เถียนเซียวเซียวสวมแว่นกันแดดอย่างรู้สึกเคยชิน เธอโบกมือลาพวกฉินหร่านและพูด “เจอกันพรุ่งนี้”
ผู้จัดการของเธอเองก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นกัน ถึงกับต้องมาพูดสักหน่อย
แต่ตระหนักได้ว่าฉินหร่านและวังจือเฟิงยังอยู่ เธอจึงยังไว้หน้าเถียนเซียวเซียวอยู่บ้าง ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
“เธอเป็นเพื่อนของเซียวเซียวสินะ” ผู้จัดการเหลือบมองฉินหร่าน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นช้าลงทันที “มีแผนที่จะเข้าวงการรึเปล่า”
“ไม่” ฉินหร่านหันหน้ามองออกนอกหน้าต่าง แวบเดียวก็มองเห็นรถของเฉิงเจวี้ยนจอดอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม เธอดึงหมวกปีกแหลมลง “ฉันไปละ”
เธอโบกมือลาแบบลวกๆ ไม่แม้แต่หันหน้ากลับมามอง เดินเชื่องช้าออกไปที่ประตู
ผู้จัดการมองตามหลังเธอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ หญิงสาวไม่แม้แต่จะคิดเลยสักนิดถึงได้ปฏิเสธออกมาตามตรง ดูแล้วไม่ได้มีท่าทางลังเลเลยแม้แต่น้อย
ฉินหร่านไปแล้ว วังจือเฟิงก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน บอกลาเถียนเซียวเซียวแล้วจึงกลับบ้านไป
เถียนเซียวเซียวขึ้นรถ baby-sitter ไปกับผู้จัดการ
“ฉันพูดจริงนะ ตอนนี้เธอไม่มีธุระที่ต้องไปต่อรองกับพวกไป๋เทียนเทียนแล้ว” ผู้จัดการของเถียนเซียวเซียวนั่งอยู่ที่เบาะหลังพูดน้ำเสียงจริงจัง “หล่อนเซ็นสัญญากับคุณเจียงแล้ว แค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้เธอที่เป็นหน้าใหม่ถึงกับเลือดตกยางออกได้นะ”
มือสองข้างของเถียนเซียวเซียวกอดอก ตวัดนิ้วเข้าเวยป๋อ เธอยังคงมีแฟนคลับ 1.02 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแอคเคาท์ปลอมที่ผู้จัดการซื้อให้เธอ
เธอตอบ “อือ” ท่าทางหดหู่ “เข้าใจแล้ว พี่เวิน”
เข้าวงการบันเทิง ไม่มีใครไม่อยากมีชื่อเสียง เถียนเซียวเซียวเดบิวต์ในฐานะดาราเด็ก ตอนนี้สิบกว่าปีแล้ว เธอยังคงครองตำแหน่งสาวน้อย N ไว้ได้ ผ่านไปได้ไม่นานตัวตนของเธอก็ได้เงียบลง
ผู้จัดการคนก่อนของเธอสนใจในรูปลักษณ์และศักยภาพของเธอ แต่ต่อมาหลังจากได้พบไป๋เทียนเทียน ก็ได้ยกเลิกสัญญากับเธอ เธอจึงถูกบริษัทส่งตัวมาให้พี่เวิน
เดิมทีพี่เวินเป็นคนพาไป๋เทียนเทียนเข้ามา แต่ก็โชคร้ายเช่นกัน ต่อมาศิลปินที่มีศักยภาพสูงสุดอย่างไป๋เทียนเทียนถูกผู้จัดการคนก่อนของเถียนเซียวเซียวให้ความสนใจ ความโชคร้ายจึงตกมาอยู่ที่เถียนเซียวเซียว
ภายในความโชคดี ในวงการบันเทิงทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครแล้ว
**
ทางฝั่งนี้ ฉินหร่านนั่งอยู่ข้างคนขับ
แล้วเปิดกระเป๋าหยิบชานมแก้วหนึ่งออกมา
“ว่านี้ออกมาถึงก่อนเวลา” เขาเหลือบมองฉินหร่านและถามไถ่
“วันจันทร์ ก็ตามปกติ” ฉินหร่านกัดหลอดดูดดื่มชานมไปหนึ่งอึก หันมองเขา เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า เขาสตาร์ทรถและโทรศัพท์ที่วางอยู่บนรถก็ดังขึ้น
มือข้างหนึ่งวางบนพวงมาลัย มืออีกข้างควานหาโทรศัพท์
ยังไม่ทันได้หยิบ ก็ถูกสองนิ้วของฉินหร่านหนีบล็อกไว้
ฉินหร่านกัดหลอดดูด เหลือบมองเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย “คุณกำลังมองไปที่ไหน”
เฉิงเจวี้ยนหันสายตากลับแล้วนึกได้ คิ้วสื่อถึงความอ่อนโยนผ่อนคลาย “ใช้สองมือขับรถ ไม่ลืม”
“เจียงตงเยี่ย” ฉินหร่านพลิกโทรศัพท์ ทันใดนั้นก็เห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นและกดรับสายทันที
และนึกขึ้นได้ว่าเจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือกำลังอยู่ในเมืองหลวง
หลังจากที่กู้ซีฉือมาที่เมืองหลวง ข่าวลือของเขาก็มีมาน้อยมาก
ฉินหร่านรู้เพียงแค่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่อยู่ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ในเมืองเมืองหลวง ไม่รู้เลยว่ากำลังวิจัยอะไรอยู่
“คุณเจวี้ยน คุณรู้เรื่องการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของอวิ๋นกวงกรุ๊ปบ้างไหม” เจียงตงเยี่ยที่อยู่อีกด้านวางปากกาในมือลง พูดขึ้น
“ไม่รู้” ฉินหร่านพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าไร้อารมณ์
เจียงตงเยี่ย “…คุณหนูฉิน”
ฉินหร่านตอบ “อือ” เปิดลำโพง “พูดสิ”
เจียงตงเยี่ยไม่ได้พูดอะไรนอกจากเรื่องของหุ่นยนต์ EA และระบบอัจฉริยะของอวิ๋นกวงกรุ๊ป เพิ่งมีการจัดงานแถลงข่าวขึ้นเมื่อวาน วันนี้ขึ้นไปอยู่ในรายการค้นหายอดนิยมของเวยป๋อแล้ว
สำนักงานใหญ่ของอวิ๋นกวงกรุ๊ปตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางคลังการเงินในเมืองหลวง ราวกับมีแผนการที่จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่
กองกำลังจำนวนมากต่างก็มีการส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดของอวิ๋นกวงกรุ๊ป พบว่านี่คือยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ใน 5 อันดับแรกของเอเชีย ถึงอย่างไรจนกระทั่งวันนี้ก็ไม่มีตระกูลไหนแอบเข้าไปในศูนย์กลางหลักของอวิ๋นกวงกรุ๊ปได้
เจียงตงเยี่ยไม่กล้าถามพ่อของเขา จึงมาถามเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนตั้งใจขับรถ ตอบกลับเพียงแค่ “อือ” ทำเอาเจียงตงเยี่ยรู้สึกผิดหวัง
ขณะที่เธอกำลังจะวางสาย ฉินหร่านวางชานมลง เท้าคางลงที่มือถามเขาประโยคหนึ่ง “คุณเป็นคนของบริษัทบันเทิงเหรอ”
ฉินหร่านจำได้ว่าเจียงตงเยี่ยเคยพูดไว้ตอนอยู่ที่เมืองอวิ๋น
ตอนที่ผู้จัดการของเถียนเซียวเซียวพูดถึงคุณเจียง เขาดูมีท่าทางสนใจอยู่เล็กน้อย
“ใช่แล้ว คุณหนูฉิน คุณมีคำแนะนำอะไรไหม” เจียงตงเยี่ยอยู่อีกฝั่งของสายยืนขึ้น “คุณอยากเข้าวงการบันเทิงเหรอ แน่นอนว่าฉันมีสถาบันชั้นนำ ผู้จัดการชั้นนำให้คุณ…”
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ ไม่เคยคิด” ฉินหร่านนั่งตัวตรง
น้ำเสียงของเจียงตงเยี่ยเสียใจสุดๆ “โอเค”
รถเลี้ยวเข้าที่ทางโค้ง ฉินหร่านยังคงเท้าคาง “บริษัทของพวกคุณมีศิลปินชื่อไป๋เทียนเทียนรึเปล่า”
“ไป๋เทียนเทียน?” เจียงตงเยี่ยเลิ่กลั่ก “อื้อ” เขาตอบ “ฉันไม่รู้”
วางสายไป เจียงตงเยี่ยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ ผ่านไปสักพัก เขาต่อสายโทรศัพท์ภายในโทรหาผู้ช่วย
“คุณเจียง” ผู้ช่วยเหลือบมองเจียงตงเยี่ยแล้วพูดขึ้นทันที “พี่กู้ลืมอะไรอีกแล้วงั้นเหรอ”
พนักงานในบริษัทบันเทิงของเจียงตงเยี่ยต่างก็รู้ว่ามีชายผู้เก่งกาจอย่างพี่กู้
“ไม่ใช่” เจียงตงเยี่ยเก็บไฟล์ข้อมูล “บริษัทของเรามีศิลปินที่ชื่อไป๋เทียนเทียนรึเปล่า”
“ไม่แน่ใจ ฉันจะลองหาดูให้” ผู้ช่วยละสายตาออก
**
ถิงหลาน
ฉินหร่านที่กลับมาพร้อมเฉิงเจวี้ยน มองเห็นเฉิงเวินหรูที่นั่งอยู่บนโซฟา
เธอถือปากกาเซ็นชื่อไว้ในมือและวางแฟ้มเอกสารไว้บนตักแบบลวกๆ กำลังอนุมัติเอกสารอย่างจริงจังและเข้มงวด เลขาหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างของเธอ ในมือยังมีกองเอกสารถือไว้อีก
“มาที่นี่ทำไมอีก” เฉิงเจวี้ยนโยนกุญแจลงที่โซฟา ขมวดคิ้วมองเฉิงเวินหรู
เฉิงเวินหรูได้ยินเสียง เธอปิดแฟ้มเอกสารในมือลง พูดอย่างใจเย็น “ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกนาย”
“ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” เฉิงเจวี้ยนพูดขัดจังหวะเธออย่างสุภาพ
“แล้วทำไมถึงมาเดินเตร็ดเตร่อยู่แบบนี้” เฉิงเวินหรูยื่นแฟ้มเอกสารให้เลขาหลี่ มือสองข้างกอดอก เอนตัวลงพิงโซฟา “ขี้เกียจที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของเจ้าชายตระกูลเฉิงแล้วงั้นเหรอ”
เฉิงมู่ถือกระถางดอกไม้ด้วยสีหน้านิ่งเฉยเดินผ่านหน้าเฉิงเวินหรูไป
และยังถือถ้วยชาด้วยสีหน้านิ่งเฉยเดินผ่านหน้าเฉิงเวินหรูไป
เฉิงเวินหรูหมดความอดทน “เฉิงมู่ ช่วยนั่งลงที!”
เฉิงมู่นั่งลงที่โต๊ะกาแฟ ถือถ้วยชาอย่างเงียบๆ
ในห้องครัว เชฟของตระกูลเฉิงทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว และออกมายืนรอพวกเขาไปรับประทานข้าวที่ประตูห้องครัว
เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองฉินหร่าน “ไปกินข้าว”
ฉินหร่านพยักหน้า หลังจากนั้นเธอค่อยฝึกไวโอลิน
ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร เสียงออดก็ดังขึ้น เฉิงมู่รีบวางถ้วยชาในมือลงแล้ววิ่งไปเปิดประตู
มีคนสองคนยืนอยู่นอกประตู
เฉิงมู่จำคนหนึ่งในนั้นได้ เขารีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพ “ผู้อำนวยการโจว”
ก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเช่นกัน แต่ไม่ใช่ตัวเขาที่ไปสอบ แต่ไปส่งเฉิงเจวี้ยนตอนที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยเมืองหลวง…
“อือ” ผู้อำนวยการโจวพยักหน้า พูดน้ำเสียงอ่อนโยน “นักเรียนฉินหร่านอยู่บ้านไหม”
“คุณหนูฉินอยู่ครับ” เฉิงงมู่หันกลับมา ให้ผู้อำนวยการโจวเข้าไป
ทุกคนล้วนอยู่ในแวดวงเดียวกัน แม้ว่าขณะนั้นเฉิงเวินหรูจะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย A แต่เธอก็รู้จักโจวซาน เขาหยุดลงต่อหน้าเฉิงเจวี้ยน จึงรีบลุกขึ้นมา “ผู้อำนวยการโจว”
มองไปที่เฉิงเจวี้ยนอีกครั้ง พูดเสียงเบา “รู้จักกับผู้อำนวยการโจวด้วยเหรอ”
ที่ผ่านมาเฉิงเจวี้ยนไม่ใช่ ‘ที่ 1 ของโลก’ นอกจากเพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้ว ตระกูลอื่นก็ไม่ได้สนใจอย่างนั้นเหรอ
และยังมีความสัมพันธ์กับบ้านตระกูลโจว
“ไม่เลย ดูแล้วไม่น่ามาหาฉัน” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น วางถ้วยชาในมือลงด้วยท่าทางขี้เกียจ
เฉิงเวินหรูหรี่ตา ไม่คิดที่จะเข้าใจ
โจวซานกวาดตามอง เขาจ้องไปทางฉินหร่านที่นั่งอยู่โต๊ะกินข้าว เขาเริ่มด้วยการทักทายเฉิงเจวี้ยนและเฉิงเวินหรูแล้วจึงมองไปทางฉินหร่าน แนะนำใครอีกคนที่อยู่ข้างเขา “นี่คือคณบดีแผนกคณิตศาสตร์ของโรงเรียนเรา ฉันพาเขามาหาคุณ…”
ก่อนที่ฉินหร่านจะเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง โจวซานได้ล่วงหน้าจัดการนำเอกสารข้อมูลของฉินหร่านส่งไปยังมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแล้ว
มีรูปภาพของฉินหร่านในเอกสารข้อมูล โดยเฉพาะใบหน้าของเธอ…จดจำได้ง่ายยิ่งกว่าคนดัง
โจวซานจำฉินหร่านได้ในปราดเดียว
เหล่าคณบดีของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงยังสังเกตเห็นว่าอันดับหนึ่งของประเทศกรอกเพียงมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ณ เวลานั้นพวกเขาต่างตั้งตาคาดเดาว่าในที่สุดเธอจะเลือกเอกไหน…
จนกระทั่งบ่ายวันนี้ที่เธอเลือกวิชาเสรี ทำให้คนบางคนอยู่เฉยไม่ได้
คณบดีแผนกวิชาคณิตศาสตร์ไม่รอให้โจวซานพูดจบ พูดขัดจังหวะเขาทันที มองไปทางฉินหร่าน “นักเรียนฉินหร่าน คณิตศาสตร์ปีนี้ยากมาก เธอสามารถสอบได้คะแนนเต็ม คะแนนเต็มเพียงคนเดียวในประเทศ แต่เมื่อเห็นความสำเร็จทางบททดสอบคะแนนคณิตศาสตร์ของเธอแล้ว ทำไมเธอถึงเลือกสาขาวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติ”
แบบทดสอบปีนี้ยาก ยากมาก
วิทยาศาสตร์เองก็ยาก แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ยากไปกว่าคณิตศาสตร์ ท้ายที่สุดแบบทดสอบทางคณิตศาสตร์อาจเป็นแบบทดสอบที่น่าปวดหัวของกลุ่มพวกนักเรียนทุกคนที่มาเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ฉินหร่านเลือกเอกวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติ สาขาที่ไม่มีใครคาดหวังถึงการพัฒนา
ฉินหร่านวางตะเกียบลง เธอยืนขึ้นมองไปที่คณบดีแผนกคณิตศาสตร์ พูดขึ้นอย่างสุภาพ “เพราะว่าฉันอยากเลือก”
ปกติคิดว่าฉินหร่านจะนับ 1 2 3 4 ก่อน คิดไม่ถึงว่าเธอจะเอาแต่ใจขนาดนี้ คณบดีแผนกคณิตศาสตร์หัวร้อน พูดขึ้นไปว่า “เอกวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติดีตรงไหน ที่นั่นมีแต่พวกนักวิจัยหัวล้าน!”