านี้ผิดหวังในตัวพวกเขา
วันที่ 2 เวลา 06.00 นาฬิกา เขตทะเลสาบ, ถนนทะเลสาบทัล, เมืองบาคัวร์, เมืองคาวิท
ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ถูกปิดตายอยู่บนถนน มีแสงสีม่วงพุ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้าในห้องเดียวของบ้านหลังนั้น
นอกเหนือจากผ้าที่กองไว้ไม่เป็นระเบียบอยู่ภายในตู้แล้วยังมีโถปากกว้าง ทรงกลมขนาดแกลลอนตั้งอยู่ลึกอยู่ในกองเสื้อผ้า
ภายในขวดมีคริสตัลสีม่วงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งนิ้วครึ่งและสูงมากกว่าสามนิ้ว คริสตัลนั้นลอยอยู่ในแนวตั้งตรงกลางโถโดยไม่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของโลก รอบๆคริสตัลนั้นมีคริสตัลรูปทรงกลมขนาดเล็กเท่าหินอ่อนที่มีสีเดียวกัน ผลึกขนาดเล็กนั้นลอยอยู่รอบๆในแนวนอนตรงกลางของคริสตัลที่ใหญ่กว่าในขณะที่ค่อยๆเคลื่อนเป็นลักษณะทวนเข็มนาฬิกา
ผลึกนั้นฉายแสงที่สว่างออกมาเป็น ระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะดับลงไป น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นภาพที่น่าท7jงนี้ได้นอกจากบุคคลที่ซ่อนมันเอาไว้ที่นั่น ซึ่งบุคคลนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวที่บ้านนั้นในขณะนี้