ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ฟังบทเรียนของจางจิ่งหลินจากยอดกำแพงโรงเรียน เขาเคยได้ยินจางจิ่งหลินเล่าเรื่องลึกลับหลายเรื่อง ซึ่งรวมไปถึง ‘เมืองที่สูญหาย’ ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าจางจิ่งหลินก็ไม่ได้จริงจังกับทุกอย่างทุกเรื่องไปเสียหมด บางครั้งยามใดเขาเหนื่อยล้าจากการสอน ก็จะนำเก้าอี้มานั่งที่แท่นสอน จากนั้นก็เล่าเรื่องน่าสนใจต่างๆ จนหมดคาบ
สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เรื่องนี้ถือว่าปกติมาก อย่างไรเสียทั้งเมืองก็มีจางจิ่งหลินรับหน้าที่เป็นอาจารย์อยู่คนเดียว จะให้เขาสอนอยู่ทั้งวันคงยากเกินไปหน่อย
คุณจางเคยเล่าถึงตำนานเมืองโบราณแห่งหนึ่งในแดนรกร้าง เมืองโบราณนี้รุ่งโรจน์รุ่งเรืองอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ทว่าจู่ๆ ก็เริ่มถดถอยลงด้วยเหตุผลบางประการ จางจิ่งหลินเล่าว่าหลังจากเมืองโบราณนั้นเสื่อมโทรมลง ก็มีพวกปีศาจปรากฏกายขึ้นในเมือง
ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่อยากโพล่งออกไปมากว่า เชื่อกะผีสิ! ถ้าไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน จะมาเล่าเรื่องภูตผีปีศาจทำไม โลกนี้มีภูติผีปีศาจที่ไหนกัน
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มเชื่อเรื่องนั้นอยู่หน่อยๆ แล้ว
จริงๆ จางจิ่งหลินไม่น่าอายุมากนัก อายุคงอยู่ในวัยสามสิบ เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินจากหวังฟู่กุ้ยมาก่อนว่า จางจิ่งหลินเดินทางมาจากที่อื่นเมื่อนานมาแล้ว ส่วนนานขนาดไหนนั้น เขาเองก็จำไม่ได้
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนจางจิ่งหลินมาเป็นผู้อพยพนั้น เขาน่าจะเคยเป็นผู้อาศัยในป้อมปราการมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องราวมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ถึงบางเรื่องดูเหมือนเขาจะโมเมมาเองก็เถอะ…
ตอนนี้พอสูเสี่ยนฉู่บอกว่ามีเมืองลับแลแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ในเขาจิ้งซาน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ย้อนนึกคำของจางจิ่งหลินได้ทันที หรือว่าในเขาจิ้งซานมีปีศาจอยู่จริงๆ…
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับสูเสี่ยนฉู่ “พวกเขาได้พูดเรื่องอื่นอีกไหม”
สูเสี่ยนฉู่ค่อยๆ นึกย้อนไป ก่อนจะกล่าว “มีอยู่ ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง หวังฉงหยางได้ข้อมูลมาจากแหล่งข่าวของเขาว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเขาจิ้งซานไม่ได้มีแค่พวกเราที่รู้ กลุ่มจากป้อมอื่นๆ เองก็กำลังเดินทางมาที่นี่เหมือนกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าสูเสี่ยนฉู่จะเผยความลับอะไรออกมาเสียอีก กลับเป็นเรื่องนี้เสียได้
“ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ปกครองป้อมหรือกลุ่มสมาคม พวกเขาเองก็สนใจเรื่องวิวัฒนาการของเหล่าผู้มีพลังพิเศษมากกันทั้งนั้น” สูเสี่ยนฉู่เอ่ย “นายน่าจะได้ยินเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชที่เพิ่งสร้างใหม่ในป้อมแล้วใช่ไหม พวกผู้มีพลังพิเศษถูกวิจัยศึกษาไม่ใช่เพราะแค่ว่าผู้ปกครองอยากรู้วิธีป้องกันพวกเขาอย่างเดียวหรอกนะ แต่คิดจะใช้พวกเขาหาประโยชน์ด้วยต่างหาก”
“เล่าเรื่องผู้มีพลังพิเศษพวกนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “นายเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ คงจับตาเรื่องนี้อยู่ตลอดล่ะสิ”
“ผู้มีพลังพิเศษ…” สูเสี่ยนฉู่คิดไตร่ตรอง ก่อนจะว่า “จริงแล้วๆ ผู้มีพลังพิเศษอยู่มานานตั้งแต่อดีตกาล แค่ทุกคนมองเรื่องพวกเขาเป็นเพียงตำนานบทหนึ่ง ที่เดี๋ยวนี้ทุกคนหันมาสนใจกันมากขึ้นก็เพราะว่ามีผู้มีพลังพิเศษปรากฏกายมามากขึ้นนี่แหละ สถานที่บางแห่งถึงกับมีองค์กรลับสุดยอดของเหล่าผู้มีพลังพิเศษด้วยซ้ำไป”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “มีองค์กรผู้มีพลังพิเศษด้วย?”
มีองค์กรผู้มีพลังพิเศษเป็นตัวเป็นตนแบบนี้ แสดงว่าจำนวนมีผู้พลังพิเศษต้องไม่น้อยแน่
“พวกนายน่าจะเคยได้ยินเรื่องที่ผู้มีพลังพิเศษคิดลอบสังหารผู้ปกครองป้อมใช่ไหม” สูเสี่ยนฉู่ว่า “หวังฉงหยางบอกว่าผู้ลงมือมาจากองค์กรที่เรียกว่า ‘ผู้ก่อจลาจล’” อย่างน้อยผู้มีพลังพิเศษคนนั้นก็เรียกตัวเองอย่างนั้นน่ะนะ
“แล้วเขาถูกจับได้หรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“จับไม่ได้” สูเสี่ยนฉู่ส่ายหน้า “เขาแข็งแกร่งเกินว่าที่นายคิด ตอนนี้ป้อมปราการใหญ่ๆ ต่างไล่ล่าผู้มีพลังพิเศษกันทั้งนั้น ดูเหมือนว่ามันจะมีเกณฑ์วัดระดับความอันตรายพวกเขาอยู่ด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าประเมินกันยังไง”
ที่เขาถามออกไปเพราะเผื่อสถานการณ์เกิดกับตัวเอง เริ่นเสี่ยวซู่เองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง ต้องไปเผชิญหน้าเข้ากับองค์กรใหญ่เช่นนั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอยู่บ้าง หยางเสียวจิ่นเหลียวมามองเขา ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
สูเสี่ยนฉู่ถอนหายใจกล่าว “ฉันไม่กลับป้อมแล้วแหละ ถ้าคนในป้อมรู้ว่าฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษ ฉันจบสิ้นแน่”
หลิวปู้ที่อยู่ข้างๆ เขารีบโพล่ง “พวกเราไม่เล่าให้ใครฟังแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลย!
ว่าตามตรง หลิวปู้กำลังกลัวอยู่ไม่น้อยว่าตนจะโดนสูเสี่ยนฉู่ฆ่าปิดปาก จึงรีบพูดออกไปบอกจุดยืนตัวเอง
สูเสี่ยนฉู่กวาดสายตาใส่เขาวูบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าเขายังมีหลักการของตนอยู่ จึงยังไม่คิดลงมือสังหารเพื่อปิดปากใคร
ใครจะไปเชื่อคำสัญญาของหลิวปู้ เชื่อก็โง่แล้ว
สูเสี่ยนฉู่บ่นใส่หลิวปู้อย่างหาได้ยาก “ทุกคนที่นี่ นายทำให้ฉันเป็นห่วงสุดแล้ว!”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “งั้นคือถ้าเกิดหลิวปู้เกิดอุบัติเหตุตายไป นายก็กลับป้อมได้สินะ”
หลิวปู้ “???”
เอ็งแช่งอั๊วแบบนั้นได้ไงวะ หลิวปู้อยากพ่นคำด่าใส่เริ่นเสี่ยวซู่มาก แต่ตาขาวเกินกว่าจะทำได้!
สูเสี่ยนฉู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่ง พูดแกมทอดถอนใจ “นายเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ “หืม?”
เริ่นเสี่ยวซู่อดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองเผลอเปิดเผยพลังอะไรไปหรือเปล่า และหยางเสียวจิ่นเองก็เกิดสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมาหรือเปล่า
จากนั้นสูเสี่ยนฉู่ก็พูดต่อ “พลังที่ถูกปลุกขึ้นมาของนายคงเป็นพลังกวนโอ๊ยคนแหง”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
ทว่าพริบตานั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดบรรเจิด รีบกล่าวกับพระราชวังในห้วงจิต “พระราชวัง ฉันมีทักษะกวนโอ๊ยคนหรือเปล่าน่ะ แล้วอยู่ระดับไหน”
เสียงเรียบนิ่งจากพระราชวังดังมา [ไร้ที่ติ]
ตอนที่รู้ว่าหยางเสียวจิ่นมีทักษะระดับไร้ที่ติ เขาก็ตะลึงค้างไปเลย ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาเองก็มีเหมือนทักษะระดับไร้ที่ติเหมือนกัน! แต่ถ้าเทียบกับทักษะระดับไร้ที่ติของเธอแล้ว ของเขานี่โคตรโหลยโท่ย ถามจริงเถอะคุณพระราชวัง!
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าตัวเองมีทักษะไร้ที่ติด้วยไข่ก็ปวดหนึบ เอาเหอะ ทักษะไร้สาระไม่เป็นไร ขอแค่ให้มีก็พอใจแล้ว
บางคนกล่าวว่าในชีวิตหนึ่งจะฝึกฝนจนมีทักษะระดับไร้ที่ติได้นั้นไม่ง่ายเลย…ใครจะไปรู้ว่าเขายังไม่อายุไม่มากก็มีอยู่ทักษะหนึ่งแล้วน่ะ
สูเสี่ยนฉู่หันไปมองศพสามร่างนอกโพรงถ้ำวูบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาในที่สุดว่า “ไปกันเถอะ ไม่ว่าในเขาจิ้งซานจะมีตัวอะไร ฉันต้องไปดูด้วยตาตัวเอง”
นี่เป็นสิ่งที่เหล่ามีผู้พลังพิเศษต่างปรารถนา ทุกคนเคยเชื่อว่าตำนานปรัมปราเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น แต่พอได้สัมผัสถึงตำนานนั้นด้วยตนเอง ก็พลันทะยานอยากในโลกที่กว้างใหญ่กว่านั้น
สูเสี่ยนฉู่และเริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่ต่างกัน
สูเสี่ยนฉู่ว่า “ฉันไม่แน่ใจนะว่าพวกนายเคยอ่านตำนานไซอิ๋วหรือเปล่า ฉันเคยเจอที่ห้องสมุดป้อมปราการน่ะ ตอนฉันอ่านไปถึงประโยคที่ว่ามีผู้สามารถยกพลองหนักหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยชั่งได้ ก็รู้สึกเหลือเชื่อมาก แต่เดี๋ยวนี้ฉันเริ่มเชื่อแล้วแหละว่าน่าจะมีคนสามารถอย่างในหนังสือจริง ในหนังสือยังบอกอีกด้วยนะว่า พลองนั้นสามารถทำลายขุนเขาได้ด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดตาม “ฉันไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนั้นนะ โรงเรียนที่ตัวเมืองไม่มีน่ะ แต่ฉันมีคำถามอยู่ พลองหนักหมื่นสามพันห้าร้อยกว่าชั่งนั่นสามารถทลายขุนเขาได้จริงเหรอ น้ำหนักนั่นก็น่าจะประมาณหกตัน[1]เองนะ รถแทรกเตอร์ที่โรงงานนอกเมืองก็ยกของได้เป็นสิบตันแล้ว ถึงถ้าให้แบกพลองนั้นสองเล่มออกจะหนักไปหน่อย แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
สูเสี่ยนฉู่สูดหายใจเข้าสุดปอด หันหน้าหนีขวับ เดินมุ่งไปทางป่า เขากำลังนำหน้าไปสู่ความลึกลับในเขาจิ้งซานแล้ว
……………