the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 76 โซ่

ทุกคนเพิ่งจะได้โล่งอกโล่งใจยกใหญ่ตอนเจอถ้ำไว้พัก ทว่าชั่วพริบตาก็ต้องเคร่งเครียดใหม่อีกครั้ง “พวกเราควรหาที่ซ่อนอื่นไหม” มีคนกระซิบ “ถ้ามีตัวอะไรไม่รู้พุ่งออกมาจากป่าทำไง” “ไม่ต้องไปไหนแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ขนาดพวกสัตว์ยังอยากมาหลบภัยที่นี่เลย แต่โดนพวกเราจองที่ไปก่อนแล้ว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วละว่าที่นี่น่าจะปลอดภัยพอควร” “พวกมันกำลังหนีอะไรอยู่กันแน่” หลิวปู้มีคำถาม สูเสี่ยนฉู่ หันไปมอง ณ ผืนป่านอกถ้ำ “พวกนั้นน่าจะพยายามหนีออกจากป่าอยู่ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นก็คือป่ายามค่ำคืน” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ฉันก็คิดงั้น พวกสัตว์มีสัญชาตญาณรับรู้อันตรายดีกว่ามนุษย์ พวกนายสังเกตไหม ตอนที่พวกเราผ่านหุบเขา มีโครงกระดูกมนุษย์หลายโครงเลย แต่ว่าตั้งแต่เข้าป่ามา เรายังไม่เห็นซากกระดูกของสัตว์สักกะตัว แบบนี้ไม่ปกติแล้ว” “ตราบที่เป็นสิ่งมีชีวิต ย่อมต้องมีเกิดมีตาย การที่พวกเราจะไม่เห็นเศษซากโครงกระดูกสัตว์สักชิ้นเลยเป็นไปไม่ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ฉันโยนเศษเนื้อกับกระดูกป่าไว้ที่ป่าทางทิศใต้ของหุบเขา พอไปดูอีกทีตอนเช้า พวกมันก็หายเกลี้ยงไปหมด ร่องรอยถูกขนย้ายก็ไม่มี แค่อยู่ๆ ก็หายไปแบบศพของสูเซี่ย ซากร่างหายไปแบบนี้มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือตอนหายไปต่างอยู่ในป่ากันทั้งสิ้น” “อืม” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “แถมพวกสัตว์ป่ายังแสดงท่าทีว่ากลัวตัวป่ามากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ชอบมาพากลจริงๆ ด้วย” พงพณาเขมือบร่าง… คนอื่นๆ หันไปมองป่า เริ่มคิดแล้วว่าบางทีพืชพันธุ์ต้นไม้เองก็คงเกิดการวิวัฒนาการไม่ต่างกับพวกสัตว์ สูเสี่ยนฉู่พูดปลอบ “แต่เอาจริงๆ แบบนี้ก็ไม่เลว ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ารูปแบบเป็นยังไง จะได้รับมือได้ถูก” ความกลัวที่ไม่รู้กลายเป็นความกลัวที่รู้ ทั้งเข้าใจลักษณะกลไก ความกลัวย่อมลดทอนลงไป คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวก่อนหน้าก็คลายลงไปบ้าง หวังเหลยยิ้ม พลางว่า “แสดงว่าเราต้องหาจุดเหมาะตั้งแคมป์ก่อนที่ฟ้าจะมืดเอาสินะ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ระวังฟ้ามืดไม่พอ ตอนฟ้าสว่างเองก็ต้องระมัดระวังด้วย พวกเราไม่รู้หรอกว่าพืชพันธุ์สัตว์ป่ามันวิวัฒน์จนสามารถกินคนได้กลางวันแสกๆ หรือเปล่า” “งั้นพวกเราจะเดินทางตรงที่โล่งตามสันเขาเอา!” สูเสี่ยนฉู่ตัดสินใจได้แล้ว ทุกคนกลับไปเคี้ยวรากสนกันต่อ ก่อนจะมีคนโพล่งถาม “เริ่นเสี่ยวซู่ นายรู้ได้ไงว่ารากสนกินได้” “ฉันไม่ได้เป็นคนพบว่ามันกินได้ แต่มีคนในเมืองเล่าให้ฟัง” เริ่นเสี่ยวสู่พูดนิ่ง มือเติมฟืนเข้ากองไฟ หลิวปู้อยากจะคลายความตึงเครียดกับเริ่นเสี่ยวซู่ จึงรีบกล่าวสรรเสริญ “พวกคนในเมืองรู้เรื่องแดนรกร้างเยอะมากเลย เป็นขุมปัญญาของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง!” หลิวปู้ไม่รู้จะกล่าวสรรเสริญเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไร เลยพูดชื่นชมออกไปมั่วซั่ว ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่เห็นพ้องกับคำกล่าวของเขา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลิวปู้ แล้วว่า “ไม่ใช่ปัญญาเลิศเลอ ถ้ามีอาหารดีๆ กิน ใครมันจะไปกินรากสน ชาวเมืองรู้ว่ารากสนกินได้กันมานานแล้ว ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ก็คิดไปถึงว่าเมื่อก่อนต้องมีคนตายมากมายขนาดไหนเพราะขาดอาหาร” ในยุคที่ผู้อพยพอาจจะรอดไปไม่ถึงวันพรุ่ง ทุกอย่างที่ทำล้วนเพื่อเอาชีวิตรอด หลิวปู้แค่อยากพูดเลียเริ่นเสี่ยวซู่สักหน่อย แต่กลายเป็นว่าทำให้ตัวเองขายหน้ากว่าเดิมไปเสียฉิบ ลั่วซินอวี่พยายามคลายสถานการณ์ “พวกสัตว์ป่าตัวใหญ่ขึ้น แล้วทำไมมนุษย์ถึงตัวไม่ใหญ่ขึ้นด้วยล่ะ พวกเรากลับวิวัฒนาการจนมีผู้มีพลังพิเศษอย่างสูเสี่ยนฉู่แทน” “มนุษย์อาจจะกำลังวิวัฒนาการไปอีกทางก็ได้” สูเสี่ยนฉู่ว่า “จากโบราณกาลยันปัจจุบัน มนุษย์พัฒนาด้านสมองอยู่ตลอด” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันเคยได้ยินคำอธิบายหนึ่งมา เมื่อปีก่อน หลังจากหนีหมาป่ามาได้ฉันก็เกิดคำถามอยู่ข้อหนึ่ง เลยไปถามคุณจางที่โรงเรียน เขาบอกฉันว่า ‘ในธรรมชาติมีสิ่งมีชีวิตบางจำพวกที่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อขึ้นมาได้แม้ไม่ได้ใช้มันออกกำลังใด ในอดีตมีสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งเรียกว่าชิมแปนซี พวกมันถูกจับขังไว้โดยมนุษย์ ต่อให้พวกมันกินและก็นอนทุกวัน กลับยังมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามนุษย์อยู่ดี ส่วนมนุษย์นั้น ถ้าให้กินกับนอนอย่างเดียว กล้ามเนื้อคงเหลวไปแล้ว’ ” หยางเสียวจิ่นเอ่ย “คุณจางที่สอนที่โรงเรียนของนายไม่ใช่คนธรรมดา” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าหยางเสียวจิ่นตัดสินด้วยเกณฑ์อะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณจางไม่ใช่คนธรรมดาจริงหรือเปล่า เพียงรู้ว่าเขาเป็นคนดี เขาพูดต่อ “คุณจางบอกว่า ยีนในร่างกายมนุษย์จำกัดการพัฒนาของกล้ามเนื้อ และยีนนั้นก็ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เขายังบอกด้วยว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสติปัญญา” ทุกคนคิดตามไป ก็ตกอยู่ในภวังค์ คนที่มาจากชนชั้นสูงชอบออกกำลังกายลดน้ำหนัก จนตอนนี้แทบเป็นกระแสนิยมไปแล้ว กิจกรรมนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อสองปีก่อน ขนาดหลิวปู้เองยังเคยไปเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายกับพวกชนชั้นสูงเลย เขาเลยรู้ดีว่าจะสร้างกล้ามเนื้อผ่านทางการออกกำลังกายนั้นยากขนาดไหน ทว่าวินาทีต่อมา หยางเสียวจิ่นก็ราดน้ำเย็นใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันเคยเห็นผู้มีพลังพิเศษที่พัฒนาด้านร่างกายอยู่นะ แบบนั้นนายจะอธิบายยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะว่า “บรรพบุรุษเขาเป็นญาติกับสัตว์ป่าเปล่า?” หยางเสียวจิ่น “…” สูเสี่ยนฉู่ “…” หลิวปู้ “…” จู่ๆ ลั่วซินอวี่ก็ร่วมวงสนทนาด้วย “คุณจางประจำโรงเรียนของนายดูเก่งกาจไม่เบา เขาต้องรอบรู้มากเลยใช่ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบ “เขาก็รอบรู้พอตัวนะ แต่พอเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ระหว่างสอน ก็ชอบพูดมั่วซั่วไปเรื่อย” “ยามว่างเขาชอบอ่านหนังสือเกลาปัญญาให้เฉียบแหลมหรือเปล่า ในป้อมก็มีคนแบบนั้นเหมือนกัน” ลั่วซินอวี่เอ่ย “พวกเขาฉลาดมากเชียวแหละ” “ไม่นะ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ปกติเขาว่างเมื่อไรก็ปลูกผักที่ลานของโรงเรียนน่ะ” ลั่วซินอวี่พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ทำไมหลายๆ อย่างในเมืองถึงต่างไปจากที่เธอคิดได้ขนาดนี้ ถึงกระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าจางจิ่งหลินเป็นแบบนี้ถือว่าดีไม่น้อย อ่านตำรา แต่ไม่ดีแต่ท่องคัมภีร์ มากปัญญา แต่ยังใช้แรงงานขุดดินเป็น ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นดังมาจากในป่า ยามโซ่กระทบพสุธา บังเกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูดังมาให้ได้ยิน แหล่งกำเนิดเสียงนี้ดุจกำลังคืบคลานตามพื้น ลาดตระเวนในอาณาเขตตน พวกเริ่นเสี่ยวซู่สันหลังชาวาบ ดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ จะมีสิ่งชีวิตเดินทอดน่องในป่าในอย่างไร หรือว่าการอนุมานการณ์ของพวกเขาก่อนหน้าล้วนผิดหมด พวกสัตว์ป่าไม่ได้คิดหนีผืนป่าตัวป่าอะไรหรอก!

ทุกคนเพิ่งจะได้โล่งอกโล่งใจยกใหญ่ตอนเจอถ้ำไว้พัก ทว่าชั่วพริบตาก็ต้องเคร่งเครียดใหม่อีกครั้ง

“พวกเราควรหาที่ซ่อนอื่นไหม” มีคนกระซิบ “ถ้ามีตัวอะไรไม่รู้พุ่งออกมาจากป่าทำไง”

“ไม่ต้องไปไหนแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ขนาดพวกสัตว์ยังอยากมาหลบภัยที่นี่เลย แต่โดนพวกเราจองที่ไปก่อนแล้ว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วละว่าที่นี่น่าจะปลอดภัยพอควร”

“พวกมันกำลังหนีอะไรอยู่กันแน่” หลิวปู้มีคำถาม

สูเสี่ยนฉู่ หันไปมอง ณ ผืนป่านอกถ้ำ “พวกนั้นน่าจะพยายามหนีออกจากป่าอยู่ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นก็คือป่ายามค่ำคืน”

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ฉันก็คิดงั้น พวกสัตว์มีสัญชาตญาณรับรู้อันตรายดีกว่ามนุษย์ พวกนายสังเกตไหม ตอนที่พวกเราผ่านหุบเขา มีโครงกระดูกมนุษย์หลายโครงเลย แต่ว่าตั้งแต่เข้าป่ามา เรายังไม่เห็นซากกระดูกของสัตว์สักกะตัว แบบนี้ไม่ปกติแล้ว”

“ตราบที่เป็นสิ่งมีชีวิต ย่อมต้องมีเกิดมีตาย การที่พวกเราจะไม่เห็นเศษซากโครงกระดูกสัตว์สักชิ้นเลยเป็นไปไม่ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ฉันโยนเศษเนื้อกับกระดูกป่าไว้ที่ป่าทางทิศใต้ของหุบเขา พอไปดูอีกทีตอนเช้า พวกมันก็หายเกลี้ยงไปหมด ร่องรอยถูกขนย้ายก็ไม่มี แค่อยู่ๆ ก็หายไปแบบศพของสูเซี่ย ซากร่างหายไปแบบนี้มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือตอนหายไปต่างอยู่ในป่ากันทั้งสิ้น”

“อืม” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “แถมพวกสัตว์ป่ายังแสดงท่าทีว่ากลัวตัวป่ามากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ชอบมาพากลจริงๆ ด้วย”

พงพณาเขมือบร่าง…

คนอื่นๆ หันไปมองป่า เริ่มคิดแล้วว่าบางทีพืชพันธุ์ต้นไม้เองก็คงเกิดการวิวัฒนาการไม่ต่างกับพวกสัตว์

สูเสี่ยนฉู่พูดปลอบ “แต่เอาจริงๆ แบบนี้ก็ไม่เลว ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ารูปแบบเป็นยังไง จะได้รับมือได้ถูก”

ความกลัวที่ไม่รู้กลายเป็นความกลัวที่รู้ ทั้งเข้าใจลักษณะกลไก ความกลัวย่อมลดทอนลงไป

คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวก่อนหน้าก็คลายลงไปบ้าง หวังเหลยยิ้ม พลางว่า “แสดงว่าเราต้องหาจุดเหมาะตั้งแคมป์ก่อนที่ฟ้าจะมืดเอาสินะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ระวังฟ้ามืดไม่พอ ตอนฟ้าสว่างเองก็ต้องระมัดระวังด้วย พวกเราไม่รู้หรอกว่าพืชพันธุ์สัตว์ป่ามันวิวัฒน์จนสามารถกินคนได้กลางวันแสกๆ หรือเปล่า”

“งั้นพวกเราจะเดินทางตรงที่โล่งตามสันเขาเอา!” สูเสี่ยนฉู่ตัดสินใจได้แล้ว

ทุกคนกลับไปเคี้ยวรากสนกันต่อ ก่อนจะมีคนโพล่งถาม “เริ่นเสี่ยวซู่ นายรู้ได้ไงว่ารากสนกินได้”

“ฉันไม่ได้เป็นคนพบว่ามันกินได้ แต่มีคนในเมืองเล่าให้ฟัง” เริ่นเสี่ยวสู่พูดนิ่ง มือเติมฟืนเข้ากองไฟ

หลิวปู้อยากจะคลายความตึงเครียดกับเริ่นเสี่ยวซู่ จึงรีบกล่าวสรรเสริญ “พวกคนในเมืองรู้เรื่องแดนรกร้างเยอะมากเลย เป็นขุมปัญญาของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง!”

หลิวปู้ไม่รู้จะกล่าวสรรเสริญเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไร เลยพูดชื่นชมออกไปมั่วซั่ว

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่เห็นพ้องกับคำกล่าวของเขา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลิวปู้ แล้วว่า “ไม่ใช่ปัญญาเลิศเลอ ถ้ามีอาหารดีๆ กิน ใครมันจะไปกินรากสน ชาวเมืองรู้ว่ารากสนกินได้กันมานานแล้ว ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ก็คิดไปถึงว่าเมื่อก่อนต้องมีคนตายมากมายขนาดไหนเพราะขาดอาหาร”

ในยุคที่ผู้อพยพอาจจะรอดไปไม่ถึงวันพรุ่ง ทุกอย่างที่ทำล้วนเพื่อเอาชีวิตรอด

หลิวปู้แค่อยากพูดเลียเริ่นเสี่ยวซู่สักหน่อย แต่กลายเป็นว่าทำให้ตัวเองขายหน้ากว่าเดิมไปเสียฉิบ

ลั่วซินอวี่พยายามคลายสถานการณ์ “พวกสัตว์ป่าตัวใหญ่ขึ้น แล้วทำไมมนุษย์ถึงตัวไม่ใหญ่ขึ้นด้วยล่ะ พวกเรากลับวิวัฒนาการจนมีผู้มีพลังพิเศษอย่างสูเสี่ยนฉู่แทน”

“มนุษย์อาจจะกำลังวิวัฒนาการไปอีกทางก็ได้” สูเสี่ยนฉู่ว่า “จากโบราณกาลยันปัจจุบัน มนุษย์พัฒนาด้านสมองอยู่ตลอด”

เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันเคยได้ยินคำอธิบายหนึ่งมา เมื่อปีก่อน หลังจากหนีหมาป่ามาได้ฉันก็เกิดคำถามอยู่ข้อหนึ่ง เลยไปถามคุณจางที่โรงเรียน เขาบอกฉันว่า ‘ในธรรมชาติมีสิ่งมีชีวิตบางจำพวกที่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อขึ้นมาได้แม้ไม่ได้ใช้มันออกกำลังใด ในอดีตมีสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งเรียกว่าชิมแปนซี พวกมันถูกจับขังไว้โดยมนุษย์ ต่อให้พวกมันกินและก็นอนทุกวัน กลับยังมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามนุษย์อยู่ดี ส่วนมนุษย์นั้น ถ้าให้กินกับนอนอย่างเดียว กล้ามเนื้อคงเหลวไปแล้ว’ ”

หยางเสียวจิ่นเอ่ย “คุณจางที่สอนที่โรงเรียนของนายไม่ใช่คนธรรมดา”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าหยางเสียวจิ่นตัดสินด้วยเกณฑ์อะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณจางไม่ใช่คนธรรมดาจริงหรือเปล่า เพียงรู้ว่าเขาเป็นคนดี

เขาพูดต่อ “คุณจางบอกว่า ยีนในร่างกายมนุษย์จำกัดการพัฒนาของกล้ามเนื้อ และยีนนั้นก็ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เขายังบอกด้วยว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสติปัญญา”

ทุกคนคิดตามไป ก็ตกอยู่ในภวังค์ คนที่มาจากชนชั้นสูงชอบออกกำลังกายลดน้ำหนัก จนตอนนี้แทบเป็นกระแสนิยมไปแล้ว กิจกรรมนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อสองปีก่อน

ขนาดหลิวปู้เองยังเคยไปเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายกับพวกชนชั้นสูงเลย เขาเลยรู้ดีว่าจะสร้างกล้ามเนื้อผ่านทางการออกกำลังกายนั้นยากขนาดไหน

ทว่าวินาทีต่อมา หยางเสียวจิ่นก็ราดน้ำเย็นใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันเคยเห็นผู้มีพลังพิเศษที่พัฒนาด้านร่างกายอยู่นะ แบบนั้นนายจะอธิบายยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะว่า “บรรพบุรุษเขาเป็นญาติกับสัตว์ป่าเปล่า?”

หยางเสียวจิ่น “…”

สูเสี่ยนฉู่ “…”

หลิวปู้ “…”

จู่ๆ ลั่วซินอวี่ก็ร่วมวงสนทนาด้วย “คุณจางประจำโรงเรียนของนายดูเก่งกาจไม่เบา เขาต้องรอบรู้มากเลยใช่ไหม”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบ “เขาก็รอบรู้พอตัวนะ แต่พอเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ระหว่างสอน ก็ชอบพูดมั่วซั่วไปเรื่อย”

“ยามว่างเขาชอบอ่านหนังสือเกลาปัญญาให้เฉียบแหลมหรือเปล่า ในป้อมก็มีคนแบบนั้นเหมือนกัน” ลั่วซินอวี่เอ่ย “พวกเขาฉลาดมากเชียวแหละ”

“ไม่นะ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ปกติเขาว่างเมื่อไรก็ปลูกผักที่ลานของโรงเรียนน่ะ”

ลั่วซินอวี่พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ทำไมหลายๆ อย่างในเมืองถึงต่างไปจากที่เธอคิดได้ขนาดนี้

ถึงกระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าจางจิ่งหลินเป็นแบบนี้ถือว่าดีไม่น้อย อ่านตำรา แต่ไม่ดีแต่ท่องคัมภีร์ มากปัญญา แต่ยังใช้แรงงานขุดดินเป็น

ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นดังมาจากในป่า

ยามโซ่กระทบพสุธา บังเกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูดังมาให้ได้ยิน แหล่งกำเนิดเสียงนี้ดุจกำลังคืบคลานตามพื้น ลาดตระเวนในอาณาเขตตน

พวกเริ่นเสี่ยวซู่สันหลังชาวาบ ดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ จะมีสิ่งชีวิตเดินทอดน่องในป่าในอย่างไร หรือว่าการอนุมานการณ์ของพวกเขาก่อนหน้าล้วนผิดหมด

พวกสัตว์ป่าไม่ได้คิดหนีผืนป่าตัวป่าอะไรหรอก!

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset