เฉิงเจวี้ยนยังถือตะเกียบในมือ ตั้งหน้าตั้งตามองเจียงตงเยี่ยอย่างเกียจคร้าน ก่อนพูดอย่างเนิบนาบว่า “กินข้าวก่อนเถอะ”
ทั้งเจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉืออยากจะเอาแก้วที่อยู่ในมือทุบใส่หน้าเฉิงเจวี้ยน
ตอนนี้พวกเขายังมีกะจิตกะใจกินได้ลงหรือ?!
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นแค่เพียงความคิดในใจเท่านั้น
กู้ซีฉือนำน้ำเย็นที่เฉิงมู่รินให้ส่งให้เขา บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นเริ่มกินข้าว เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมา
พวกเขาใช้เวลากินข้าวอยู่ครึ่งชั่วโมง
สิบนาทีก่อนหน้านี้เจียงตงเยี่ยก็วางตะเกียบลงแล้ว แต่ยังไม่ได้ลุกออกไปเพียงนั่งรอคนอื่นกินข้าว
“ค่อยไปคุยกันที่ห้องสมุดก็ได้” เฉิงเจวี้ยนกินเสร็จ ก่อนหยิบทิชชูที่อยู่ด้านข้างเช็ดมืออย่างเอื่อยเฉื่อย
เจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือต่างสบตากัน จากนั้นก็เดินตามหลังเฉิงเจวี้ยนไปห้องสมุด ส่วนฉินหร่านก็ถือกระบอกรดน้ำเดินไปที่สวนดอกไม้
“นายท่านเจวี้ยน เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม…ถึงได้?” เจียงตงเยี่ยนั่งอยู่บนโซฟาในห้องสมุด ถามด้วยความร้อนใจ
ตั้งแต่เด็กนายเอาแต่ขอข้าวขอน้ำคนอื่นกินราวกับว่านายคือขอทาน แต่ความจริงแล้วนายคือราชัน!
นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจจินตนาการได้ สกุลเฉิงและสกุลเจียงต่างเป็นตระกูลที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวง โดยเฉพาะสกุลเฉิง
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างสกุลเฉิงกับเจ้าพ่อค้าเพชรที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความสะพรึงกลัวในต่างประเทศแม้แต่เรื่องเงินก็ไม่อาจเทียบได้
อีกกลุ่มเป็นเจ้าถิ่นครองแคว้น อีกกลุ่มก็เป็นเจ้าถิ่นครองเมือง ถือว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่
เฉิงสุ่ยรินชาส่งให้เจียงตงเยี่ย เจียงตงเยี่ยรับไว้
“เวลาผ่านไปนานแล้ว เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว” เฉิงเจวี้ยนพิงอยู่หลังหมอนบนโซฟา เลี่ยงที่จะพูดประเด็นสำคัญ “พวกคนในแถบนั้นถูกฉันอัดหน้าไปหมดแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
เจียงตงเยี่ย “…”
กู้ซีฉือที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อได้ยินเฉิงเจวี้ยนพูดเช่นนั้น ในหัวของเขาอยู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ผมจำได้ว่า ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมอยู่ที่ตะวันออกกลาง…” เขาหยิบแก้วน้ำ พลางหรี่ตา
กู้ซีฉือเป็นคนชอบท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ เขาเรียนวิชาแพทย์แต่เด็ก เมื่ออายุได้สิบห้าปีก็หิ้วกระเป๋ายาช่วยเหลือผู้คนทุกที่บนโลก เขาช่วยชีวิตคนแทบไม่ถ้วน ทั้งนี้กลับจำตอนที่เขาช่วยเหลือคนกลุ่มหนึ่งที่เหมืองแร่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้
เฉิงเจวี้ยนได้ยินดังนั้นจึงยิ้มขึ้น จากนั้นพยักหน้า “ถูกต้อง”
ปีนั้นเฉิงเจวี้ยนยังอายุไม่มาก เขาได้รับภารกิจเสี่ยงตายงานหนึ่งให้ออกนอกประเทศ มีศัตรูไม่น้อยรับรู้เรื่องนี้เข้า แม้ว่าไม่มีกู้ซีฉือคอยช่วยเหลือเขาก็รอดตายอยู่ดี แต่เมื่อมีคนยื่นมือช่วยเหลือ เขาย่อมจดจำไว้
“เดี๋ยวก่อน นายท่านเจวี้ยน เรื่องนี้…” เจียงตงเยี่ยดื่มชาก่อนกล่าวอย่างร้อนใจ “ในเมืองหลวงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ?”
“นอกจากพวกของเฉิงสุ่ย ก็ไม่มีใครรู้แล้ว?” เฉิงเจวี้ยนดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ใกล้สามทุ่มแล้ว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “มีคำถามอื่นอีกไหม?”
แน่นอนว่าเจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือยังมีคำถามอยากถามอยู่ แต่เวลานี้ก็ถามไม่ออกแล้ว ได้แต่ส่ายหัว เดินกลับห้องให้ท้องย่อยเรื่องพวกนี้ลงไปด้วย
**
เมื่อคืนทั้งสองคนต่างนอนไม่หลับ
วันนี้ตื่นขึ้นพบว่าใต้ตามีรอยดำคล้ำชัดเจน
กู้ซีฉือที่ยืนอยู่ฝั่งนี้ เห็นได้ชัดว่าฉินหร่านดูตื่นเต้นมากกว่าที่เคยเป็น เช้าวันที่สองก็พาทั้งสองคนเยี่ยมชมคฤหาสน์
“คนของที่นี่เก่งกันมาก” เจียงตงเยี่ยหยุดอยู่ที่ลานฝึกซ้อมขนาดเล็ก มองดูกลุ่มคนที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ก่อนพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
คนที่อยู่บนสนามฝึกซ้อมออกหมัดได้อย่างรวดเร็ว ความแข็งแรงเต็มเปี่ยม เป็นเรื่องที่พบได้ไม่กี่ที่ในรัฐ M เท่านั้น เจียงตงเยี่ยเองก็เป็นคนที่ชำนาญในด้านนี้ ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของพวกเขา
กู้ซีฉือปีนขึ้นไปบนเสาไม้ เขามองดูอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
เขาไม่เคยฝึกฝนเป็นจริงเป็นจัง หากต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัว ก็คงไม่มีเคล็ดลับร้ายกาจอะไรจะไปสู้ หากใครที่ไหนอยากมาสู้กับเขา เขาคงสู้ไม่ไหว แน่นอนว่าก็ไม่อาจมองออกว่าคนบนสนามฝึกซ้อมขนาดเล็กนี้มีฝีมือร้ายกาจระดับไหน
“เสี่ยวหร่าน อันนั้นคืออะไรน่ะ?” เขายื่นมือชี้ออกไปยังเครื่องวัดค่าแรงหมัดที่อยู่บนสนามประลองเล็ก
เสี่ยวหร่านนั่งพิงอยู่บนเสาไม้ถัดไปจากเขา ในขณะเดียวกันก็จะมีคนเขามาทักทายเธออยู่ต่อเนื่อง เธอทักทายตอบทีละคน จากนั้นหันมากตอบคำถามเขา “เครื่องวัดแรงหมัดน่ะ สามารถวัดแรงหมัดของแต่ละคนว่าได้เท่าไหร่”
“น่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?” เจียงตงเยี่ยประหลาดใจอย่างมาก
ฉินหร่านพาทั้งสองคนลงไปดู
สองวันมานี้สนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดถูกปิด ดังนั้นจำนวนคนที่อยู่ลานฝึกซ้อมเล็กจึงค่อนข้างเยอะ
เมื่อเห็นฉินหร่าน ทุกคนจึงหยุดมือโดยอัตโนมัติ ก่อนเรียกเธอด้วยความเคารพ “คุณหนูฉิน”
กู้ซีฉือเลิกคิ้ว ก้มหน้ามองฉินหร่านที่กำลังยิ้มอยู่ “เสี่ยวหร่าน เธออยู่ที่นี่ดังใหญ่เลยนะ”
“ก็พอตัวมั้ง” เสี่ยวหร่านดึงหมวกเสื้อคลุมขนเป็ดใส่หัว ก่อนเดินไปยังเครื่องวัดแรงหมัดที่อยู่อีกฝั่ง “ตรงนี้แหละ”
ขณะเดียวกันผู้กองลั่วก็กำลังวัดแรงหมัดอยู่ที่เครื่องตรวจจับพอดี!
887!
ผู้คนรอบข้างกู่ร้องด้วยความยินดี “ผู้กองลั่ว นายก้าวหน้าขึ้นแล้ว?”
คะแนน 887 เป็นค่าที่สูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบันทึกสถิติสูงสุดของเฉิงหั่ว หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้วัดได้แค่ประมาณ860ถึง870เท่านั้น
ผู้กองลั่วหยิกนิ้วมือของตัวเองด้วยความตื่นเต้น หลายวันมานี้เขาคอยหาฉินหร่านเพื่อขอคำแนะนำให้แก่เขา แม้ว่าความก้าวหน้าจะไม่เร็วเท่าเฉิงมู่ แต่ผู้กองลั่วก็พอใจอย่างยิ่งยวด
“คุณหนูฉิน พวกคุณจะใช้เครื่องวัดแรงหมัดกันเหรอครับ?” เมื่อเห็นฉินหร่าน ผู้กองลั่วหลีกทางให้พวกของฉินหร่านเข้ามา
ไม่ไกลจากตรงนั้น ถังชิงที่เตรียมตัวต่อแถววัดค่าแรงหมัดอยู่ก็มองเหตุการณ์ด้วยแววตาที่ล้ำลึกยิ่ง
ฉินหร่านเห็นเจียงตงเยี่ยมีท่าทีอยากลอง ขณะที่มือข้างหนึ่งกอดอก อีกข้างจับคาง คิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ คิ้วเส้นบางยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช้ พวกนายใช้กันต่อเลย”
เมื่อมั่นใจแล้วว่าฉินหร่านไม่อยากใช้เครื่องวัดแรงหมัดจริงๆ ผู้กองลั่วจึงให้คนกลุ่มหนึ่งฝึกซ้อมต่อ
เจียงตงเยี่ยที่เห็นค่าแรงหมัดแปดร้อยกว่าบนหน้าจอเครื่องวัด ก็ยิ่งอยากรู้ค่าแรงหมัดของตัวเอง เมื่อเห็นฉินหร่านไม่พูดอะไร ทำให้สายตาของเขาจับจ้องไปยังฉินหร่านอย่างไม่ตั้งใจ
ฉินหร่านวางมือลง มองตาเขา ใบหน้าเอียงเล็กน้อยพูดช้าๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า “ไปเถอะ พวกนายมากับฉันก่อน”
เธอพาพวกเขาไปยังห้องฝึกซ้อมชั้นหนึ่ง
ด้านในมีเฉิงมู่และซือลี่หมิงที่เพิ่งสู้กันไปยกหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เฉิงมู่จึงยืนขึ้น “คุณหนูฉิน”
“อืม” ฉินหร่านพยักหน้าให้อย่างไม่คิดอะไรมาก จากนั้นชี้ไปยังเครื่องวัดพลังหมัดที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เจียงตงเยี่ยถึงกับยิ้ม “ตรงนั้นก็มี นายลองดู”
“นายน้อยเจียงอยากลองวัดแรงหมัดเหรอครับ?” เฉิงมู่เดินตามมา จากนั้นชี้ไปยังตัวเลขทั้งแถวห้าที่อยู่บนหน้าจอ อธิบายให้เจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือฟังชั่วครู่
“ดังนั้น ทั้งหมดนี้คือค่าแรงที่พวกนายทำออกมาได้?” เจียงตงเยี่ยก้มมองตัวเลขบรรทัดที่สาม
956
949
958
ทุกบรรทัดเกินเก้าร้อย เทียบกันแล้วมากกว่าที่เขาเห็นตรงลานฝึกซ้อมด้านนอกอีก “เป็นของผม” เฉิงมู่พยักหน้า
ครึ่งเดือนก่อน ค่าแรงของเขาอยู่ที่ประมาณ850 ครึ่งเดือนต่อมาก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อย หลังจาก850แม้ว่าความเร็วจะเพิ่มขึ้นช้าลง แต่เฉิงมู่ก็พอใจกับผลลัพธ์อย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรก็ตาม…
เฉิงมู่ประทับใจในค่าแรงหมัด910ของที่เฉิงสุ่ยทำไว้
เจียงตงเยี่ยเห็นว่าค่าแรงหมัดเดิมสูงสุดที่บันทึกไว้คือ1321 จึงรู้สึกอยากลองดู “กำลังของพวกเราทั้งสองไม่ต่างกันมากหรอก ของฉันน่าจะประมาณ950”
กู้ซีฉือที่อยู่ข้างฉินหร่านถึงกับถอนหายใจ “…นายลองดูก่อนเถอะ”
เฉิงมู่ “…”
ซือลี่หมิงที่ตามดูอย่างใจจดใจจ่อก็ถึงกับดึงมุมปาก
กู้ซีฉือมองฉินหร่าน “เสี่ยวหร่าน ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้น?”
เสี่ยวหร่านยื่นมือแกะโซ่ที่คล้องอยู่กับเสื้อโค้ตขนเป็ด พลางถอนหายใจตอบ “อา ไม่มีอะไร”
ในเวลานี้เอง เจียงตงเยี่ยได้ออกแรงทั้งหมดอัดลงบนเครื่องตรวจวัดแรงหมัด
“พวกเธอดูให้ดี ค่าแรงหมัดของฉันน่าจะประมาณ940ได้…” มือข้างหนึ่งของเจียงตงเยี่ยวางอยู่บนเครื่องวัดแรงหมัดพลางเอียงตัวเล็กน้อย มองฉินหร่านและกู้ซีฉือด้วยท่าทางหล่อเหลายิ่ง
ทว่าประโยคนั้นที่ยังพูดไม่จบพลันชะงักลง
บนหน้าจอของเครื่องตรวจวัด ตัวเลขแถวที่สามได้เปลี่ยนไป
จาก956 กลายเป็น659
เลขสองบรรทัดบนคือหนึ่งพันสามร้อย สองบรรทัดล่างล้วนอยู่ที่เก้าร้อยโดยประมาณ ค่าแรงหมัด659ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เจียงตงเยี่ยไม่อยากจะเชื่อกับในสิ่งที่เห็นบนเครื่องตรวจวัด พรางมองไปยังเฉิงมู่
เขารู้สึกว่าเครื่องตรวจวัดนี่มันเสียแล้ว
ก่อนเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใช้แรงชกเข้าไปอีกหมัด
642
เจียงตงเยี่ย “…”
“มันเสียแล้วรึเปล่า?” ใบหน้าอันว่างเปล่าที่พยายามกู้คืนมาของเจียงตงเยี่ยจ้องมองเฉิงมู่
เฉิงมู่ตบไหล่เจียงตงเยี่ย พยายามปลอบประโลมเจียงตงเยี่ยอย่างคนมีประสบการณ์ว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ นายน้อยเจียง ตอนที่ผมต่อยครั้งแรกได้แค่652เอง ส่วนคุณชายเจวี้ยนเขาไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว นาย…ชินก็ดีแล้ว”
เจียงตงเยี่ยไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด จริงๆ
เขานึกถึงตอนที่อยู่สนามฝึกซ้อม เขาคิดอยู่เสมอว่าค่าแรง800เป็นผลลัพธ์ทั่วไป…
ใครจะไปรู้ แม้แต่700เขายังไม่ถึงด้วยซ้ำ
เจียงตงเยี่ยมองค่าพลังหมัด1321ด้านบนสุด ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายกว่าเดิม
กู้ซีฉือที่ยืนถัดจากฉินหร่าน พลันหัวเราะออกมา “เสี่ยวหร่าน เธอนี่มองการไกลดีนี่ พาพวกเรามาห้องนี้เพราะสนามฝึกซ้อมเล็กที่นั่นมีคนมุงดูเต็มไปหมด ไม่อย่างนั้นจะขายขี้หน้าขนาดไหน?”
เขาต้องแสร้งทำตัวไม่รู้จักกับเจียงตงเยี่ยแน่นอน
ฉินหร่านล้วงกระเป๋าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตอบกู้ซีฉืออย่างเจียมเนื้อเจียมตัวสุดๆ ว่า “ชมเกินไปแล้ว”
เจียงตงเยี่ย “…”
เขาพลันหันมามองกู้ซีฉือ เช็ดหน้าก่อนพูดว่า “ยังมียาไหม?”
หากพวกกลุ่มดอกเตอร์ในองค์กรการแพทย์รู้ว่าพวกเขานำยาที่ยังไม่ได้วิจัยออกมา อาจจะเป็นกังวลได้ และคงต้องร้องไห้โฮกันแน่นอน
วันนี้ฉินหร่านให้คนทั้งสองเดินชมบรรยากาศรอบๆ คฤหาสน์
และตอนนี้ ณ การทดสอบที่สนามสอบใหญ่ในคฤหาสน์ก็เริ่มต้นขึ้น