ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 168 ปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 168 ปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง

เว่ยฉิงเชินที่เดินนำหน้าไปก็ได้นิ่งอึ้งไป

เว่ยฉิงเชินได้หยุดเท้าลงในทันทีและหันไปมองเฉินเฉียง อย่างที่เขาได้คิดเอาไว้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เฉินเฉียง นี่เจ้าเป็นผู้ชายรึเปล่าเนี่ย”

“นี่มันงานประลองสี่สำนักเลยนะ ต่อหน้าทุกคนแบบนี้เจ้านั้นยังมีหน้ามาปฏิเสธการประลองแบบนี้ ต่อให้เจ้าชนะข้าไปหนหนึ่งก็อย่างได้ใจไปนัก”

“หากว่าเจ้าคิดว่าเจ้าแกร่งจริงทำไมถึงไม่กล้าที่จะรับคำท้าของข้าล่ะ”

เฉินเฉียงได้ก้มหน้าหลบตาของเว่ยฉิงเชินก่อนที่จะเกาจมูกและพูดออกมา “ฉิงเชิน เข้าไม่ใช่ลูกผู้ชายจริงๆ และไม่ว่าเจ้าจะด่าว่ายังไงข้าก็ไม่รับคำท้าประลองจากเจ้า”

“ไม่ เจ้าต้องรับคำท้าประลองของข้า” เว่ยฉิงเชินได้กระทืบเท้าของนางราวกับเด็กเอาแต่ใจ

เฉินเฉียงได้หันไปหาเว่ยหยวนตี้และถามออกมา “ท่านเว่ย ตกลงว่าข้าสามารถปฏิเสธการประลองได้รึเปล่า”

เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้เองก็พึ่งจะได้สติ ก่อนที่จะมองไปยังเฉินเฉียงด้วยท่าทางที่ยากจะบอกเล่าและพูดออกมา “ใช่ ตามกฎที่มี ผู้ถูกท้าประลองสามารถปฏิเสธได้”

เฉียนฝู่ที่อยู่ข้างเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้อยากจะลากเฉินเฉียงให้ออกจากงานประลองนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้

เขานั้นไม่คิดว่าเฉินเฉียงที่เขาเคยหวังไว้สูงนั้นจะทำตัวน่าอายและทำให้เขานั้นผิดหวังซ้ำๆแบบนี้

แล้วถ้าที่เฉินเฉียงทำนั้นก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของสำนักในตอนนี้ล่ะ

แล้วการที่เขายอมเสียหน้าขนาดนี้เพียงเพราะสำนักเท่านั้นล่ะ

หลังจากที่เห็นเฉินเฉียงยืนกรานแล้ว เว่ยฉิงเชินไม่มีทางเลือกได้แต่มองเฉินเฉียงด้วยท่าทางเกลียดชังและเชิดใส่พลางเดินลงเวทีไป

“เฉินเฉียง ข้าขอท้าเจ้า”

หลังจากเว่ยฉินเชิงได้ลงไปจากลานประลองแล้ว ศิษย์ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางของสำนักวิหคอสนีบาตคนหนึ่งได้ขึ้นมาบนเวที

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ชายคนนี้ขึ้นมา เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นมาและพูดออกมาในทันที “โทษที ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”

เมื่อโดนเฉินเฉียงปฏิเสธ ผู้คนมากมายเริ่มไม่สบอารมณ์และได้พยายามจะลองดูบ้าง

“เฉินเฉียง ข้าเองก็เป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นเช่นเจ้า เจ้าคงจะรับคำท้าของข้าสินะ”

เฉินเฉียงได้มองไปที่ชายคนนั้นและถามออกมาอย่างทีเล่นทีจริง “พี่ชาย ท่านไม่กลัวตายรึไง ระดับเจ้านั้นยังไงก็ต้องตกตายเป็นแน่แท้”

“ฮึ่ม ยังไม่รู้หรอกโว้ยว่าใครจะตาย บอกข้ามา เจ้าจะรับคำท้าหรือไม่”

“ไม่อ่ะ”

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ทุกคนต่างก็คาดเดาได้ในทันทีที่ว่าเฉินเฉียงนั้นต้องการรักษาอันดับของเขาไว้อย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะท้าประลองเขานั้นย่อมต้องปฏิเสธหมดทั่วทุกตัวคน

แต่หากว่าเฉินเฉียงต้องการยืนกรานที่จะปฏิเสธ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้

“เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้านั้นไม่คิดจะรับคำท้าใคร เจ้าก็ลงไปได้แล้ว”

หลังจากบอกให้เฉินเฉียงลงจากเวทีไป เว่ยหยวนตี้ก็ชี้ไปที่ศิษย์อีกเก้าคนที่อยู่บนเวทีและถามออกมา “เอาล่ะ มีใครต้องการจะท้าประลองใครอีกรึเปล่า”

“ข้าขอท้าประลอง”

ทันทีที่เว่ยหยวนตี้ได้พูดจบลง เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา

ทุกคนเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ส่งเสียงก็ประหลาดใจในทันที นั่นก็เพราะคนคนนั้นคือเจิ้งยี่ผู้อยู่ในอันดับสามของอันดับคะแนน

“เจิ้งยี่ เจ้าต้องการท้าประลองกับใคร”

เว่ยหยวนตี้แม้จะนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาและเตือนสติเขาอีกเล็กน้อย “เจิ้งยี่ ตามกฎแล้วเจ้านั้นทำได้เพียงจะท้าประลองกับคนที่อันดับสูงกว่าเจ้าเท่านั้นนะ”

เฉินเฉียงนั้นยังไงก็ไม่รับคำท้าอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าจะท้าได้แค่……

“ใช่แล้วครับท่านเว่ย ข้าต้องการท้าหลินฟาน”

สายตาของเจิ้งยี่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และมองหลินฟานราวกับเป็นคนที่ฆ่าล้างครอบครัวของตน

เว่ยหยวนตี้ได้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจก่อนที่จะหันไปหาหลินฟานและถามออกมา “หลินฟาน เจ้าคิดว่ายังไง”

หลินฟานได้จ้องมองไปที่เจิ้งยี่และยิ้มออกมา “ต้องขอโทษท่านเว่ยด้วย ข้าขอปฏิเสธ”

“ไม่ เจ้าต้องรับคำท้าของข้า” เจิ้งยี่ได้พุ่งตรงไปยังหลินฟานในทันทีราวกับคนบ้า แต่เว่ยหยวนตี้เองก็ได้หยุดเขาไว้ด้วยตัวเอง

“พี่ซุน ข้าว่าท่านต้องดูแลศิษย์ของท่านคนนี้ดีๆหน่อยแล้วล่ะ”

ซุนไคเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงถอดถอนลมหายใจ ก่อนที่จะนำเจิ้งยี่ลงจากเวทีไป พร้อมกับกล่าวอบรมสั่งสอนเจิ้งยี่อย่างไม่ขาดปาก

ในมุมมองของซุนไคแล้ว เขาเห็นว่าเจิ้งยี่นั้นเป็นคนยอมรับความพ่ายแพ้ไม่เป็น

หากเขายังปล่อยให้เจิ้งยี่เป็นแบบนี้ต่อไป เขาเกรงว่าด้วยอารมณ์นี้จะส่งผลต่อการบ่มเพาะของเจิ้งยี่ในอนาคต ดูเหมือนว่าเขานั้นต้องอบรมดัดนิสัยของเจิ้งยี่สักหน่อย

เจิ้งยี่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขุ่นเคืองอยู่เต็มหัวใจ แต่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงมองไปยังหลินฟานด้วยสายตาถลึงกว้างเพียงเท่านั้นแต่ก็ไม่อาจแก้แค้นให้ตัวเองได้ ที่เขาทำได้มีเพียงส่งเสียงผ่านจิตไปเพียงเท่านั้น “หลินฟาน จดจำไว้ให้ดี ต่อให้ตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะหาโอกาสฆ่าเจ้าให้ได้ในอนาคต”

ถึงแม้หลินฟานจะได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและคุกคามอย่างที่สุดของเจิ้งยี่ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เขาไม่มองเจิ้งยี่เสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจ

พวกเขานั้นรู้เพียงว่าเฉินเฉียงที่มีระดับบ่มเพาะอันต่ำต้อยเป็นธรรมดาที่ต้องปฏิเสธการประลองเพราะกลัวจะหลุดออกจากอันดับที่สอง

แต่ในตอนนี้ แม้แต่อันดับหนึ่งอย่างหลินฟานก็ยังปฏิเสธการประลอง เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนสงสัย

หรือว่าหลินฟานนั้นจะไม่ได้เก่งจริง

แต่นี่ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น

ก่อนที่จะเริ่มการประลองด้วยซ้ำ หลินฟานผู้นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่สำนักเสือขาวตั้งใจบ่มเพาะด้วยทุกสิ่งที่มี

และด้วเหตุผลนี้ แม้แต่ศิษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของสำนักเสือขาวอย่างเฉียวกังก็ยังไม่อาจจะเทียบหลินฟานได้

แต่เหตุการณ์ในตอนนี้มันคืออะไรกัน

ที่ผ่านมา ในงานประลองสี่สำนักไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน

ผู้ที่อยู่อันดับเหนือกว่านั้นต่างก็ออกปากปฏิเสธเสียงแข็ง นี่คงไม่ใช่ว่างานประลองสี่สำนักในครั้งนี้จะจบไปทั้งแบบนี้กันหรอกนะ

ในฐานะที่เว่ยหยวนตี้เป็นประธานในการจัดงานครั้งนี้ เขานั้นรู้สึกอับอายจริงๆที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ในงานที่ตนจัดขึ้น

หลังจากกระแอมออกมาเล็กน้อย เว่ยหยวนตี้ก็ทำได้เพียงถามออกมาตามกฎอีกครั้งหนึ่ง “เอาล่ะ ยังมีใครที่คิดจะท้าประลองอีกหรือไม่”

ในตอนนี้ทั้งอันดับหนึ่งและอันดับสองต่างก็ไม่คิดจะรับคำท้า นี่ทำให้ศิษย์คนอื่นๆคิดที่จะท้าประลองอีก

ฉากเห็นการนี้ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งดูน่าอึดอัดอย่างช่วยไม่ได้

เป็นตอนนี้ที่ศิษย์สำนักเต่าดำผู้ซึ่งรั้งอันดับห้าหรือก็คือเฉินเฉียงได้ยินขึ้นและมองไปที่ศิษย์สำนักคนอื่นๆ ก่อนที่จะทุบอกและพูดออกมาอย่างใด “มีใครต้องการจะท้าประลองกับข้าหรือไม่ ข้า หลู่ฟางผู้นี้ไม่เคยคิดปฏิเสธคำท้าของผู้ใด”

“ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้ายินดีรับมันไว้ทุกคน”

นะที่ที่เหล่าศิษย์แห่งสำนักเต่าดำได้ยืนอยู่ เฉินเฉียงที่ยินอยู่ข้างกัวเหลียงนั้น เขาได้จ้องมองไปยังหลู่ฟางอย่างยอมรับและพูดออกมา “ศิษย์พี่กัว ศิษย์พี่ใหญ่ของเรานั้นช่างสมกับเป็นชายชาตรียิ่งนัก”

กัวเหลียงที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ได้จ้องมองไปยังเฉินเฉียงและถามออกมา “ศิษย์น้อง ในเหล่าศิษย์มากมายที่ท้าประลองเจ้านั้น นอกจากเว่ยฉิงเชินแล้วเจ้าก็น่าจะชนะพวกนั้นได้หมดนี่นา ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเจ้านั้นถึงได้ปฏิเสธไปกัน”

“ศิษย์พี่กัว การสู้กับพวกนั้นจะมีความหมายอะไรกัน พวกนั้นก็แค่คนเลือดร้อนเพียงเท่านั้น”

“ศิษย์น้อง ตั้งแต่เจ้าได้รับชื่อนายพลเว่ยหวู่มานี่ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำตัวสมกับฉายามากมายเลยนะเนี่ย”

“ในเมื่อเจ้านั้นว่าออกมาแบบนี้แล้ว ทำไมเจ้าไม่ท้าอันดับหนึ่งไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ รึเจ้าไม่กล้า”

เป็นตอนนี้ที่ดวงตาเฉินเฉียงเป็นประกายขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “นั่นสิ ศิษย์พี่ ข้าขอขอบคุณความคิดดีๆของท่านจริงๆ ขอบคุณมาก”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นก่อนที่จะเดินออกจากที่ที่สำนักเต่าดำยืนอยู่

กัวเหลียงตกตะลึงในทันทีที่เห็น

เขานั้นเพียงพูดไปเล่นๆ เขาไม่นึกว่าเฉินเฉียงที่ปฏิเสธรับคำท้าประลองอย่างเด็ดขาดก่อนหน้านี้นั้นจะกล้าที่จะทำตามที่เขาพูดและวิ่งออกไปอย่างนี้

“ไอ้บ้ากัวเหลียง ไอ้ตัวปากเปราะ” หนี่เฟิงที่อยู่ข้างๆและเตะเขาอย่างหนักไปหนึ่งทีและรีบตะโกนเรียกเฉินเฉียงในทันที “ศิษย์น้อง กลับมาเดี๋ยวนี้ อย่าไปบ้าจี้ตามศิษย์พี่ของเจ้าเลยนะ”

“ใช่แล้วศิษย์น้อง ข้าแค่พูดเล่นเฉยๆอย่าได้ถือความเลยน่า หากว่าเจ้าไม่ยอมเลิกล่ะก็ข้าจะไปสู้กับหลินฟานแทนเจ้าเองแล้วกันเอ้า กลับมาเถอะน่า”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset