บทที่ 136 อธิบาย
เพียงไม่นาน ผอ.เฉียนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งก็ราวกับนึกอะไรได้บางอย่าง เขาจึงได้พูดออกมา “เฉินเฉียง นี่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่ากำไลสื่อสารที่ต้องใช้แต้มคะแนนกว่าห้าพันแต้มแลกมานี่จะเป็นกำไลสื่อสารทางเดียวจริงๆน่ะ”
“ลองมองไปที่ฐานของหน้าปัดแถวๆด้านในดู มันจะมีปุ่มอยู่ เจ้ากดปุ่มนั้นแล้วฟังก์ชันสื่อสารจะใช้งานได้”
“ไอ้บ้าซุนอยู่ไหน บอกให้มันช่วยเจ้าเร็วๆเข้า”
“โว้วววว”
ซุนไคในตอนนี้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันทีที่ได้ยิน “นี่มันทำให้ข้าอารมณ์เสียแล้วยังมีหน้ามาใช้ข้าอีกเนี่ยนะ ไอ้เฒ่าเฉียน รอก่อนเถอะเอ็ง ถ้าแกไม่ให้เหตุผลดีๆออกมานะ อย่าหวังว่าลูกศิษย์แกจะได้รอดกลับไปครบสามสิบสอง ฮึ”
ถึงแม้ซุนไคพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังช่วยเฉินเฉียงคืนค่าของระบบสื่อสารอยู่ดี
“ผอ.เฉียน ข้าเฉินเฉียงพูดครับ”
ทันทีที่เฉินเฉียงเอ่ยคำออกมาเล็กน้อย ผอ.เฉียนได้ทำการพร่ำบ่นออกมาอย่างไม่หยุดปาก
“ไอ้เด็กนรก”
“เจ้าทำเรื่องให้ข้าอย่างแสบสันนัก”
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าจางหยวนกับคนในกองกำลังของมันนั้นทำอะไรกับสำนักของเราไว้บ้าง”
“เป็นเพราะเจ้าไปร่วมศึกที่อ่าวจันทร์เสี้ยวแล้วสร้างผลงานแม้แต่นายพลกองกำลังร่วมก็ยังเอ่ยสรรเสริญอย่างไม่ขาดปากว่าเจ้ามอบชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับมนุษยชาติ”
“ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกันหนันเองถึงกับขอให้ข้าแต่งตั้งเจ้าให้เป็นนายพลเว่ยหวู่เลยนะโว้ย”
“แถมจางหยวนแห่งกองกำลังเทียนเว่ยนั่นได้ปรามาสออกมาแล้วว่าเจ้านั้นคือผู้นำกองกำลังที่แท้จริงของกองกำลังเทียนเว่ยแล้วอีก”
“ไอ้บ้าพวกนั้นถึงกับกล้าหาเรื่องต่อหน้าข้าโดยไม่ไว้หน้าข้ากันเลยสักนิด”
“พวกเราต่างก็คิดว่าเจ้านั้นตายไปแล้วทั้งนั้น ใครจะไปคิดว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่แถมยังไปเสนอหน้าอยู่ที่สำนักมังกรง้องแง้งนั่นอีก”
“เจ้าไปทำบ้าอะไรที่นั่น ฮะ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าเป็นคนของสำนักเต่าดำ”
“อย่าบอกนะว่าหลังจากก่อเรื่องไปมากมายขนาดนี้แล้วยังมีหน้าจะออกจากสำนักเต่าดำน่ะ ฝันไปเถอะเอ็ง”
หลังจากผอ.เฉียนได้ระบายความอัดอั้นตันใจที่สั่งสมมากว่าหนึ่งปีออกมาได้แล้ว เขาได้เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่กระนั้น คงที่งงกลับกลายเป็นเฉินเฉียง ซุนไค และคนอื่นๆ
กับนักรบสายเลือดเพียงแค่ระดับขั้นนายพลวิญญาณที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าผู้นี้กับได้รับการอวยยศจากผู้บัญชาการสูงสุดให้เป็นนายพลเว่ยหวู่เนี่ยนะ
ซุนไคและคนอื่นๆตอนนี้ได้มองเฉินเฉียงตั้งแต่ให้จรดเท้าใหม่อีกครั้ง แต่ไม่ว่ามองยังไงเขาก็ไม่เห็นว่าเฉินเฉียงมีความพิเศษตรงไหน
ในขณะที่ผอ.เฉียนได้เว้นช่วงพูดเพื่อสงบสติอารมณ์จนเส้นเลือดปูดโปนอยู่นี้เองนั้น เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมา “ผอ.เฉียน พอดีตอนนี้ผมมีปัญหานิดหน่อยครับ คือผมต้องให้ผอ.ช่วยยืนตัวตนผมให้ทีว่าผมเป็นผมจริงๆ ตอนนี้ผอ.ซุนกับพวกเขาคิดว่าผมไม่ใช่เฉินเฉียง หากว่าไม่มีใครยืนยันให้ผมได้ ผมคงไม่น่าจะรอดอ่ะ”
“หะ มันกล้าเรอะ”
ผอ.เฉียนที่ยังไม่ทันจะสงบสติอารมณ์ดีก็อารมณ์พุ่งขึ้นสูงปรี๊ดอีกครั้ง เขาได้ตะโกนใส่กำไลสื่อสารในมือออกมา “บอกซุนไคให้มันฟังให้ดี หากว่ามันกล้าแตะต้องศิษย์สำนักเต่าดำที่มีความสามารถเลิศล้ำเช่นเจ้า ข้าจะเล่นงานมัน ต่อให้ข้าจะต้องหลุดจากตำแหน่งผอ.ก็ยอมโว้ยยยย….. แล้วก็……”
“ฮึ่มมมม”
ยังไม่ทันที่เฉินเฉียงจะได้พูดอะไรออกมา ซุนไคที่ตอนนี้โกรธจนควันออกหูก็ได้หยิบกำไลสื่อสารของเฉินเฉียงที่มีเสียงโวยวายอยู่นี้แล้วเขาก็ได้ตัดสายไป
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้มองไปที่ซุนไคที่มีสภาพไม่ต่างไปจากเครื่องโม่แป้งที่มีเสียงขบเบียดออกมาจากปากอย่างดังลั่นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขานั้นไม่รู้เลยจริงๆว่าคนใหญ่คนโตแห่งสำนักมังกรอาชูร่าผู้นี้คิดจะทำยังไงกับเขาต่อไป
หลังจากผ่านไปสักสิบห้านาทีเห็นจะได้ ซุนไคที่นิ่งคิดอยู่นานก็ได้ปิดกำไลสื่อสารของตนและกำไลสื่อสารของเฉินเฉียงที่ดังระงมแต่ไม่ได้ถูกรับสาย
“ฮี่ฮี่ฮี่ ในที่สุดก็เงียบสักที” ซุนไคได้ตบมืออย่างพึงพอใจประหนึ่งได้เอาคืนคู่กัดได้อย่างเจ็บแสบ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆหันหน้าไปมองเฉินเฉียงอีกครั้ง
“…..เอ่อ ผอ. ซุน…ผอ.เฉียนก็พูดออกมาแล้ว ตอนนี่ท่านก็น่าจะเชื่อได้แล้วว่าข้านั้นเป็นศิษย์สำนักเต่าดำได้แล้ว….ไม่ใช่รึ”
ซุนไคได้ยื่นมือขึ้นมาและส่ายนิ้วของตนไปมา “จุ๊จุ๊จุ๊ ยังหรอกน่า นี่มันก็แค่แสดงออกมาว่าเจ้าเคยเป็นศิษย์สำนักเต่าดำเท่านั้น แต่มันไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้านั้นคือศิษย์สำนักเต่าดำในตอนนี้”
“หะ นี่ท่านหมายความว่ายังไงกัน” เฉินเฉียงสับสนในคำพูดของซุนไคในทันที
“ง่ายมาก ในเมื่อเจ้านั้นไม่ได้กลับสำนักไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเจ้าในตอนนี้ถูกควบคุมโดยมนุษย์กลายพันธุ์ในช่วงที่ผ่านมารึเปล่า”
“เอาเป็นเริ่มจากการที่ข้าจะให้เจ้าอธิบายที่มาของที่อยู่ในแหวนของเจ้าอย่างแผ่นพลังงานนั่นเป็นไง”
“ไหนจะเจ้าแก่นโลหิตสัตว์ประหลาดระดับราชานั่น ข้อมูลของตงเจี๋ยนที่เป็นศิษย์สำนักข้า แก่นคริสตัลโลหิตที่มากมาย ดาบที่ถูกปรับแต่งด้วยเทคโนโลยีมนุษย์กลายพันธุ์ แถมไอ้แหวนที่เก็บสมบัติไว้มากมายถึงสามวงนั่นอีก นี่เจ้าได้ฆ่านักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์และแย่งชิงมันมารึเปล่าก็ไม่รู้”
เฉินเฉียงที่ตั้งใจคำถามของซุนไคนั้นก็ได้ยิ้มอ่อนออกมาอย่างเนือยๆและพูดออกมา “ผอ. ดูเหมือนว่าท่านนั้นจะตัดสินใจหลังจากข้าได้เล่าประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาของข้านี่สินะ”
“เจ้าคิดว่าไง”
“เหอเหอเหอ ก็ได้ครับ” เฉินเฉียงทำได้เพียงตอบรับข้อเสนอนี้ได้เพียงเท่านั้น หากจะให้เริ่มเรื่องก็คงต้องเริ่มจากเรื่องถูหมันเถียนนั่นกระมัง
“แก่นโลหิตนั่นเป็นผู้การแห่งกันหนันมอบให้ข้าเป็นของรางวัลจากการล้างบางไอ้พวกขยะแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างถูหมั่นเถียนร่วม กับเว่ยฉิงเชิน ส่วนของในแหวนนั้นเป็นสินสงครามที่ข้าได้มาจากการฆ่าล้างบางพวกมันตามกฎของสำนัก”
“ห้ะ อ้ะ ข้าพอจะจำได้แล้ว เมื่อสักปีก่อนนั้นตอนที่มีคำสั่งให้เลื่อนงานประลองสี่สำนัก ตอนที่ข้าไปร่วมประชุมแล้วได้ยินชื่อของเจ้าว่าเป็นคนที่ร่วมมือกับเว่ยฉิงเชินในการฆ่าไอ้ขยะสายเลือดระดับกลางนั่น ตอนนั้นข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองยังไม่ได้เป็นระดับนายพลวิญญาณด้วยซ้ำนี่”
“ต่อให้เจ้าอธิบายเรื่องนี้ได้กระจ่างแต่ว่าเรื่องอื่นล่ะ”
เฉินเฉียงเหลือกตามองซุนไคก่อนที่จะพูดออกมา “ผอ.ซุน นี่ท่านปล่อยให้ข้าเล่าจบก่อนได้ไหมนั่น”
“และด้วยการที่ข้านั้นได้รับรางวัลเป็นแก่นโลหิตนี้มา ผอ.เฉียนก็ได้นึกเล่นแผลงๆป่าวประกาศให้ผู้คนในสำนักรับรู้กันไปทั่ว นี่ทำให้เหล่าผู้คนละโมบโลภมากคิดไล่ตามข้าอย่างไม่ว่างเว้นตั้งแต่ตอนนั้น”
“เพื่อหนีจากความโกลาหลนี้ ข้าจึงได้ไปยังตึกจอมพลเหมันต์จันทราเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ย แต่ในทันทีที่ข้าได้เข้าร่วม ข้าก็ได้รับภารกิจให้ไปยังตึกจอมพลเขตกันหนัน และนี่ทำให้ข้าได้รับข่าวความปราชัยของกองกำลังร่วมระหว่างตึกจอมพลแห่งกันหนันและเป่ยเชิน”
“และด้วยเหตุนี้ ผู้การแห่งกันหนันจึงได้อาศัยกฏอัยการศึก ออกคำสั่งส่งพวกเรากองกำลังเทียนเว่ยไปร่วมศึกที่อ่าวจันทร์เสี้ยว”
“ในระหว่างสงครามนั้น ด้วยการที่ข้ามีทักษะปฐพีที่เหนือล้ำกว่าใคร ข้าจึงเสนอตัวลอบเข้าไปสอดแนมกองกำลังร่วมของสัตว์ประหลาดแห่งแผ่นดินและสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล และใช้แผนการยุแยงให้เกิดศึกภายในระหว่างพวกมัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเรานั้นชนะศึกครั้งนั้นมาได้”
“อย่างไรก็ตาม ในระหว่างถอนตัว ข้านั้นโดนสัตว์ประหลาดจำนวนหนึ่งจับได้และถูกไล่ล่าโดยสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางตัวหนึ่งที่มีทักษะปฐพีที่ไม่ด้อยไปกว่าข้า และนี่ทำให้ข้าดำดินหลบหนีไปจนไปโผล่ที่กลางทะเลแดนใต้ ถึงแม้ในที่สุดข้าจะฆ่ามันแบบจับถ่วงหน้าได้แต่เป็นตอนนั้นที่ทำให้ข้าเสียเวลาหลงทางอยู่ที่นั่นอยู่หลายเดือน”
“ระหว่างนั้นเอง ข้าก็ได้พบกับมนุษย์กลายพันธุ์ระดับนายพลทักษะพิเศษที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ข้าได้แสร้งทำเป็นพวกของมันก่อนที่จะสังหารไปและเตรียมที่จะใช้เครื่องบอกตำแหน่งของมันนำทางข้ากลับมายังพื้นที่ภาคกลาง แต่ข้าก็ได้ไปปะกับมนุษย์กลายพันธุ์อีกกลุ่มเข้า เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด ข้าก็ได้ตีเนียนเป็นพวกของมัน พวกมันก็คิดว่าข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆ แต่นึกไม่ถึงว่าพวกมันต้องการนำตัวข้ากลับไปที่ฐานของพวกมัน ข้าไม่มีทางเลือกจึงได้ตามพวกมัน”
เมื่อพูดมาถึงจดนี้ เฉินเฉียงก็นำแผ่นพลังงานแผ่นหนึ่งออกมาและพูดต่อ “นี่คือแผ่นพลังงานที่ข้านำออกมาจากหัวของมนุษย์กลายพันธุ์ที่เปลี่ยนหน้าได้ตนนั้น”
ซุนไคและพวกในตอนนี้ที่ได้รับฟังเรื่องราวอย่างไม่กล้าขัดอะไรนั้น ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาอ้าปากกว้างอย่างหุบปากไม่ลงเมื่อได้ฟังสิ่งที่เฉินเฉียงเล่า
“ยังดีที่ข้าได้ศึกษาการปรุงยาแห่งเต๋ามาทำให้ข้านั้นได้มียาที่ทดลองปรุงไว้ติดตัวอยู่ และข้าก็ใช้เม็ดยาแปลงโฉมนี้หลอกพวกมัน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นำยาสีสันเม็ดหนึ่งขึ้นมากิน ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้กลายเป็นผอ.ซุนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
“เมื่อข้าไปถึงที่เกาะเทียนลี่ที่เป็นฐานที่มั่นของมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว พวกมันได้พาข้าไปหาราชาสวรรค์ที่ดูแลที่นั่นอยู่พอดี”
“ ราชาสวรรค์ นี่เจ้าได้เจอราชาสวรรค์ด้วยเรอะ”
ผอ.ซุนและคนอื่นๆรีบถามออกมาในทันทีเมื่อได้ยินว่าเฉินเฉียงเอ่ยชื่อของราชาสวรรค์ออกมา
“อ้ะ ผอ.ซุน ท่านเคยได้ยินชื่อเขาด้วยเหรอ”
“ช่างมันเถอะ เล่าต่อไป”
ซุนไคได้ยกมือขึ้นมาและผายมือใส่เฉินเฉียงซ้ำๆก่อนที่จะมองไปที่อีกสามคนเป็นสัญญาณประหนึ่งว่าให้ฟังต่อโดยไม่ต้องพูดอะไร
“ร่างกายของราชาสวรรค์นั้นปกคลุมไว้ด้วยหมอกไอดำทั่วทั้งตัว ทำให้ข้าเองก็ไม่อาจจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงนี้ตั้งแต่ได้เข้าไปและออกมาจากเกาะ”
“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนหมอนั่นจนสนใจในทักษะของข้าอย่างมาก เพราะว่าเขาคิดว่าข้านั้นเป็นนักรบกลายพันธุ์กองกำลังพันหน้าเพียงคนเดียวที่เหลือรอดจากศึกฮัวจ้ง เขาก็เลยตั้งใจจะมอบหมายภารกิจสำคัญให้ข้า รวมถึงยังยอมปรับแต่งดาบของข้าด้วยตนเอง ซึ่งก็คือดาบที่ท่านนำมาถามข้านั่นแหละ”
หลังจากพูดออกมา เฉินเฉียงได้นำดาบดั้นเมฆออกมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าเทคนิคของมนุษย์หลายพันธุ์นั้นจะเหนือล้ำอย่างมากจริงๆ”
ซุนไคได้หยิบดาบดั้นเมฆจากมือของเฉินเฉียงและอดที่จะเอ่ยปากชมเสียมิได้