เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินหยางเสียวจิ่นเล่าเรื่องบริษัทหัวจ่งแล้วก็หัวปั่น ความอธิบายสั้นๆ แต่แฝงข้อมูลมากมายหลายอย่าง
สูเสี่ยนฉู่ก็ดูจะไม่ทราบข้อมูลของบริษัทหัวจ่งนี้ หรือจะพูดได้ว่าในแง่ของข้อมูลข่าวสารนั้น หยางเสียวจิ่นอยู่เหนือกว่าสูเสี่ยนฉู่ผู้เป็นทหารอาชีพแห่งป้อมปราการ 113 ไปเสียแล้ว
แถมหยางเสียวจิ่นยังพูดว่า ‘อาจจะมีแต่คนสำคัญในบริษัทที่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง’ ทำไมเธอถึงมั่นใจขนาดนั้นว่ามีแต่เพียงบุคคลระดับสูงที่รู้ ทว่าสมาชิกทั่วไปถึงไม่รู้ล่ะ หยางเสียวจิ่งต้องเคยเค้นข้อมูลมาจากสมาชิกของบริษัทหัวจ่งมาก่อน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรแน่
เริ่นเสี่ยวซู่มีความรู้สึกว่าหยางเสียวจิ่นไม่น่าเป็นคนไร้สังกัด จนถึงตอนนี้เขาเองยังไม่รู้เลยว่าป้อมปราการที่มนุษย์สร้างขึ้นมีมากน้อยเพียงไร จำนวนหมายเลขของป้อมปราการที่ได้ยินมาสูงที่สุดก็คือ 178
เขาไม่รู้จักบริษัทหัวจ่ง ไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นมีกี่องค์กร การสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารในยุคสมัยที่การสื่อสารลำบากล้าหลังเช่นนี้ หยางเสียวจิ่นต้องสังกัดอยู่สักที่ใดที่หนึ่งแน่นอน!
ประเด็นคือหยางเสียวจิ่นเป็นสมาชิกของสักองค์กร ทว่าองค์กรไหนนั้นกลับไม่อาจทราบได้
เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนที่กระหายในความรู้เป็นอย่างยิ่ง หยางเสียวจิ่นเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังตกอยู่ในภวังค์จึงหยุดพูดไป หยางเสียวจิ่นไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังประมวลสังเคราะห์ข้อมูลที่เธอกล่าวออกไปอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่พลันโพล่งถาม “มีแค่สองที่เองเหรอที่มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นน่ะ”
หยางเสียวจิ่นจ้องหน้าเขา “พบมากขึ้นเรื่อยๆ”
ตอนบ่าย นอกจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ทุกคนแสดงสีหน้าอิดโรยกันหมด หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยที่เป็นคนธรรมดานั้นเท้าพุพองหมดแล้ว ทั้งไม่กล้าถูกทิ้งห่างไปไกล ทั้งไม่กล้าขอพักแม้แต่น้อย
เริ่นเสี่ยวซู่ดื่มน้ำหมดขวดแล้ว ก่อนเอาไปกรอกที่ธารสายน้อยแห่งหนึ่ง อีกสามคนที่เหลือไม่มีภาชนะ จึงได้แต่นำใบไม้มารองน้ำดื่ม
สูเสี่ยนฉู่ที่นำหน้ามีกระติกทหาร ส่วนหยางเสียวจิ่นก็มีน้ำของตัวเองซ่อนไว้ ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่ต้องพูดถึงเลย ขวดน้ำก็มี แก้วโลหะที่พกมาจากบ้านก็มี
แต่ลั่วซินอวี่ หลิวปู้ หวังเหลยไม่มีของไว้ใส่น้ำ ด้วยเหตุนี้ภาพจึงออกมาเป็น เริ่นเสี่ยวซู่ หยางเสียวจิ่นและสูเสี่ยนฉู่เดินตัวแขนพลิ้วปลิวไสวนำหน้า ส่วนสามคนที่เหลือต้องกอบใบไม้ไว้ ตัวเดินตามไปติด ดูน่าสมเพชชอบกล
ตอนที่พวกเขาไปกรอกน้ำกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็สอนว่า “ห้ามข้ามไปใกล้กลางธาร กรอกน้ำริมๆ เอา พอได้แล้วก็รีบออกมาให้ไว”
ตอนที่สูเสี่ยนฉู่พูดถึงว่ามีนกดึกดำบรรพ์ปรากฏตัวที่ที่บริษัทหัวจ่งปกครองอยู่ ก็พลันนึกไปถึงเงาดำในแม่น้ำที่เขาเจอตอนไปจับปลา!
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปลาอื่นในแม่น้ำยังกลัวขนาดนั้น เริ่นเสี่ยวซู่อดเสียใจมากที่ไม่ทันมองให้ดี
ยามฟ้ามืดลง พวกเขาก็หาถ้ำใหม่พักได้ในที่สุด ทว่าคราวนี้เป็นเพียงถ้ำเล็ก หกคนนั่งข้างในแออัดกันอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่มีหนทางอื่นใด ผืนป่ายามค่ำคืนน่าหวั่นเกรงเกินไป
ขณะทุกคนเบียดเสียดกันผิงกองไฟ ก็รู้สึกได้ถึงความมั่นคงอันหาได้ยากสายหนึ่ง บางทีมนุษย์เราอาจจะพบความสำคัญของมิตรสหายก็ต่อเมื่อตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจรอบถ้ำเผื่อว่ามีร่องรอยที่มนุษย์ทิ้งไว้ อย่างพวกคำที่สลักไว้บนผาโพรงถ้ำก่อนหน้านี้เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่พบอะไรเลย
สูเสี่ยนฉู่แจ้ง “ถ้าจะมีคนออกไปปลดทุกข์ อย่าเข้าไปในป่าเป็นการเผื่อไว้ก่อน ถ้าพวกผู้หญิงอยากปลดทุกข์พวกเราก็หันหน้าหนีเอาแล้วกัน พวกเธอสองคนก็ผลัดกันดูจะได้มั่นใจว่าไม่มีใครแอบมอง เป็นการรับประกันความปลอดภัยของทุกคน”
ขณะกำลังเคี้ยวรากสน หลิวปู้ก็เกิดนึกไปถึงกลิ่นหอมหวนของเนื้อหมูป่าย่างก่อนหน้านี้ไม่ได้ เลยหันไปหยอกเริ่นเสี่ยวซู่ “ทำไมไม่ลองขอพรอีกสักรอบล่ะ ให้สัตว์อีกสักตัววิ่งชนต้นไม้ก็ไม่เลวนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ตัดบท “อยากขอพรก็ขอไปเอง”
ให้เอาสุขภาพของเหยียนลิ่วหยวนแลกอาหารเขาไม่ยอมหรอก รากสนก็เหมือนผักชีฝรั่ง ไม่ได้เคี้ยวกลืนยากอะไร
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ระวังปากระวังคำมาก กลัวจะไปทำร้ายเหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ที่บ้านเข้า
หลังจากโดนเริ่นเสี่ยวซู่ตำหนิ หลิวปู้ก็หน้าชาไป “ปัดโธ่ แค่หยอกเล่นเอง ถ้าขอพรเองแล้วสมหวังคงขอไปแล้ว ฉันขอให้มีสัตว์ป่าโผล่มาหาเราแล้ว คิดเหรอว่าจะมีโผล่มาตัวหนึ่งจริงน่ะ”
ทว่าทันใดก็มีเสียงแปร่งหูจากป่าดังเข้าถ้ำมา เป็นเสียงการเคลื่อนไหวชุดใหญ่
เริ่นเสี่ยวซู่ หยางเสี่ยวจิ่น และสูเสี่ยนฉู่ยกปืนขึ้นเล็งตามสัญชาตญาณทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น พริบตาต่อมา หมูป่าสามตัว แมวป่าสองตัว งูสองตัว และลิงเจ็ดตัวก็กระโจนออกมาจากป่า
แมวป่ามีขนาดตัวเท่าเสือดาวที่พบเห็นในหนังสือเรียน ส่วนขนาดตัวหมูป่านี่ไม่ต้องพูดถึงเลย! พวกลิงเองถ้ายืนด้วยสองขาก็สูงเกือบเท่ามนุษย์ ขนาดราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรได้!
เริ่นเสี่ยวซู่พอมั่นใจอยู่บ้างว่านี่ไม่ใช่พลังขอพรของเหยียนลิ่วหยวน รวมสัตว์ทั้งหมดที่โผล่มานี่ ฆ่าพวกเขาหกคนทิ้งไม่คณนามือเลย แม่*เรียกว่าโชคดีไม่ได้หรอกนะแบบนี้!
เริ่นเสี่ยวซู่มองสัตว์ป่าพวกนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า “หลิวปู้ ปากเอ็งนี่พาจนไปปะ!”
หลิวปู้น้ำตาแทบไหลพราก “แค่พูดขำๆ เอง…”
สัตว์ป่าและมนุษย์ต่างจ้องเขม็งใส่กัน ดูเหมือนว่าเจ้าพวกสิงสาราสัตว์พวกนี้ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าที่นี่จะมีคน เริ่นเสี่ยวซู่ลดเสียงลงกระซิบ “หลิวปู้ บอกพวกมันว่าไปว่าวันนี้พวกเรากินเจ ให้พวกมันหนีไปได้เลย”
หลิวปู้น้ำตาไหลพราก มองหมู่สัตว์นอกถ้ำแล้วว่า “คำพูดฉันมันจะได้ผลเหรอ นี่ๆ พวกนาย ไปไหนก็ไปเถอะนะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่แค่พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง ทว่าหลังหลิวปู้พูด ‘ไปไหนก็ไปเถอะนะ’ พวกสัตว์ป่าก็หันหน้าวิ่งหนีไปทางอื่นจริงๆ
ที่จริงแล้วเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตนเองสามารถปราบพวกมันได้ราบคาบ ถึงปืนพกจะยิงไม่เข้าเท่าที่ควร แต่เขายังมี ‘ร่างแยกเงา’ เป็นไพ่ไม้ตายอยู่
กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่อยากเปิดเผยไพ่ไม้ตายอยู่ดี ถ้าร่างแยกเงาเขาโผล่มาเมื่อไร สูเสี่ยนฉู่กับคนอื่นๆ ต้องรู้แน่ว่าเขาคัดลอกพลังผู้อื่นไปใช้ได้ หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่อาจทราบได้
แถมร่างแยกเงาของเขากลับทรงพลังกว่าของสูเสี่ยนฉู่เองเสียอีก มีแต่จะทำให้คนมองไม่ดี!
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลิวปู้ด้วยความตกตะลึง เจ้านี่ปลุกพลังพิเศษเกี่ยวกับโชคลาภเหมือนของเหยียนลิ่วหยวนเหรอ ไม่น่ามั้ง!
เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับไปมองทางตัวป่า แล้วว่า “ตัวอะไรกันถึงไล่สัตว์พวกนั้นมาถึงที่นี่ได้! ปกติพวกสัตว์ป่าไม่ได้เป็นมิตรกันเท่าไรหรอกนะ แต่นี่พวกมันไม่ทั้งโจมตีพวกเราทั้งไม่โจมตีกันเอง หมายความว่ามีตัวอะไรบางอย่างน่ากลัวกว่ากำลังสะกดข่มพวกมันอยู่ในป่า พวกมันจึงคิดจะเข้ามาหลบในถ้ำพวกเรา!”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “แต่เพราะพวกเราครองถ้ำอยู่ พวกมันเลยได้แต่ต้องไปหาที่อื่นเอา”
“พวกนายจำได้ไหม เมื่อวานตอนเย็นที่ป่าเกิดการเคลื่อนไหวแปลกๆ แต่ไอ้เจ้าตัวที่ส่งเสียงออกมากลับหายไปก่อนเผยตัว ตอนแรกฉันเดาว่าตัวที่ส่งเสียงออกมาก็คือต้นตอของอันตราย แต่เดาไปเดามา อาจจะเป็นเสียงของสัตว์ที่กำลังหาถ้ำหลบภัยก็ได้” เริ่นเสี่ยวซู่ย้อนเรื่องราว “ในป่านี้มีอะไรกันแน่ ถึงทำให้ ‘สัตว์ประจำถิ่น’ หนีออกจากอาณาเขตของตัวเองได้ ถึงกับทำให้พวกมันจับมือกันด้วยซ้ำ…”