“เพื่อนเหรอ” เฉิงเวินหรูยิ้มเจื่อนพลางมองมาที่เขา “เพื่อนแบบไหนกัน ให้ฉันเจอด้วยได้ไหม?”
“ดูสถานการณ์ก่อน” เฉิงเจวี้ยนสบตาอย่างไม่คิดอะไร
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนมาถึงบ้านใหญ่
นายท่านเฉิงกับเฉิงเหราฮั่นนั่งรออยู่ที่โต๊ะทานข้าว สีหน้าของเฉิงเหราฮั่นมืดลง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจท่าทีของเฉิงเจวี้ยนอย่างเต็มอก
พ่อบ้านเฉิงยืนอยู่ข้างโต๊ะทานข้าว พลางยิ้มเล็กน้อยมองไปยังเฉิงเจวี้ยนและเฉิงเวินหรู ทั้งหันไปมองด้านหลังของทั้งสองแวบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นใคร รอยยิ้มบนหน้าของเขาแทบจางหายไป ก่อนเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ “คุณหนูใหญ่ นายน้อยสาม”
เห็นได้ชัดว่าเฉิงเจวี้ยนคุ้นเคยกับนิสัยแบบนี้แล้ว จึงลากเก้าอี้นั่งลงทำเป็นไม่สนใจ “พ่อครับ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
เฉิงเหราฮั่นพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “น้องสาม แกช่วยกลับมาทำเรื่องที่มันจริงจังหน่อยได้ไหม? อย่ามัวแต่พึ่งพาที่บ้านไปตลอดชีวิต…”
“พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ?” หลังจากรอให้เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรูนั่งลง นายท่านเฉิงจึงหยิบตะเกียบขึ้นแล้วพูดตัดบทเฉิงเหราฮั่น
สีหน้าของเฉิงเหราฮั่นยิ่งแย่ลงไปใหญ่
เฉิงเวินหรูยกมือคีบปลาชิ้นหนึ่ง ก่อนเงยหน้า “พูดถึงเรื่องแม่สาวน้อยคนนั้นน่ะค่ะ พรุ่งนี้เพื่อนของเธอจะมาหา น้องสามบอกว่าเธอเป็นคนจิตใจดี”
“เพื่อนเหรอ?” นายท่านเฉิงถามประโยคหนึ่ง
“เพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนม.ปลายก็สมัครเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงเหมือนกันครับ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างกระชับได้ใจความ
นายท่านเฉิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เฉิงเวินหรูมองเฉิงเหราฮั่นแวบหนึ่ง พลางยิ้ม “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้คะ พรุ่งนี้พวกเราจะไปกินข้าวด้วยกัน พี่จะไปด้วยไหมคะ”
“ไม่ละ” เฉิงเหราฮั่นมองเธอปราดหนึ่ง ตอบปฏิเสธอย่างเย็นชา “พี่มีธุระอื่น”
เฉิงเวินหรูรู้ว่าเฉิงเหราฮั่นมีนัดกับโอวหยางเวยในวันพรุ่งนี้ จึงเพียงยิ้มไม่ได้เผยพิรุธอะไร
ถ้าหากสามารถหาดอกไม้จีนเจอได้ ไม่เพียงคลี่คลายปัญหาใหญ่ของนายท่านเฉิง บางทีอาจสามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับปัญหาความร่วมมือในเมืองหลวงได้
ขอแค่เฉิงเหราฮั่นมีโอกาส ไม่มีวันปล่อยไปอย่างแน่นอน
“น้องสามมีแฟนแล้วจริงๆ เหรอ? แล้วเมื่อไหร่จะพารุ่นน้องมาเปิดตัวล่ะ?” พี่สะใภ้เองก็มาจากตระกูลผู้ดี เธอมีรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่ากลับมองเห็นริ้วรอยเล็กน้อยบนใบหน้า ไม่เทียบเท่ากับเฉิงเวินหรูที่ดูแลอย่างดี
เมื่อคนอื่นบนโต๊ะอาหารได้ยินดังนั้น ก็ต่างหูผึ่งเพื่อรอฟังคำตอบจากเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนที่กำลังกินข้าวอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าคำพูดไหนทำให้เขาโดนใจ จนเขาถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาเองครับ ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี รอผ่านช่วงนี้ไปก่อน รอเวลาที่เหมาะสมแล้วผมค่อยพาเธอมา หวังว่าถึงตอนนั้นทุกคนคงไม่รังแกเธอนะครับ”
เมื่อเขาพูดออกมา มือของนายท่านเฉิงก็หยุดชะงักไป ก่อนเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่งทันที โกหกหน้าตายขนาดนี้เชียว?
เฉิงเจวี้ยนตอบกลับเขาอย่างใจเย็น “พ่อครับ พ่อมองผมทำไมครับ?”
นายท่านเฉิงไม่อยากยุ่งกับเขาอีก
สกุลเฉิงคนอื่นบนโต๊ะอาหารไม่มีใครคาดคิดถึงท่าทางของทั้งสองคน เพียงได้แต่มองหน้ากัน และนึกถึงข่าวลือที่ก่อนหน้านี้พูดถึงอยู่ช่วงหนึ่ง คลับคล้ายว่าแม่สาวน้อยที่อยู่ข้างกายเฉิงเจวี้ยนเป็นคนจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อทำเรื่องของมหาวิทยาลัยให้แฟนสาวเฉิงเจวี้ยน สกุลเฉิงถึงกับทุ่มเทค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย…
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ เฉิงเจวี้ยนและเฉิงเวินหรูนั่งคุยอยู่กับนายท่านอยู่ครู่หนึ่ง
นายท่านพักอยู่ในบ้านใหญ่ของคฤหาสน์
ด้านในมีกลิ่นเผาไหม้ของดอกไม้จันทน์ที่ให้ความผ่อนคลาย ฟุ้งกระจายบนพรมหนา บนโต๊ะวางประดับด้วยขวดแก้วขวดหนึ่ง ด้านในมีหญ้าสีเขียวกิ่งหนึ่ง
ทว่าดูไม่มีชีวิตชีวา ใบไม้ก็ดูแห้งเหี่ยวตามกัน
ทำให้ใบหน้าของเฉิงเวินหรูพลันเคร่งเครียด
เฉิงเจวี้ยนอยู่ที่บ้านสกุลเฉิงชั่วโมงหนึ่ง ก่อนออกไปพร้อมเฉิงเวินหรู
**
ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องรับรองพิเศษฝั่งตะวันออก เมื่อเฉิงเหราฮั่นกินข้าวเสร็จก็กลับห้อง
ไม่นานก็มีชายชุดสูทดำคนหนึ่งเคาะประตูอย่างมีมารยาทก่อนเดินเข้ามา
“ว่าไงบ้าง?” เฉิงเหราฮั่นนั่งดื่มชาอยู่อีกฝั่ง เมื่อเห็นชายคนนั้น ในมือที่ถือแก้วชาอยู่ก็วางแก้วชาลงโต๊ะดัง “ปัก” ก่อนถามขึ้น
“คุณหนูโอวหยางนัดเวลาไว้เรียบแล้วครับ เป็นพรุ่งนี้หกโมงตอนเย็น” ผู้ชายคนนั้นโค้งตัวลงตอบ
“ดี พรุ่งนี้หกโมงเย็นสินะ” เฉิงเหราฮั่นยืนขึ้น ไขว้มือไว้ด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด “นายช่วยฉันเตรียมของขวัญไว้สักชิ้นด้วย”
พรุ่งนี้เขานัดกับโอวหยางเวยเพื่อคุยรายละเอียด ประเด็นหลักคือเรื่องดอกไม้จีน
เป็นครั้งแรกที่คนวงในได้เจอกับคนจากสโมสรหน่วยสืบสวน129 แน่นอนว่าคนทั่วไปไม่เคยได้ยินเรื่องหน่วยสืบสวน129 ทว่าในความคิดพวกตระกูลเก่าแก่ในเมืองหลวงกลับรู้อย่างแจ่มแจ้ง
ไม่เพียงหน่วยสืบสวน129จะปะปนอยู่ในเมืองหลวง ข้อมูลน้อยใหญ่ระดับนานาชาติล้วนเคยผ่านตามาก่อน
ตำรวจอาญากรรมระหว่างประเทศสามารถหาตัวหน่วยสืบสวน129ได้
มีคนเคยบอกว่า ใครที่สามารถจัดการกับหน่วยสืบ129ได้สำเร็จ ก็เทียบเท่ากับมีอำนาจควบคุมเมืองหลวงได้ครึ่งหนึ่ง
มีตัวล่อแบบนี้อยู่
ทำให้ยิ่งอยากรู้พลังอำนาจอันล้นหลามของตระกูลโอวหยางเวย สามารถนัดกับโอวหยางเวยได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากภายภาคหน้าอยากสืบหาข้อมูลต่างๆ ก็ยิ่งสะดวกมากขึ้น แน่นอนว่าในเวลานี้เฉิงเหราฮั่นไม่อาจเก็บเรื่องเฉิงเจวี้ยนมาคิดได้
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฉิงเจวี้ยนไม่นับว่าดีนัก ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องแฟนของเฉิงเจวี้ยนและเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายของเธอ
เพราะพรุ่งนี้มีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
**
คอนโดถิงหลาน
หลังจากฉินหร่านกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปซ้อมไวโอลิน
อาจารย์เว่ยให้แผนตารางเป้าหมายของสองเดือนนี้แก่ฉินหร่าน มีตั้งแต่หนังสือประเภทต่างๆ ไปจนถึงบทเพลงที่ใช้ฝึกซ้อม
เขาทำตามแบบแผนของรัฐ M หนังสือหนึ่งเล่มอ่านสามวัน เบ็ดเสร็จแล้วให้ฉินหร่านแบ่งหนังสือออกเป็นยี่สิบเล่ม บทเพลงที่ใช้ซ้อมยี่สิบเพลง
สำหรับคนทั่วไปแล้วเป็นเรื่องยากมากที่สามารถอ่านหนังสือยี่สิบเล่มภายในสองเดือน ทั้งสามารถนำเนื้อหาในหนังสือมาฝึกซ้อมกับเพลงทั้งสิบเพลงจนเกิดความชำนาญได้
ฉินหร่านลากเก้าอี้แล้วนั่งลง หยิบหนังสือสามเล่มในกระเป๋าเป้สีดำขึ้นมา
ขณะหยิบออกมา โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น เป็นหลินซือหรานคอลวิดีโอมา
ฉินหร่านเปิดวิดีโอ นำโทรศัพท์วางพิงกับแก้วชาด้านบน มืออีกข้างวางหนังสือลงบนโต๊ะ
เนื่องจากเป็นช่วงเย็น ภาพของหลินซือหรานที่อยู่ฝั่งนั้นมืดเล็กน้อย แต่มองออกว่าอยู่ในรถ ขณะที่ไฟเปิดอยู่ทางที่นั่งด้านหลัง “หรานหร่าน พวกเราจะไปถึงพรุ่งนี้นะ”
“ได้” ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ พลางวางเท้าสบายๆ “เดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ให้เธอ”
“กลุ่มของเฉียวเซิงจะรอให้เปิดเทอมก่อนค่อยมา” หลินซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปาก “ดูเหมือนว่าเดือนหน้าจะต้องอยู่รอคุณอาของเขาด้วย ไม่รู้ว่าจะมาได้เมื่อไหร่”
สองวันมานี้ฉินหร่านยุ่งทั้งวัน จึงไม่ได้ติดต่อกับพวกของเฉียวเซิงเลย เมื่อได้ยินหลินซือหรานพูดเช่นนี้ ก็นึกถึงสกุลเจียงที่พักร้อนในเมืองหลวงขึ้นมาได้
“จริงสิ โรงเรียนเหิงชวนเปลี่ยนอาจารย์ใหญ่แล้วนะ” หลินซือหรานพูดอย่างตื่นเต้น “เหมือนเป็นเพราะปีนี้พวกเรานักเรียนเหิงชวนสอบได้ดีเกินคาด อาจารย์ใหญ่เลยได้เลื่อนตำแหน่ง!”
พูดถึงเรื่องสอบ เห็นได้ชัดว่าหลินซือหรานของเธอก็มีส่วนช่วยในการเลื่อนตำแหน่งและอำนาจของอาจารย์ใหญ่ส่วนหนึ่ง
ฉินหร่าน “…”
ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่คำ หลินซือหรานรู้ว่าช่วงนี้ฉินหร่านต้องซ้อมไวโอลิน จึงไม่รบกวนเธออีก ใช้เวลาไม่นานก็วางสายไป
เพราะต้องพามี่มี่ไปด้วย บ้านสกุลหลินจึงไม่ได้นั่งเครื่องบิน แต่ขับรถมาเมืองหลวงแทน
คุณพ่อหลินที่กำลังขับรถมองกระจกหลังพลางยิ้ม “พรุ่งนี้ก็ขอบคุณเพื่อนร่วมชั้นของลูกดีๆ ละ”
“มี่มี่กินดอกไม้จีนจนหมดแล้ว” คุณแม่หลินนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับกล่าวอย่างอมทุกข์ “เอาเป็นว่าขอบคุณครั้งนี้น่าจะพอแล้ว คุณหลินคะพวกเรายังเหลืออีกกี่ขวด?”
“มีขวดหนึ่งต้องเก็บไว้ ที่เหลือก็ถือว่าเยอะอยู่ มีดอกไม้กระถางหนึ่งแล้วก็เหลืออีกห้าขวดได้มั้ง?” คุณพ่อหลินคำนวณครู่หนึ่ง
เกรดของหลินซือหรานก่อนหน้านี้ไม่อาจพูดได้ว่าดีอย่างเต็มปาก เมื่อเทียบกับห้องเก้าก็ถือว่าไม่เลวนัก ทว่าพูดตามตรงก็ไม่มีความสามารถพอที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ด้วยตัวเอง
การสอบครั้งนี้ออกมาดีได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฉินหร่าน
คนในสกุลหลินเองก็รู้ดีว่าลูกสาวของตัวเองเป็นคนไม่เอาไหน สามารถมีพัฒนาการที่ดีขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าเรื่องหญ้าเพียงไม่กี่ต้นก็ไม่สามารถเทียบได้
เมื่อรู้ว่าหลินซือหรานส่งหญ้าขวดหนึ่งให้เป็นของขวัญเรียนจบ ทุกคนในบ้านสกุลหลินก็ถึงกับผลัดกันมองหลินซือหรานอยู่หลายวัน
หลินซือหรานให้มี่มี่หันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิด
แต่ไม่คิดว่ามี่มี่จะใช้โอกาสนี้ขโมยกินใบหญ้าอีก
เพราะของขวัญชิ้นนี้ทำให้คนในสกุลหลินต่างหนักอกหนักใจอย่างมาก
**
ในวันนี้
เวลาห้าโมงเย็น ในที่สุดเฉิงเวินหรูที่นั่งอยู่ในห้องทำงานก็ได้รับข้อความจากเฉิงเจวี้ยน
แต่ไหนแต่ไรมาเฉิงเจวี้ยนส่งวีแชทมาให้ด้วยประโยคที่สั้นกระชับ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นชื่อของร้านอาหารแห่งหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีแล้ว
ทว่าเฉิงเวินหรูย่อมรู้ความหมายดี เธอวางปากกาเซ็นชื่อในมือลง ก่อนยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เลขาหลี่ที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้น “คุณหนูใหญ่ครับ?”
“เลิกงาน” เฉิงเวินหรูถือโทรศัพท์ สั่งการอย่างรวดเร็ว “อ้อ จริงสิ พวกเขาส่งของขวัญมาให้รึยัง?”
เมื่อวานเวลาหลี่กลับมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่พร้อมเฉิงเวินหรู ย่อมรู้ว่าวันนี้เฉิงเวินหรูจะไปหาฉินหร่านแน่นอน เขาพยักหน้า “อยู่ในห้องนั่งเล่นครับ เดี๋ยวผมไปเอา”
เขาไปห้องนั่งเล่นเพื่อหยิบกล่องของขวัญที่ห่ออย่างประณีตกล่องหนึ่ง แล้วเดินตามเฉิงเวินหรูไปที่รถ
เฉิงเวินหรูเป็นผู้หญิงแกร่งมาโดยตลอด บริษัทแห่งนี้ไม่ได้เป็นของสกุลเฉิง แต่เป็นบริษัทที่ก่อนหน้านี้ร่วมก่อตั้งกับเฉิงเจวี้ยน ภายหลังเฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ เธอจึงดูแลบริษัทจนเจริญรุ่งเรืองด้วยตัวคนเดียว
หนึ่งปีกับอีกสามร้อยวันล้วนทำงานล่วงเวลา
ตอนนี้เลิกงานก่อนเวลา คนในบริษัทต่างไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายจึงได้แต่มองหน้ากัน
“เลขาหลี่ คุณว่าเพื่อนตัวน้อยคนนั้นจะเป็นคนยังไง?” เฉิงเวินหรูส่งกุญแจรถให้เลขาหลี่ ให้เขาเป็นคนขับรถ พลางกอดอกถาม
“เมื่อวานนายน้อยสามบอกไปแล้วนี่ครับ” เลขาหลี่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง “น่าจะเป็นพวกผู้หญิงว่าง่าย”
ช่วงนี้คนในวงในก็พอมีข่าวเกี่ยวกับฉินหร่านอยู่บ้าง บวกกับที่เฉิงเจวี้ยนพูดไว้เมื่อวานตอนเย็น เพราะสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาส่งผลโดยตรงต่อมนุษย์ เลขาหลี่จึงรู้สึกกังวล หากโชคร้ายหน่อยไม่สามารถเข้ากับเฉิงเวินหรูได้ก็ลำบากแล้ว…