นิยาย มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 78 : ขู่กรรโชก
ตอนที่ 78 : ขู่กรรโชก
วันที่ 3 – เวลา 07:43 นาฬิกา – ศาลากลางบาควร์ ชั้น4, Molino Boulevard, Bayanan, เมืองบาควร์, คาวิท
มาร์คและแอ็บบเกลเข้าไปยังชั้นสี่ของอาคารศาลากลาง แม้ว่าทางเดินแขวนเชื่อมจะสามารถเข้าถึงได้ที่ชั้นสามของอาคารสํานักงานโรงยิม มันถูกเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นสูงสุดของศาลากลาง เหตุผลนี้คือความแตกต่างในการยกตัวสูงขึ้นของอาคารทั้ง สอง ตึกอาคารศาลากลางถูกสร้างขึ้นด้วยชั้นความสูงที่ต่ํากว่ากว่าโรงยิม
เมื่อมองภาพฉากข้างในอาคาร มันดูราวกับว่าอาคารนั้นไม่ได้ถูกกระทบจากเหตุ การณ์โลกกาวินาศในครั้งนี้ แต่ภาพภายในอาคารดูเหมือนเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวขนาด เจ็ดริกเตอร์ขึ้นมา พื้นและผนังนั้นมีรอยแตกร้าว พื้นที่ส่วนที่ถูกยกสูงขึ้นและบางส่วนก็ จมลงไป แม้แต่พื้นส่วนข้างหลังก็เอียงอย่างเห็นได้ชัด กระจกกั้นห้องทุกบานก็ได้แตกละเอียดรวมทั้งตู้และโต๊ะก็โค่นล้ม
และตัวการต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนอาคารชั้นนี้นั้นก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนได้จากมุมของมาร์คและแอ็บบีเกล ตามทางเดินที่ตรงไปนั้นพวกเขานั้นสามารถมองเห็นลำต้นของต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นครึ่งหนึ่งของทางเดินเอาไว้ ไม่เพียงแค่นั้นส่วนของล่า ต้นที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้นั้นมีเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของล่าต้นทั้งหมด ส่วน ที่เหลือของล่าต้นถูกซ่อนอยู่หลังกําแพงที่พังทลาย
จากลักษณะของมันที่เห็น ต้นไม้ขนาดใหญ่ได้หักท่อนไปเกือบถึงตรงกลางอาคารกิ่งก้านของต้นไม้ก็ได้หักทะลุเข้าไปยังเพดาน
ก่อนที่จะดําเนินการต่อมาร์คตรวจสอบอุปกรณ์ของเขา เขายังมีกระสุนหลายคลิป แต่เขาใช้กระสุนขนาด 5.56 มม.ไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขาดื่มน้ําเย็นไปครึ่งขวดและยื่นอีกครึ่งหนึ่งให้แอ็บบีเกลซึ่งเธอก็ค่อยๆดื่มมันอย่างสงบนิ่ง เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ได้ใช้ขวดเป็ปเป็นภาชนะบรรจุน้ํา แต่เป็นขวดน้ําที่มีฉนวนสุญญากาศแทน เขานําขวดเหล่านี้มา ห้าขวดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายของเขา สองขวดสาหรับน้ําเย็นสองขวดสําหรับน้ําอุ่น และขวดสุดท้ายส่าหรับเครื่องดื่มโซดาน้ําตาลต่า
มาร์คเปลี่ยนคลิปกระสุนที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งของปืน M16 ของเขาให้เต็มและเริ่ม เคลื่อนไหว เขาแน่ใจว่าชั้นนี้ไม่มีการผู้ติดเชื้ออยู่แน่นอน ในเมื่อเขาได้บังคับโดรนมาตรวจสอบที่นี่โดยไม่พบปัญหาใดๆและผู้รอดชีวิตก็ได้รวมกันอยู่ที่ชั้นนี้
เมื่อพวกเขาได้มาถึงใกล้ล่าต้นของต้นไม้ มาร์คก็เริ่มระมัดระวังการเดินฝีเท้าของเขา พื้นทางเดินนั้นขรุขระไม่เรียบและส่วนของพื้นที่มีรอยแตกดูเหมือนว่ามันจะพังลงมาเมื่อใดก็ได้ ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านล่าต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมองไปที่มัน แค่ส่วนที่มองเห็นได้ของล่าต้นก็พบว่าต้นไม้นี้มีขนาดความกว้างประมาณคนสีคนยืนกางแขนออก
มาร์ควัดความกว้างยาวของต้นไม้นี้ด้วยเพียงการใช้สายตาพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ออกมาจากต้นไม้ ในขณะที่เขารู้สึกเช่นนั้น เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอารมณ์และความรู้สึก แถมยังมีพฤติกรรมแปลกๆ ของมนุษย์ต้นไม้กลายพันธุ์ที่อยู่ด้านนอก เขาได้สังเกตุตั้งแต่ตอนที่เขาบังคับโดรนในการตรวจสอบพื้นที่ มนุษย์ต้นไม้กลายพันธุ์นั้นได้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆรอบๆศาลาก ลาง แต่ดูเหมือนจะไม่กล้าเข้ามาใกล้หรือเข้าไปในอาคาร
เมื่อได้คิดอย่างถี่ถ้วนลึกซึ้ง การคาดคะเนของเขาก็ดูมีเหตุมีผล ถ้าหากว่าต้นไม่มี อารมณ์และความรู้สึกอยู่จริงๆ ถ้ามันมีอารมณ์รุนแรงดุร้ายหรือใดๆ ผู้รอดชีวิตจะสามารถรอดชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอยู่ได้อย่างไร
มาร์คตัดสินใจที่จะไตร่ตรองเรื่องเอาไว้ที่หลัง ตอนนี้เขาจาเป็นต้องถึงตัวชาเมนให้ เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เขามองขึ้นไปและเห็นรอยร้าวแตกที่อยู่บนเพด้านที่เขาใช้บังคับโดรนบินขึ้นไปในตึก พวกเขาก็ได้ตามทางที่โดรนได้สํารวจมาก่อนหน้านั้นและไปยังมุมของโถงทาง ดินที่ซึ่งนําพวกเขาไปยังโซนแผนกต้อนรับของชั้นนี้ ซึ่งเป็นที่ที่ผู้รอดชีวิตก่าลังรวมกลุ่มกันอยู่
“เกล ตามหลังฉันมานะ โอเคมั้ย?”
เด็กสาวได้พยักหน้าทําตามคําสั่งของมาร์ค แต่มาร์คนั้นรู้สึกว่าเขาควรควบคุมเด็ก สาวตัวเล็กคนนี้เอาไว้
เมื่อแอ็บบีเกลได้เดินตามอยู่ข้างหลังเขา มาร์คก็เดินตรงไปยังโซนแผนกต้อนรับ อย่างใจเย็น จริงๆแล้วนั้นเขาได้เห็นผู้คนที่อยู่โซนแผนกต้อนรับแล้วและผู้คนเหล่านี้ นก็เห็นเขาเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีใครเข้ามาหาเขา แน่นอนสิ คนสติสมประ กอบที่ไหนคิดจะเข้าหาคนที่มีอาวุธครบมือและใบหน้าถูกปกปิดอย่างมิดชิด
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ก็ยังอยู่กับสติที่ครบถ้วนของตัวเอง
เมื่อมาร์คและแอ็บบีเกลไปถึงโซนแผนกต้อนรับ ทุกๆคนก็ได้มองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง ต่ารวจและบอดี้การ์ดก็ได้มายืนอยู่ข้างหน้าสส.หญิง
มาร์คเปรยสายตาผ่านคนพวกนั้นและหยุดไปที่คนคนหนึ่ง นั่นคือชายที่สวมชุดสูท ซึ่งผลักชามไปก่อนหน้านี้และยังได้ทําลายวิทยุของเขาจนเสียหาย ยังมีบอดี้การ์ดอีก สองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา ดูเหมือนว่าบอดี้การ์ดทั้งหมดของที่นี่ไม่ได้เป็นแค่บอดี้ การ์ดของสส.หญิง แตกต่างจากที่มาร์คคิดเอาไว้
แอ็บบีเกลได้เห็นชายคนนั้นตาของเธอก็เบิกโตกว้างขึ้น เธออยู่ท่าทางที่พร้อมจะพุ่งเข้าไปหาชายคนนั้นและเตะไปที่เขาสักที แต่อย่างไรก็ตามขณะที่เธอเตะเท้าลงบนพื้น การเตะของเธอก็ไม่ได้ทําให้เธอมีพุ่งตัวที่จะก้าวไปข้างหน้า เธอรู้สึกได้ว่ามีแขนมาคว้าที่เอวของเธอและอุ้มตัวเธอขึ้นเอาไว้
“เธอจะขโมยเป้าหมายของฉันอีกแล้วจริงๆหรอ..”
เธอมองไปหาปะป๋าของเธอด้วยความไม่พอใจ
“โถ่! ปะป๋า! หนูอยากฆ่ามัน!”
เธอใส่อารมณ์ฉุนเฉียวไปที่มาร์ค
“ไม่ ถ้าเธอไม่ฟังฉัน คราวหน้าเราจะไม่ได้กอดกันอีก”
ใบหน้าของเธอบูดบึงพร้อมกับกอดอกขณะที่เกาะอยู่บนแขนซ้ายของปะป๋าของเธอ ในที่สุดเธอก็ยอมรับและเงียบไป
มาร์คได้สังเกตแอ็บบีเกลเมื่อเธอเริ่มเคลื่อนไหวท่าที่เพื่อจะพุ่งเข้าไปหาชายคนนั้นและได้จัดการอุ้มเธอเอาไว้ เด็กสาวตัวเล็กผ่โหดร้ายคนนี้จริงๆแล้วมาเพื่อตั้งใจที่จะขโมยคนที่เขานั้นหมายหัวเอาไว้
ผู้คนรอบๆนั้นเห็นว่าพวกเขาสองคนนั้นกําลังทําอะไรและมองไปที่พวกเขาโดยที่ไม่รู้ว่าจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรต่อการเย้าแหย่ของพวกเขา
“สองคนนี้นั้นเป็นพ่อลูกกันจริงๆงั้นหรอ?”
นั่นคือสิ่งที่โผล่อยู่ในความคิดของพวกเขาเหล่านั้น
แม้กระทั่งชามยังตกใจ เธอรู้ว่านั่นคือพี่ชายของเธอและเธอยังว่ารูปลักษณ์และเสียงของเขาได้ แต่เธอไม่ได้คาดคิดว่าเขานั้นจะมีลูกสาวเสียแล้ว! ย้อนกลับไปเมื่อก่อนตอนที่เขาแยกออกไป เขาไม่ใช่ชายคนที่จะตกอยู่ในความสัมพันธ์กับใครได้อย่างง่ายๆ เหล่าสาวๆนั้นมีความสนใจที่จะแต่งงานกับพี่ชายของเขาด้วยหรอ? เมื่อเห็นเด็กสาวคนนี้ที่น่ารักอย่างกับตุ๊กตา เป็นไปไม่ได้เลยที่คู่ชีวิตของพี่ชายนั้นจะเป็นผู้หญิงหน้าตาที่ดูไม่ดี
ในขณะที่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่มองว่าเป็นการล้อเล่นตามปกติโดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของบทสนทนาที่พ่อและลูกสาวคุยกัน ชายคนนั้นและบอดี้การ์ดของเขา รวมถึงกลุ่มของสส.หญิงก็ค่อนข้างเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาสองคนได้คุยกัน ทั้งสองคนนั้นต้องการที่จะจบชีวิตชายคนนี้!
ชายนั้นเริ่มเหงื่อตก จากนั้นเขาก็ได้หาทางโดยมองไปที่บอดี้การ์ดสองคนของเขา
“ชายคนนั้นมีปืนไรเฟิลอยู่ แต่เด็กนั่นมันจะทําอะไรได้?”
ชายคนนี้ก็ได้จุดประกายความมั่นใจออกมา ในเมื่อพวกของเขามีจํานวนเยอะกว่า ถ้างั้นเขาจะกลัวอะไรล่ะ?
มาร์คมองไปที่ชายคนนั้น เขากําลังประเมิณความผันผวนทางอารมณ์ของทุกๆคน อยู่ดังนั้นอย่างน้อยเขาจึงสามารถที่จะเดาได้ว่าชายคนนั้นคิดอะไรอยู่ เขาเล็งปืนไรเฟิลใส่กลุ่มของชายคนนั้น
ชายคนนั้นเบิกตากว้างในขณะที่บอดี้การ์ดทั้งสองคนก็ได้เล็งปืนพกไปที่มาร์คเพื่อ กีดกันการเล็งปืนไรเฟิลของมาร์คไปที่ชายคนนั้น
“พี่คะ..”
ชาเมนซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากมาร์คเอ่ยชื่อของเขาขึ้นมา มาร์คตอบกลับไปโดยไม่ได้มองไปที่เธอและยังคงจ้องไปที่กลุ่มของชายคนนั้น
“ชาม แค่รอตรงนั้นอีกหน่อยนะ ฉันจะจัดการกับไอนี่ก่อน”
“แต่…”
“แค่รอตรงนั้นแหละ”
เสียงที่หนักแน่นของเขาครั้งนี้ทําไมให้เธอนั้นไม่พูดอะไรต่อ พยาบาลที่อยู่ข้างๆ เธอก็ได้หยุดเธอจากการพูดออกมาในสภาพสถานการณ์ตอนนี้
บอดี้การ์ดและมาร์คยังคงหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน คนที่ทําลายความเงียบงันนั้นคือเด็กสาวตัวเล็กๆซึ่งถูกอุ้มอยู่โดยปะป๋าของเธอ
“ปะป๊า เกินไปแล้ว”
ไม่ใช่เพราะว่ามาร์คชเกินไปหรือเขากาลังอ่านใจของบอดี้การ์ดสองคนนั้นอยู่ แต่เขากําลังรออะไรบางอย่าง
ภายใต้หน้ากากที่เขาสวมใส่ เขาก็ได้ยิ้มเยาะออกมาเมื่อเขาเห็นชายคนนั้นตัวโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
จากนั้นสส.หญิงก็ได้ทําการเคลื่อนไหวขึ้นมา เธอก้าวออกมาอยู่ข้างหน้าบอดี้การ์ดขงเธอและพูดออกไป
“ขอโทษนะคะ มันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าพวกคุณเอาปืนลง มันคงจะเป็นปัญหาถ้าผู้ติด เชื้อข้างนอกนั่นได้ยิงเสียงปืนถ้ามันได้ลั่นไกออกไปตอนนี้ ยังมีคนที่อยู่ที่นี่ที่อาจจะ เดือดร้อนไปด้วยได้นะ”
นั่นแหละคือสิ่งที่มาร์คกําลังรอคอยให้สส.หญิงคนนี้ได้ยืนขึ้นและเข้ามาไกล่เกลี่ย จากวิดิโอที่มาร์คเห็นจากโดรน เขาแน่ใจว่าชายคนนี้นั้นตั้งใจที่จะฆ่าใครบางคนที่มี ยศฐานะที่สูง และสส.หญิงคนนี้อาจจะใช้ชายคนนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อที่ให้พวกเธอนั้น ได้รับการช่วยเหลือจากมาร์ค
“มันไม่ใช่ปัญหาของพวกเราถ้าผู้ติดเชื้อที่อยู่ข้างนอกนั้นโจมตีเข้ามา พวกเราจะออกหลังจากที่ได้ตัวน้องสาวของฉันออกไปจากที่นี่ ปัญหานั้นเป็นเรื่องของพวกคุณไม่ใช่ของฉัน เพราะว่าพวกคุณทุกคนก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่พวกเรานที่เป็นคนเริ่ม”
เมื่อทุกคนนั้นได้ยินสิ่งที่มาร์คพูดออกไป พวกเขาก็หยุดหายใจกันไปพักหนึ่ง ชายคนนี้ไม่ได้เห็นใจในความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสักนิด! สส.หญิงนั้นพูดถูก! เขาก็พูดถูก! ถ้าเกิดการยิงปะทะกันขึ้นไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาที่จะถูกเกี่ยวข้อง แต่มันยังได้ดึงดูดพวกปีศาจผีร้ายที่อยู่ด้านล่างอีกด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาได้จากไปจากที่นี่แล้ว!
“พวกเราสามารถทําอะไรได้บ้างเพื่อให้คุณจบเรื่องนี้”
สส.หญิงก็ได้นึกถึงผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นชายคนนั้นหรือชายที่มากับเด็กสาวจะชนะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจะตกหลุมอันตรายไปด้วย เธอตัดสินใจที่จะเข้ามาเพื่อไกล่เกลี่ย พวกเขา
“ถ้าอย่างนั้น ชดใช้เรื่องที่เขาผลักน้องสาวของฉันและทําลายวิทยุของฉันเสียหายได้มั้ยล่ะ เธอให้อะไรฉันได้?”
สส.หญิงนั้นได้แต่โกรธอยู่ข้างใน เธอตระหนักว่ามาร์คนั้นจะทําแบบนี้โดยตั้งใจอยู่ แล้ว! นั่นคือการขู่กรรโชก! แต่อย่างไรเธอก็ไม่สามารถทําอะไรได้ เพราะมันเป็นความ ผิดของชายคนนั้นตั้งแต่แรก!
“นายต้องการอะไร?”
“เอ๊ะ… ทําไมเธอถึงถามฉันว่าฉันอยากได้อะไรล่ะ? ฉันเดาว่าเธอมีของมาให้กับฉันแน่ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทําไมฉันถึงถามว่าเธอให้อะไรฉันได้บ้างยังไงล่ะ”
สส.หญิงนั้นรู้สึกหมดหนทาง ในการประกอบอาชีพสายการเมืองมาตลอดของเธอนั้น เธอไม่เคยรู้สึกว่าเธอไร้ประโยชน์แบบนี้! เธอจะให้อะไรเขาได้ล่ะ?
อาหารงั้นหรอ? แม้กระทั่งเธอยังไม่ได้รับมื้ออาหารให้ตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางคืนเลย!
อาวุธ? พวกเขาแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว! การ์ดทั้งหมดของเธอนั้นมีปืนแต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดนั้นจะมีลูกกะสุนเหลือเฟืออ แม้ว่าเธอนั้นจะให้ลุกกระสุนทั้งหมดที่ เหลือแก่มาร์คไป แต่สิ่งเหล่านั้นจะทําให้มาร์คพอใจได้หรอ? แน่นอนว่าไม่!
“พี่คะ”
ชาเมนเรียก
“อะไร”
“ขอร้อง อย่าทําให้คุณนายเลนต้องลาบากใจเลย เธอทําดีที่สุดแล้วที่ช่วยพวกเรา ทั้งหมดที่นี่ เมื่อคืนเธอก็ยังให้ขนมปังกรอบชิ้นสุดท้ายของเธอกับฉันด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ขามเมนพูด มาร์คก็เริ่มมองเห็นข้อดีของสส.หญิงขึ้นมาอยู่บ้างและ ตัดสินใจที่จะประนีประนอมเล็กน้อย
“ถ้าเธอไม่มีอะไรจะให้ งั้นก็ให้ข้อมูลกับฉันสิ”
สส.หญิงมีใบหน้าที่จุดประกายความสว่างไสวขึ้นมาเมื่อเธอมองไปที่ชาเมนด้วย ความทราบซึ่ง
“ข้อมูลอะไร”
“อย่างแรกเลยคือเกี่ยวกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่โตจนทะลุอาคารนี้ อย่างที่สองข้อมูล เกี่ยวกับสถานที่ของศูนย์บัญชาการตํารวจโดยเฉพาะคลังอาวุธ ฉันอยากเอาอาวุธ และเครื่องมืออุปกรณ์จากที่นั่นออกมา”
“ก็ได้”
สส.หญิงพยักหน้า
“แต่คุณนาย! อาวุธและเครื่องมืออุปกรณ์นั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตํารวจ! มันผิดกฏหมายที่จะเช้ไปยึดมาเป็นของใครก็ตามโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต!”
หนึ่งในตํารวจที่ยืนอยู่ข้างหนังคุณนายเลนี่พูดออกมาด้วยน้ําเสียงกังวล สส.หญิง มองไปที่เขาอย่างท่าทีที่หมดหนทาง
“กฏหมายและคําสั่งนั้นล่มสลายไปแล้ว อีกอย่างมันดีกว่านะถ้าเอาอาวุธพวกนั้นมาใช้ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ให้มันเน่าเปื่อยอยู่ในนั้น”
จากนั้นเธอก็มองตรงไปที่มาร์ค
“นายบอกว่านายตจะเอาอาวุธใดๆและอุปกรณ์ออกมา แต่ฉันแน่ใจว่านายนั้นไม่สามารถนาของพวกนั้นไปได้หมดหรอก พวกเราสามารถนําของที่เหลือไว้ได้ใช่มั้ย?”
สิ่งที่เธอพูดนั้นก็มีเหตุมีผล มาร์คพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ขอร้องให้คุณเอาปืนลงได้มั้ย?”
เธอหันไปหาชายคนนั้นและบอดี้การ์ดของเขา
“พวกนายด้วยเช่นกัน เอาปืนลง”
ทั้งสองฝ่ายลดอาวุธปืนของพวกเขาลงในเวลาเดียวกัน
เมื่อความขัดแย้งบรรเทาลงทุกคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
มาร์คชำเลืองสายตามองที่กลุ่มของชายคนนั้นและเดินเข้าไปหาชาเมนพร้อมกับ แอ็บบีเกลซึ่งเธอนั้นมีท่าทางที่ไม่พอใจ