ตอนไม่รู้ก็ยังดี แต่เมื่อได้รู้เรื่องของฉินหร่านนี้แล้ว พ่อบ้านเฉิงก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
ณ บ้านตระกูลเฉิงในเมืองหลวง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองสามที แล้วก็ถูกรับสาย
ผู้รับสายคือคนใช้บ้านตระกูลเฉิง
“นายท่านอยู่ไหม” พ่อบ้านเฉิงนั่งอย่างภูมิฐานบนโซฟา น้ำเสียงเคร่งขรึม
อีกฝั่งหนึ่งตอบมาว่า “รอสักครู่ค่ะ” แล้วก็ไปตามนายท่านเฉิง
“พ่อบ้านเฉิง” นายท่านตระกูลเฉิงอีกฝั่งหนึ่งรีบรับสายแล้วพูดขึ้นทันทีว่า “พวกนายจะกลับเมืองหลวงกันเมื่อไหร่”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงตกใจน้ำเสียงของปลายสายไปชั่วครู่ จากนั้นก็ปรับสีหน้ากลับคืนสู่ปกติ “อาจจะต้องรอหลังจากวันที่ยี่สิบสามก่อนครับ วันนั้นประกาศผลคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยังมีเรื่องจุกจิก คิดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นเดือนเจ็ดครับ”
“ต้นเดือนเจ็ด…” นายท่านตระกูลเฉิงหรี่ตา
นั่นยังเหลืออีกตั้งครึ่งเดือน
ปลายนิ้วของเขาเคาะลงบนโต๊ะ สักครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นว่า “ทิวทัศน์เมืองอวิ๋นเฉิงตอนนี้สวยไหม”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงตามไม่ทัน “คุณพูดว่าอะไรนะครับ”
“น่าจะสวยสินะ ได้ยินว่าที่นั่นมีโบราณสถานขึ้นชื่ออยู่หลายที่เลย” นายท่านตระกูลเฉิงพูดเองตอบเอง “ไว้ฉันจะไปชมทิวทัศน์ที่เมืองอวิ๋นเฉิงสักหน่อยแล้วกัน”
เขาสรุปทุกอย่างเองโดยไม่ได้ใส่ใจปฏิกิริยาของพ่อบ้านตระกูลเฉิง แล้วก็วางสายไปเสียเฉยๆ
พ่อบ้านตระกูลเฉิงถูกนายท่านทำให้อึ้งงันด้วยคำพูดที่บอกว่าจะมาเที่ยวที่เมืองอวิ๋นเฉิง ลืมไปเลยว่าตัวเองโทรศัพท์หานายท่านมาบอกเรื่องคะแนนของฉินหร่าน
เขาวางสายโทรศัพท์ นั่งครุ่นคิดอย่างละเอียดบนโซฟา
สักพักใหญ่ เขาจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังบันได มุมปากเผยออย่างอดไม่ได้…
นายท่านเฉิงคงไม่ใช่จะมาดูคุณหนูฉินหรอกนะ
ชมทิวทัศน์งั้นหรอ…
ถึงแม้ว่าอวิ๋นเฉิงจะมีโบราณสถานอยู่บ้างสองสามที่ แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วก็ยังไม่ได้รับการพัฒนา จะเทียบกับเมืองหลวงได้อย่างไร
ที่สำคัญก็คือ สุขภาพนายท่านเฉิงไม่ค่อยจะสู้ดีมาตั้งนานแล้ว หลายสิบปีมานี้ก็ไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยสักครั้ง
พ่อบ้านกำลังครุ่นคิด ตอนนั้นเองเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งก็กลับมาจากข้างนอก
“นายน้อย” พ่อบ้านเฉิงรีบลุกขึ้นยืน
เฉิงเจวี้ยนยื่นมือไปปลดเสื้อนอกออก ด้านในสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ เขาค่อยๆ ดึงออก รับน้ำชามาจากมือพ่อบ้าน แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา
ลู่จ้าวอิ่งนั่งตรงข้ามเขา มองไปบนบันไดอย่างระวัง จากนั้นก็มองไปยังพ่อบ้าน “ฉินหร่านยังไม่ลงมาตั้งแต่สอบเลยหรอ”
หากเป็นเมื่อก่อน พ่อบ้านเฉิงคงไม่เข้าใจว่าทำไมลู่จ้าวอิ่งถึงได้มีท่าทีระแวดระวังขณะนี้
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นบ้าง อารมณ์เองก็ไม่ค่อยจะสงบนัก
เขาพยักหน้าให้ลู่จ้าวอิ่งเบาๆ คิดกับตัวเองว่าฉินหร่านขึ้นไปชั้นบนคงเป็นเพราะเสียใจอย่างมาก
“นายน้อย ยังมีอีกเรื่องครับ” พ่อบ้านสกุลเฉิงนึกคำพูดที่นายท่านเฉิงเพิ่งพูดขึ้นมาได้ ก็รีบเอ่ยขึ้นมา “นายท่านบอกว่าอีกไม่นานจะมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง”
พ่อบ้านเฉิงเป็นห่วงปัญหาสุขภาพของนายท่านเฉิง จึงได้บอกเรื่องนี้กับเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนยื่นมือไปดึงแขนเสื้อ คิ้วขมวดมุ่น “เขาจะมาทำอะไรที่อวิ๋นเฉิง”
เล่นไพ่นกกระจอกกับตาเฒ่าสวีหรือ
พ่อบ้านเฉิงไม่กล้าที่จะบอกว่านายท่านน่าจะมาดูคุณหนูฉิน ได้แต่ก้มหน้าอยู่เงียบๆ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาระหว่างพวกเขา
**
ที่ชั้นบน ฉินหร่านยังไม่รู้ตัวว่ามีนายท่านผู้หนึ่งต้องการมาพบเธอ
เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ และกำลังเปิดเครื่อง
วิดีโอเด้งขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่สงบนิ่งและเย็นชาดวงหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นคือเพื่อนบ้านของเธอ ลู่จือสิง
งานเลี้ยงของห้องเก้าวันนี้ หากเป็นไปได้ ฉินหร่านเองก็ยังอยากอยู่รวมกับทุกคน
ทว่าเธอยังมีเรื่องที่ต้องจัดการที่อวิ๋นกวงกรุ๊ป
จึงต้องกลับออกมาก่อน
“คุณลุงลู่” ฉินหร่านพูดขึ้น มองไปด้านหลังเขา จากนั้นก็เลิกคิ้ว “อยู่ที่เมืองหลวงหรือคะ”
“อืม” ลู่จือสิงคลายมือที่วางพาดอยู่บนคีย์บอร์ด “ซีรีส์ EA ฉันต้องมาดูเองถึงจะวางใจ ประกาศเปิดตัวปลายเดือนแล้ว สอบวันนี้เธอทำได้ดีไหม เมื่อไหร่จะกลับเมืองหลวง”
“อีกสักพักค่ะ กรอกใบเอกสารเถอะ” มือขวาฉินหร่านหยิบกระเป๋าดำของเธอมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งดึงซิป
ลู่จือสิงพยักหน้า ทันใดนั้นมองเห็นมือของเธอก็อดหน้านิ่วไม่ได้ “มือเธอ เกิดอะไรขึ้น”
“คนไม่ดีเล่นสกปรก” ฉินหร่านมองไปที่มือซ้ายหนึ่งทีอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “วางใจเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี” ลู่จือสิงไม่ได้ถามฉินหร่านว่าไปมีเรื่องกับใครมา เธอเองก็ไม่ใช่คนที่ยอมเสียเปรียบใครอยู่แล้ว “มีคนไม่น้อยที่กำลังตรวจสอบเธอ งานแถลงประกาศครั้งนี้จะมีชื่อเธอไหม”
“ไม่ละ น่ารำคาญ ปล่อยไปตามปกติแล้วกัน” ฉินหร่านหรี่ตา หยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายสีดำ
ลู่จือสิงเองก็เห็นด้วยเช่นนั้น เขามองไปยังเอกสารชุดนั้นที่ฉินหร่านเอาออกมา แล้วก็ลุกขึ้นไปยกแก้วน้ำชามา จิบหนึ่งคำก่อนถามว่า “ยังไม่ได้ลงชื่อหรือ”
“ยังค่ะ” ฉินหร่านคว้าปากกามาหนึ่งแท่ง แล้วเขียนอักษรลงไปสองสามตัวบนหน้าแรก “สักครู่หนูจะให้คนส่งไปที่เมืองหลวง คุณรอตรวจรับด้วย”
“ได้” ลู่จือสิงวางแก้วชาลง แล้วปรึกษาฉินหร่านเกี่ยวกับปัญหาการจัดลำดับสองสามเรื่อง
ในตอนที่จะวางสาย ลู่จือสิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเรียบ “ประธานหยางไม่รู้เรื่องที่เธอบาดเจ็บใช่ไหม”
“น่าจะไม่รู้นะคะ” ฉินหร่านเอนกายกับพนักพิง พูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ข่าวคราวของหนูที่นี่ถูกปิดหมดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ลู่จือสิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ไปเมืองอวิ๋นเฉิง”
ฉินหร่านเปิดพลิกกระดาษไปหน้าที่สอง แล้วลงชื่อต่อ ไม่ได้ตอบกลับคำพูดของลู่จือสิง
เมื่อเห็นฉินหร่านก้มหน้าไม่ได้ใส่ใจเขา ลู่จือสิงก็ส่ายหน้า หลุดเสียงหัวเราะออกมา “เอาละ รอเธอมาที่เมืองหลวง พวกเราค่อยคุยรายละเอียดกัน”
“อืม” ฉินหร่านยื่นมือออกไปแล้วปิดวิดีโอลงช้าๆ
หยิบปากกาขึ้นลงชื่ออีกครั้ง โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอแสดงชื่อของฉินฮั่นชิว
ฉินหร่านวางปากกาลงอีกด้านหนึ่ง แล้วรับสาย
ปลายเสียงอีกฝั่งคือฉินหลิง
“พี่ วันนี้สอบเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเล็กและเบาแว่วผ่านโทรศัพท์
ก่อนการสอบฉินหลิงก็โทรหาเธอสองครั้ง
ฉินหร่านเอนกายพิงเก้าอี้ เลิกคิ้วสูง ได้ยินอีกฝั่งไม่ใช่ฉินฮั่นชิว เสียงของเธอก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย “ก็ยังดี”
“ถ้าอย่างนั้นวันหยุดฤดูร้อนของฉัน ก็ไปหาพี่ได้น่ะสิ” น้ำเสียงของฉินหลิงเจือด้วยความระวัง
ฉินหร่านส่งเสียงออกมาหนึ่งคำว่า “อ่า” แต่ก็ไม่ได้ตอบทันที
อีกด้านหนึ่งของสาย เสียงลมหายใจฉินหลิงดูเหมือนหนักขึ้น
“เธอไม่ต้องมาเมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว ฉันอาจจะไปหาเธอสักครั้ง” ฉินหร่านครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เธอพูดกับฉินหลิงเสร็จแล้ววางสาย จากนั้นก็โยนโทรศัพท์มือถือไปอีกด้าน
หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วลงชื่อในหน้าสุดท้าย
ลายมือหวัด ลายเส้นดูพลิ้วไหว
หากมีคนอยู่ที่นี่เวลานี้
คงอ่านออกอย่างแน่นอน…
ตัวอักษรที่หวัดพลิ้วสองสามตัวนั้นคือคำว่า poppy!
เมื่อลงชื่อเสร็จ เธอก็เก็บเอกสารลงในซองเอกสาร จากนั้นก็เดินลงไปหาพ่อบ้านเฉิง
“ส่งไปที่เมืองหลวงหรือครับ” พ่อบ้านเฉิงมองไปยังซองเอกสาร แล้วพยักหน้ารับ
ท่าทีของเขาที่มีต่อฉินหร่านในเวลานี้นับว่าดีกว่าเฉิงเจวี้ยนมาก
ฉินหร่านรู้สึกไม่ค่อยชินอยู่บ้าง เธอกระแอมหนึ่งที จากนั้นก็บอกที่อยู่ออกไป “คุณส่งไปที่นั่นก็พอ”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้ครับคุณหนูฉิน ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว” ฉินหร่านใช้มือขวากดไปขมับ
รอจนพ่อบ้านเฉิงออกไปช่วยเธอดำเนินการเรื่องส่งเอกสารแล้ว เธอจึงก้มหน้าลง แล้วถามเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ด้านข้างว่า “พ่อบ้านเขาไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉิงเจวี้ยนมองไปที่มือซ้ายของเธอ เมื่อแน่ใจว่าวันนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โต น้ำเสียงก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อารมณ์แปรปรวนนิดหน่อย ลงมาสิ”
ฉินหร่านหรี่ตา “จริงหรอ”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงที่เดินออกไปด้านนอกแล้วจามขึ้นมาหนึ่งที ก่อนถูจมูกเบาๆ
จากนั้นก็เรียกเด็กส่งของในคฤหาสน์มาหนึ่งคน พูดขึ้นเบาๆ สองสามประโยค ให้เขาไปส่งเอกสารให้ฉินหร่าน
“ ศูนย์การเงินของเมืองหลวงหรือ” เด็กส่งของมองไปยังที่อยู่ผู้รับแล้วนิ่งไป “นี่ท่านช่วยนายน้อยส่งของหรือ”
พ่อบ้านตระกูลเฉิงชะงัก เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าที่อยู่ที่ฉินหร่านให้กับเขาเป็นที่อยู่ของศูนย์การเงิน “เปล่านะ นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูฉินส่ง”
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูฉิน เด็กส่งของจึงพยักหน้ารับ ไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ ตรงออกประตูไป
แต่เป็นพ่อบ้านที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองไปด้านหลัง ตั้งใจมองไปยังห้องของฉินหร่านที่ชั้นสอง
ขมวดคิ้วเล็กน้อย คุณหนูฉินส่งอะไรให้กับศูนย์การเงิน เธอรู้จักคนที่นั่นด้วยหรือ
**
อีกด้านหนึ่ง ฉินหลิงวางสาย
เขากำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ดวงตาทั้งคู่ในเวลานี้เป็นประกาย
“เสี่ยวหลิง เธอโทรศัพท์หาพี่ฉินอวี่หรือ เขาจะมาเมื่อไหร่” คุณแม่ฉินกำลังเก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะ มองไปยังฉินหลิง
ฉินหลิงเม้มปาก ตอบรับน้ำเสียงคลุมเครือ
เขาอายุยังเล็ก แต่ก็รู้ดีว่าแม่ของเขาไม่ชอบที่จะให้พ่อไปพาฉินหร่านกลับมา
เขายื่นโทรศัพท์มือถือให้กับฉินฮั่นชิว แล้วก็กลับไปเขียนการบ้านที่ห้องของตัวเอง
“เด็กคนนี้นี่” คุณแม่ฉินขมวดคิ้ว มองไปยังฉินฮั่นชิวที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง “ฉันจำได้ว่าลูกสาว 2 คนของคุณกับหลานของฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกัน ไม่รู้ว่าปีนี้สอบเป็นอย่างไรบ้าง…”
ฉินฮั่นชิวนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ อยู่อีกด้าน รับโทรศัพท์มาดูก็รู้ว่าฉินหลิงโทรศัพท์หาฉินหร่าน พลางรู้สึกกังวลว่าฉินหร่านสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง
**
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันที่ยี่สิบสามเดือนหกก็มาถึงในพริบตา นักเรียนที่เข้าสอบทั้งเมืองต่างพากันตื่นเต้นเป็นพิเศษ
เพราะว่าวันนี้ ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกแล้ว