อีกสองวันถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย โรงเรียนเพิ่มยามรักษาความปลอดภัยเพื่อรองรับการดูแลของผู้เข้าสอบในช่วงเวลาสอบ
เมื่อเกิดเรื่องรถบรรทุกเสียหลักที่โรงเรียนอวิ๋นเฉิง มีเสียงกรีดร้องจากนักเรียนและผู้ปกครองดังขึ้น ฝ่ายรักษาการเมื่อได้รับโทรศัพท์ก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุทันที
สถานที่เกิดเหตุในตอนนี้มีนักเรียนโทรแจ้งตำรวจ บางคนกำลังขอความช่วยเหลือจากรถพยาบาล
ทุกคนรู้ดีว่าฉินหร่านช่วยพวกเขาเอาไว้ คนกลุ่มหนึ่งรีบพุ่งพรวดเขามา
ปกติเฉียวเซิงเป็นคนไม่จริงจังอะไรมาก แต่ภายใต้สถานการณ์นี้กลับมีสติได้ก่อนหลินซือหราน มือข้างหนึ่งของเขาหยิบโทรศัพท์โทรหาคนผู้หนึ่ง อีกข้างคอยพยุงหลังฉินหร่านไว้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทุกคนอย่ามาเบียดกันตรงนี้ เว้นพื้นที่ว่างไว้ด้วย”
ภายใต้สถานการณ์วุ่นวายดูเหมือนจะเป็นระเบียบขึ้นเล็กน้อย
ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมมุงเข้ามา
ผู้ชายวัยกลางคนหัวเกรียนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พลางดึงลูกสาวที่อยู่ข้างตัว พูดด้วยความกังวล “หนูไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ รีบไปดูฉินหร่านก่อน” ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมเหิงชวน ย่อมรู้จักคนที่มีชื่อเสียงอย่างเฉียวเซิงและฉินหร่านดี
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นหมอ เมื่อได้ยินลูกสาวพูดเช่นนั้นจึงพยักหน้าก่อนหมุนตัวเดินเข้าไปหาฉินหร่านฝั่งนั้น “ทุกคนถอยไป ผมเป็นหมอ ให้ผมเข้าไปดูนักเรียนที่บาดเจ็บหน่อยครับ!”
บนตัวของฉินหร่านยังมีเลือดออก เมื่อได้ยินว่าที่นี่มีหมอ ทุกคนจึงตะโกนเปิดทาง เพื่อให้ชายกลางคนเดินเข้ามา
หลินซือหรานและเฉียวเซิงต่างถอยออกมา สายตามองไปยังชายกลางคนผู้นั้น
วันนี้ฉินหร่านไม่ได้ใส่เสื้อยืดสีขาว เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแดงลายสก็อต มีคราบเลือดติดบนเสื้อแต่ไม่ชัดเจน ทว่าแขนเสื้อสามารถเห็นว่ามือซ้ายและแขนของเธอดูแปลกไปเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนเป็นหมอศัลยกรรมกระดูก มองดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเธอ
“มือขวาของเธอรู้สึกยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ
“อา” ฉินหร่านได้สติกลับมา เธอก้มหัว มองดูมือขวา ที่มีรูปใบหนึ่งยังถือไว้อยู่ในมือ และมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย เธอเงยหน้าตอบอย่างเยือกเย็น “ไม่เป็นไรค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” ชายกลางคนผงกหัว ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
จากนั้นหันไปมองเฉียวเซิงและหลินซือหราน “พวกเธออย่าโดนแขนซ้ายของคนไข้ ไม่แน่ว่าบนตัวยังมีแผลถลอกอยู่ด้วย”
เซียวเฉิงและหลินซือหรานไม่ได้ตอบอะไร น้ำเสียงของชายวัยกลางคนยังคงกึกก้องอยู่ในหูของพวกเขา ราวกับเสียงของฟ้าผ่าในที่แจ้ง
ยามรักษาของโรงเรียนรีบเข้ามาควบคุมคนขับรถบรรทุก และรักษาพื้นที่เกิดเหตุ
“พวกเราออกไปกัน” เสียงของคนรอบข้างดังเกินไป หัวคิ้วของฉินหร่านขมวดเข้าหากัน ก่อนเก็บรูปใส่กระเป๋า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ราวกับว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บอะไร
หลังจากพวกเขาเดินไปแล้ว ลูกสาวของชายวัยกลางคนจึงกล้าเดินเข้ามา “พ่อ ฉินหร่านเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
“ยังดีอยู่ แค่บาดเจ็บที่มือซ้าย” ชายวัยกลางคนก็เคยได้ยินลูกสาวของเขาพูดถึงชื่อฉินหร่านตอนอยู่บ้าน โดยเฉพาะช่วงนี้มักพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ว่ากันว่าเป็นนักเรียนที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วคนหนึ่ง เหมือนว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่สอบได้ที่หนึ่งทุกวิชา
เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจอย่างเบาใจ
ดีที่มือขวาไม่ได้บาดเจ็บ มิเช่นนั้นคงน่าเสียดาย
“มือซ้ายเหรอคะ?” ลูกสาวของเขาตกตะลึง
ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้าถามลูกสาว “ทำไมรึ?”
ลูกสาวของเขามองดูฉินหร่านที่เดินจากไป ดวงตาตกอยู่ในภวังค์ ก่อนพึมพำออกมา “เธอเป็นคนถนัดซ้ายนี่…”
**
พวกของฉินหร่านเดินออกมาจากประตูใหญ่ได้ห้าถึงหกนาที
ด้านนอกประตูมีเฉิงมู่ที่นั่งรอฉินหร่านกับเฉียวเซิงในรถฝั่งที่นั่งคนขับ ขณะเดียวกันมีคนจำนวนไม่น้อยที่กระจายตัวออกมาจากเหตุวุ่นวายในเขตโรงเรียนและพูดถึงเรื่อง “รถบรรทุก”
ทั้งยังมีคนจำนวนหนึ่งเข้าไปดูสถานการณ์วุ่นวายในโรงเรียน
ไม่ไกลจากที่นั่นมีเสียงของรถพยาบาลดังเข้ามาเรื่อยๆ
เฉิงมู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปลอดภัย เขาดึงกุญแจรถออก จากนั้นลงจากรถเพื่อเข้าไปหาฉินหร่าน หลินซือหรานทั้งสามคนตามถนนหลัก
เพิ่งเดินเลี้ยวเข้าไปก็เห็นกลุ่มคนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
มองเห็นเฉียวเซิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงคนจำนวนมาก ก็ได้กลิ่นคาวราวกับเลือดก็ไม่ปาน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “คุณหนูฉิน?!”
ใบหน้าของฉินหร่านยังคงปกติ เธอส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นเคย “ไปโรงพยาบาลก่อน”
เมื่อเฉียวเซิงเห็นเฉิงมู่ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกช้าๆ “นายพาเธอไปโรงพยาบาล เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์หาทางบ้านสกุลเฉียวแล้ว การปรากฏตัวของคนขับรถบรรทุกคันนี้นับว่าแปลกเกินไป
เสียงของรถพยาบาลดังเข้ามาเรื่อยๆ เฉิงมู่ย่อมไม่ให้ฉินหร่านไปกับรถพยาบาล เขาหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์หาเฉิงเจวี้ยน
อีกฝั่งหนึ่ง เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์ขณะนั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษกับเจียงหุย
ทั้งสองคนนั่งคุยอยู่กับบุคคลสำคัญหลายท่านของอวิ๋นเฉิง
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน โทรศัพท์ในมือของเฉิงเจวี้ยนก็ดังขึ้น ชื่อของเฉิงมู่ปรากฏชัดขึ้นมาบนโทรศัพท์
เพราะตอนนี้เฉิงมู่น่าจะอยู่กับฉินหร่าน ทำให้ตอนนี้เฉิงเจวี้ยนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
หากโทรศัพท์หาเขา ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินหร่านทั้งสิ้น
ลำตัวของเฉิงเจวี้ยนตั้งตรง พลางยื่นมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่ได้เดินออกไปด้านนอก แต่รับสายในทันที
เมื่อฝั่งนั้นพูดมาประโยคหนึ่ง ใบหน้าในตอนนั้นที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายในตอนแรกพลันมืดมนลง
แสงไฟในห้องรับรองไม่ได้สว่างจ้า แม้แอร์ในห้องเปิดอยู่ แต่ใบหน้าของเขาในเวลานี้กลับซึมไปด้วยน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ ราวกับว่าอุณหภูมิติดลบหลายองศา
เจียงหุยที่เดิมพูดคุยเสียงเบากับคนด้านข้าง สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวผิดปกติเล็กน้อย เขาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยน
“ขอโทษที พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”เขายังไม่ได้กดวางสาย พลางมองไปยังเจียงหุยด้วยแววตามืดสนิทและใบหน้าราวกับน้ำแข็งค้าง
ก่อนก้มหัวอย่างเป็นมารยาท ไม่ต้องรอให้เจียงหุยถาม เขาก็ถือโทรศัพท์แล้วเดินออกไป ท่าทีและน้ำเสียงดูลนลานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในห้องรับรองพิเศษ เจียงหุยและคนอื่นๆ ต่างมองตากัน
“คือว่านายน้อยเฉิง…” มีคนหนึ่งหันมาถามเจียงหุย
เจียงหุยมองดูร่างอันเยือกเย็นที่เลือนหายไปในสายตา พลางส่ายหัวหรี่ตา
แม้พวกเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน แต่เพราะเรื่องของอายุ เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจเฉิงเจวี้ยนนัก เพียงได้ยินคนพูดถึงเรื่องท่านชายแห่งบ้านสกุลท่านนั้นอยู่บ่อยๆ
เฉิงเจวี้ยนคนนี้มีชื่อเสียงนอกเมืองหลวง คนวงในต่างเรียกเขาอย่างเคารพเป็นเสียงเดียวกันว่านายท่านเฉิง คนที่ได้เจอเขาตัวเป็นๆ นับว่าน้อยมาก
คนวงในต่างประเมินว่าเขาคือคน “ขี้เกียจ” คนหนึ่ง มีข่าวลือไม่น้อยในเมืองหลวงว่าเขาเป็นคนไม่เอาการเอางาน ทว่ามีเพียงน้อยคนรู้ว่าเฉิงเจวี้ยนผู้นี้เป็นพวกเสือซ่อนเล็บ ต่อหน้าคนมากมายก็สามารถรับมือได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
เจียงหุยประคองถ้วยชา สายตามองลงมาด้วยความสงสัย แต่แทบไม่เคยเห็นว่าเขามีอารมณ์เปลี่ยนไปขนาดนี้เลย…
ก็ไม่ใช่ไม่เคยเห็นหรอก…
นิ้วมือของเจียงหุยเคาะอยู่บนขอบถ้วย ทันใดนั้นในหัวก็คิดถึงคนผู้นั้นแวบหนึ่ง
**
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิง
เฉิงมู่ขับรถตรงมายังที่แห่งนี้
ระหว่างทาง เฉิงเจวี้ยนได้โทรหาทางโรงพยาบาล
เมื่อเฉิงมู่พาฉินหร่านมาถึงโรงพยาบาล ก็มีหมอกลุ่มหนึ่งออกมายืนรับอยู่ด้านนอกแล้ว
โรงพยาบาลชั้นที่28คือชั้นที่เฉิงเจวี้ยนใช้เงินติดตั้งสายการผลิตใหม่อีกครั้ง ทำให้ในโรงพยาบาลต่างมีอุปกรณ์ครบครัน
แพทย์ที่ดูแลครั้งนี้จึงไม่ได้พาฉินหร่านไปเบียดเสียดกับผู้ป่วยคนอื่น ก่อนตรงไปยังชั้น28 เดินพลางพูดไปว่า “ไปตรวจเช็กร่างกายก่อน นายท่านกำลังรีบตามมา”
เนื่องจากรู้ว่าคนไข้ฉินหร่านคนนี้เป็นคนสำคัญยิ่ง หน้าผากและหลังของเขาจึงซึมไปด้วยเหงื่อเย็น
มีแพทย์ดูแลและพยาบาลหลายคนเดินเข้าไป
ส่วนเฉิงมู่และหลินซือหรานรออยู่ด้านนอก
ด้านนอกมีเก้าอี้น้ำเงินวางอยู่แถวหนึ่ง ทว่าทั้งสองคนไม่ได้นั่งลง หลินซือหรานยืนพิงผนัง แม้มีแอร์เปิดอยู่ตลอดทาง แต่หน้าผากของเธอกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เส้นผมเหนียวเหนอะหนะบนหน้าผากกระจัดกระจายเต็มหน้า
“มือซ้ายของหรานหร่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”ตั้งแต่เกิดเรื่องรถบรรทุกจนถึงตอนนี้ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอยังคงไม่ได้สติครบถ้วน
เฉิงมู่ส่ายหัว ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
ห้านาทีผ่านไป ประตูห้องตรวจร่างกายเปิดออก เจ้าหน้าที่แพทย์เดินออกมาจากด้านใน ช่วงเวลานี้เองเห็นได้ชัดว่ารอบตัวเงียบสงบลง
“กระดูกมือซ้ายหัก มีรอยขีดข่วนบางส่วน บริเวณน่องมีบาดแผล ส่วนเรื่องอื่นไม่มีอะไรเป็นภัยต่อชีวิตคนไข้ครับ” พูดจบ แพทย์ผู้ดูแลก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เฉิงมู่รู้สึกอกสั่นขวัญผวาในใจ เนื่องจากคำพูดของหมอ ทำให้อารมณ์ดำดิ่งลง
กระดูกหัก…
พูดให้ถูกคือต้องใช้เวลาอีกสี่อาทิตย์ถึงกลับมาดีขึ้น
ทว่าอีกสองวันคือวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว…
เฉิงเจวี้ยนยังคงรีบวิ่งตามมา ในมือของเฉิงมู่ยังถือโทรศัพท์ไว้ เฉิงเจวี้ยนกำลังรอโทรศัพท์จากเขา แต่เวลานี้ เขาไม่รู้เลยว่าควรพูดอย่างไร
ชั้น28 ลิฟต์หยุดลง เมื่อประตูเปิดออก ร่างเย็นชาสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งเดินออกมา
เฉิงเจวี้ยนทำงานในโรงพยาบาลเคยผ่าตัดให้คนไข้มานับไม่ถ้วน
หมอที่อยู่ด้านนอกล้วนรู้จักเขา ในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เป็นเขาที่ทำการผ่าตัด ผู้ที่รับผิดชอบการตรวจร่างกายให้ฉินหร่านย่อมเป็นเขาเช่นกัน
เฉิงเจวี้ยนเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด ไม่ว่าการผ่าตัดจะเจอกับเรื่องอะไร เขาก็ทำอย่างไม่รีบร้อน หัวคิ้วไม่เคยเลิกขึ้นสักครั้ง
แต่มาครั้งนี้ ผู้ดูแลเห็นท่าทางและหน้าตาอันประณีตกำลังอดทนอดกลั้น เต็มไปด้วยอารมณ์และความโหดเหี้ยม
“นายท่านเจวี้ยน คุณหนูฉินยังคงตรวจร่างกายอยู่ข้างในครับ หมอบอกว่ากระดูกของเธอหัก…”เฉิงมู่พูดขึ้น
เฉิงเจวี้ยนมองประตูที่กำลังเปิดออก ไม่ได้รีบเข้าไปในทันที พลางยื่นมือปลดกระดุมเม็ดหนึ่งที่ปกเสื้อ
ขณะนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นผู้บัญชาการเฉียน มุมปากของเขาโค้งขึ้นราวกับว่ารอยยิ้มมีเลือดเจือปนอยู่ พลางตอบเบาๆ “คนลงมือล่ะ? ไม่ได้พามันมาด้วยหรือ?”