ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 187 ร่วมกองกำลัง

บทที่ 187 ร่วมกองกำลัง

เหล่าศิษย์สำนักที่ได้อันดับการประลองติดหนึ่งในสิบได้ถูกพาตัวไปยังเวทีประลอง

“ฉิงเชิน”

เว่ยฉิงเชินเมื่อได้ยินเสียงก็หันกลับไปมองก็พบว่าเป็นชายตัวสูงที่อายุอานามดูราวกับคนอายุสี่สิบที่อยู่ข้างๆพ่อของเธอได้กวักมือเลือกเธออย่างเร็วรี่

“ลุงหลินเฟิง”

เว่ยฉิงเชินได้รีบวิ่งเข้าไปแล้วรีบถามออกมาด้วยความยินดี “ลุงหลินเฟิง ทำไมลุงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ หรือว่าลุงเองก็จะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิด้วยเหมือนกัน”

จ้าวลี่ที่อยู่อีกฟากฝั่งของเว่ยหยวนตี้นั้นในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเว่ยฉิงเชินเลยแม้แต่น้อยแม้จะยืนหัวโด่อยู่นี่ก็ตาม

“พี่เว่ย นี่คือ….ลูกสาวของท่านเหรอ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่จ้าวจะพูดเล่นกันรึไง นี่ย่อมเป็นลูกสาวของข้าแน่นอนอยู่แล้ว”

เว่ยหยวนตี้ได้เรียกลูกสาวของตนให้มาหาและพูดออกมา “ฉิงเชิน เจ้ารีบทักทายท่านผู้การเร็วเข้า ท่านจ้าวเป็นผู้การแห่งตึกจอมพลภาคกลาง ส่วนนี่ ท่านหลิว แห่งตึกจอมพลเป่ยเชิน”

เว่ยฉิงเชินได้มองตามและกล่าวทักทายออกมาอย่างเคารพ “ศิษย์เว่ยฉิงเชินขอคารวะท่านจ้าว ท่านหลิว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉิงเชิน เจ้าเองนั้นมีชื่อเสียงจนมาถึงตึกข้า แถมเจ้าเองยังเป็นอันดับหนึ่งของสำนักวิหคอสนีบาตในปีนี้ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ หากเจ้าต้องเลือกกองกำลังที่ต้องเข้าร่วมแล้วล่ะก็ไม่ลองคิดเรื่องมาเข้าร่วมกับตึกจอมพลเป่ยเชินของพวกข้าดูสักหน่อยเรอะ”

จ้าวลี่ส่ายหัวไปมาในทันทีเมื่อได้ยิน “”พี่หลิว ถึงแม้คุณหนูเว่ยจะเป็นศิษย์สำนักวิหคอสนีบาต แต่ยังไงซะเธอก็ต้องเข้าร่วมกองกำลังของพี่เว่ยอยู่แล้ว ท่านตัดใจซะดีกว่าน่า”

หลิวตันเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวลี่ก็รู้สึกว่าฟังดูมีเหตุผลขึ้นมาในทันที นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าจ้าวลี่นั้นดันหันหน้าไปหาเว่ยฉิงเชินและพูดมัดตัวเธอให้เข้าร่วมกับตึกจอมพลของตนซะเอง “เว่ยฉิงเชิน ด้วยความสามารถของเจ้าแล้วนั้น หากเจ้าเข้าร่วมเป็นองครักษ์ของตึกจอมพลภาคกลาง เขารับปากว่าข้าจะผลักดันเจ้าให้มีระดับการบ่มเพาะให้ไปอยู่ในระดับราชาได้ภายในเวลาห้าปี”

“ข้าเชื่อว่าตัวเจ้านั้นน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตึกจอมพลภาคกลางของพวกเรานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน หากเจ้าเข้ากับพวกข้า เจ้าอยากได้อะไรเจ้าเลือกไปได้เลย เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”

เว่ยฉิงเชินได้มองไปที่พ่อของเธอและหลินเฟิง

เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ “อะแฮ่ม ฉิงเชินเอ๊ย ท่านจ้าวนั้นมาเชิญเจ้าด้วยตัวเองแบบนี้ หากเจ้าต้องการจะเข้าร่วม ข้าเองก็ไม่ขัดข้องอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”

หลินเฟิงที่อยู่ข้างๆก็ได้รีบเร่งยักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณให้ปฏิเสธเป็นการใหญ่

เว่ยฉิงเชินเองย่อมเข้าใจความหมายของหลินเฟิงดีและพูดออกมาอย่างไม่ลังเล “ขอบคุณท่านจ้าวที่สนใจคนที่มีความสามารถต่ำต้อยเช่นข้า”

“แต่ข้านั้นต้องการจะอยู่ในเขตกันหนันแห่งนี้และเข้าร่วมกองกำลังของท่านลุงหลินเฟิง”

เมื่อจ้าวลี่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจออกมา

หลินเฟิงได้ยกนิ้วโป้งขึ้นมาในทันทีอย่างชื่นชมและพูดออกมา “ฉิงเชิน ข้าเองก็บอกเจ้าตั้งหลายต่อหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอให้เรียกข้าว่าพี่น่ะ ทำไมเจ้ายังไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกสักทีเนี่ย”

“พี่อ่ะนะ” เว่ยฉิงเชินได้ชี้ไปที่หลินเฟิงและพูดออกมาในทันที “ลุงหลินเฟิง ท่านเองก็อายุน้อยกว่าพ่อข้าเพียงไม่กี่ปีเองนี่นา แล้วข้าจะไปกล้าเรียกท่านว่าพี่ได้ยังไง”

หลินเฟิงที่ได้ยินก็หมดคำจะพูดในทันใด เขาทำได้เพียงปล่อยให้เธอทำตามใจเพียงเท่านั้น เขาคงทำได้เพียงเปลี่ยนเธอไปช้าๆเมื่อเขามีโอกาสเท่านั้น

“ฉิงเชิน แล้วเจ้าจะเข้าร่วมเป็นหน่วยองครักษ์ของตึกจอมพลเหมันต์จันทรารึเปล่า”

“ก็ไม่มีปัญหานะ เพียงแต่ลุงหลินเฟิงจะต้องรับปากข้าว่าข้าจะได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิเพื่อฝึกฝนเสียก่อน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องนี่ไม่มีปัญหา” หลินเฟิงที่ได้รับเว่ยฉิงเชินเขามาในร่มธงของตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราจนได้นั้นจึงได้อารมณ์ดีอย่างมาก และเป็นตอนนี้ที่เขาได้มองไปยังเก้าคนที่เหลือ

“อ้าว นั่นมันหลู่ฟางไม่ใช่เรอะนั่น”

ในขณะเดียวกัน หลู่ฟางที่เห็นหลินเฟิงก็ได้เดินเข้ามาและคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าเขา

“สวัสดีครับท่านลุง”

เฉินเฉียงที่อยู่ข้างๆนั้น ตอนแรกเขาคิดจะดึงหลู่ฟางมาเข้าร่วมกับตน เพราะยังไงซะหากได้เขาเข้าร่วมกองกำลังแล้ว เขาจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังในทันที

แต่ดูเหมือนว่าแผนของเขาคงจะล่มไม่เป็นท่าซะแล้วกระมัง

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นก็เพราะหลินเฟิงได้ตบบ่าของหลู่ฟางด้วยรอยยิ้มและพูดออกมา “เด็กดี พวกเราไม่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ปีเพียงเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้เจ้าเองดูเหมือนจะเปิดจุดชีพจรลับได้กว่ายี่สิบห้าจุดแล้วสินะ ดีมาก”

“เอาอย่างนี้ดีรึเปล่า เจ้าเองก็ตามฉิงเชินเข้ามาเป็นองครักษ์ให้ข้า เจ้าคิดว่าเป็นยังไงล่ะ”

“ข้าจะทำตามที่ท่านลุงแนะนำ เพียงแต่ว่าข้านั้นต้องการให้รับใครบางคนเข้าร่วมไปกับข้าด้วย หวังว่าท่านจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้”

“โอ้ ใครกันล่ะนั่น”

หลู่ฟางได้ยินขึ้นมา ก่อนที่จะมองไปยังด้านล่างของเวที เป็นชุยหยันหลันที่อยู่ในชุดสีเหลืองเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเฟิงเมื่อได้เห็นใบหน้าที่น่ารักของชุยหยันหลันแล้วก็ได้พยักหน้าออกมาอย่างยอมรับในทันที “ตกลง หลู่ฟาง เจ้านั้นเป็นหลานที่ดีของข้าจริงๆ ดี ข้ายอมรับคำขอของเจ้า พวกเจ้าทั้งสามไปจัดการเรื่องต่อได้แล้ว”

เพียงชั่วพริบตา หลินเฟิงนั้นกลับได้รับผู้ติดอันดับในอันดับที่สามและห้าไปถึงสองคน นี่ทำให้หลินเฟิงนั้นแสดงออกมาด้วยท่าทางยินดีอย่างน่าหมั่นไส้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินเฟิงได้ไปสบตาเข้ากับใครบางคน หรือก็คือเฉินเฉียงที่อยู่ในอันดับสองนั้น เขาก็ได้พูดออกมา

“เฉินเฉียงรึ เจ้าเองยังไงซะก็จะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทราอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ดี เจ้าเองสมกับเป็นผู้สืบทอดของนายพลเทียนเว่ยแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”

เมื่อเห็นท่าทางของหลินเฟิงที่น่าหมั่นไส้นี้แล้วนั้น จ้าวลี่ก็มีสีหน้าที่มืดครึ้มมากกว่าเดิม

“หลินเฟิง นี่เจ้าไม่คิดจะดึงคนไปไม่หยุดเลยรึไงกัน หรือว่าเจ้านั้นต้องการดึงศิษย์ทั้งสิบอันดับให้ไปอยู่ภายใต้ร่มธงของเจ้าเลยรึยังไง”

หลินเฟิงที่ได้ยินก็รีบโน้มตัวลงและพูดออกมา “มิกล้า มิกล้า ท่านจ้าว โปรดให้อภัยด้วย”

เป็นตอนนี้ที่จ้าวลี่ได้หันไปหาเฉินเฉียง เขามองหน้าเฉินเฉียงด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย

“อื้มมม เจ้าเปิดจุดชีพจรได้สิบแปดจุดแล้ว ตอนนี้เป็นนายพลวิญญาณระดับกลางสินะ ถึงแม้ว่าเจ้านั้นจะยังมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่สูง แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวที่มาถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและเจิ้งยี่นั้นร่วมมือกันเปิดเผยตัวตนสายลับที่มีชื่อว่าหลินฟานด้วยกันสินะ”

เฉินเฉียงได้โค้งตัวให้อย่างเคารพและพูดออกมา “เรียนท่านจ้าว นี่เป็นหน้าที่ของข้า กับเรื่องนี้ ข้านั้นไม่สมควรจะได้รับคำชมแต่อย่างใด”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ยังหนุ่มแน่นแต่ไม่โอ้อวด คนเช่นนี้หาได้ยากนัก”

“อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมกับพวกข้า ตึกจอมพลภาคกลางหน่อยเหรอ เจ้าเองสามารถเลือกกองกำลังที่จะเข้าร่วมได้ตามใจเจ้าเลยนะ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”

“กับเรื่องนี้ ข้าเองต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตัวข้านั้นตัดสินใจจะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทราแห่งกันหนัน ต้องขอบคุณความเอื้อเฟื้อของท่านจ้าวด้วย” เฉินเฉียงตอบออกมาโดยไม่มีท่าทีจะว่อกแว่กแต่อย่างใด

“ห้ะ ตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราอีกแล้วเรอะ” จ้าวลี่บ่นอุบออกมาในทันที แต่ว่านี่เป็นการเลือกของเฉินเฉียงเอง เขาเองก็ไม่อาจจะทำอะไรได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง นายพลเว่ยหวู่ของข้า ข้านึกแล้วว่ายังไงซะเจ้าก็ต้องกับมาที่ตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราของข้าอยู่ดี”

“เยี่ยม งั้นเจ้าและฉิงเชินจะได้เป็นองครักษ์ของข้าด้วยกัน”

“ต้องขอโทษท่านผู้การหลินด้วย ตัวข้าเองนั้นยังไงซะก็มาจากกองกำลังเทียนเว่ย ไม่มีทางที่ข้าจะเป็นองครักษ์ของท่านได้”

“ห้ะ กองกำลังเทียนเว่ย” เขานิ่งอึ้งไปประหนึ่งดังคนฟังไม่ชัด เขารีบถามออกมาอีกครั้งในทันที “เฉินเฉียง เมื่อกี้เจ้าว่ากองกำลังเทียนเว่ยงั้นเหรอ”

“ถูกต้องแล้วท่านผู้การ กองกำลังเทียนเว่ย”

จางหยวนและคนในกองกำลังต่างก็มองฉากที่เฉินเฉียงพูดออกมาอย่างหนักแน่นถึงสองครั้งพร้อมกับส่งเสียงเชียร์จนดังลั่น “นายพลเว่ยหวู่ นายพลเว่ยหวู่”

หลังจากจางหยวนและพวกหยุดส่งเสียงเชียร์แล้ว หลินเฟิงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เฉินเฉียง เจ้าต้องคิดดีๆนะ กองกำลังนั้นมีเพียงแค่แปดคนเท่านั้น ต่อให้รวมเด็กใหม่สามคนนั่นก็มีเพียงแค่สิบเอ็ดคนเท่านั้น”

“กองกำลังนั่นอ่อนแอที่สุดในสามตึกจอมพลเลยนะ แม้แต่ที่กันหนันก็ยังเทียบไม่ได้”

“ฟังอย่างนี้แล้วเจ้าจะมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ได้แล้วนะ”

เฉินเฉียงได้มองไปยังธงที่ปลิวไสวของกองกำลังเทียนเว่ย สายตาของเขาเฉียบคม ก่อนที่จะยกมือขึ้นและกำหมัดแน่น

เป็นตอนนี้ที่จางหยวน ได้นำคนทั้งสิบเอ็ดคนคุกเข่าข้างหนึ่งในทันที

“พวกเรายินดีจะติดตามท่านผู้นำ”

“สู้ในนามของท่านผู้นำ ต่อให้ตกตายก็ไม่เสียใจ”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset