เสียงปืนที่ดังสนั่นในป่าเบื้องหน้าพลันหยุดลง ดูเหมือนสมาคมตระกูลชิ่งคงกวาดล้างบริเวณรอบนอกเสียราบคาบแล้ว
สูเสี่ยนฉู่กระซิบกับเริ่นเสี่ยวซู่ “จากนี้สมาคมตระกูลชิ่งจะตั้งหอสังเกตการณ์รอบๆ ค่ายแล้ว แต่ถึงพวกเขาจะมีกำลังคนถึงขนาดนั้นก็เถอะ คนแค่หลายร้อยไม่น่าจะควบคุมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ได้เบ็ดเสร็จหรอก”
“กองพลน้อยของสมาคมตระกูลชิ่งมีกำลังพลเท่าไรกันแน่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
สูเสี่ยนฉู่ชะงักไป ก่อนจะตอบ “ประมานสี่-ห้าพัน แต่พวกเขาไม่มีทางเคลื่อนพลมากันหมดแน่ ยังไงก็ต้องรักษาความเรียบร้อยในป้อมปราการอยู่”
“ไม่” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ทางป้อมปราการไม่น่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แค่ไม่กี่วันคนในป้อมไม่กล้าก่อกบฏหรอก ไม่มีทางแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องเผื่อใจไว้ อาจจะต้องเผชิญกับกองกำลังเต็มสูบหลายพันนาย”
“อืม” สูเสี่ยนฉู่เข้าใจดี เพียงหวังว่าจะโชคดีไม่เจออะไรเช่นนั้น เขาวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนกล่าว “แต่เอาจริงๆ พวกเขาก็คงไม่น่าเคลื่อนกำลังมาหมดหรอก เสบียงที่ใช้บำรุงทหารหลายพันนายในภารกิจสำรวจเขาจิ้งซาน ป้อมปราการต่างๆ ส่งมาเรื่อยๆ ติดต่อกันหลายวันไม่ไหวหรอก ไม่ใช่ว่าเสบียงไม่พอนะ แต่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง การขนส่ง กำลังคน และปัญหายิบย่อยอื่นๆ อีกให้ต้องสนใจ พวกทหารนำปืนกับระเบิดมาจำนวนมากด้วย ฉันเชื่อว่าหน่วยที่เดินทางมาถึงเขาจิ้งซานก่อนน่าจะอยู่ราวๆ หนึ่งพันนาย หลังจากคำนวณคร่าวๆ แล้วน่ะนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดตาม ในแง่ปฏิบัติการทางทหาร สูเสี่ยนฉู่มีมุมมองที่เชี่ยวชาญมากกว่าเขา เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ฉันเชื่อคำตัดสินของนาย แต่ก็ยังไงฉันก็ยังยืนกรานคำเดิม ถ้าหอสังเกตการณ์ทำให้พื้นที่กระชับรัดกุมมากไป ฉันพร้อมจะอ้อมภูเขาตรงไปป้อมปราการ 112 ทันที”
“ได้” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า เขารู้ดีว่าการตัดสินใจของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นไม่ผิดเลย อย่างไรเสียถ้าเขา เริ่นเสี่ยวซู่ และหยางเสียวจิ่นต้องรับมือกับคนนับพันจริง พวกเขาคงเละไม่เหลือซาก ใบหน้าของสูเสี่ยนฉู่ปรากฏแววความหนักแน่นประการหนึ่ง “ถ้าเราต้องเล่นแบบสงครามกองโจร ต้องสละสามคนนั้นไป พวกเขาตามการเคลื่อนไหวของพวกเราไม่ทันหรอก…เดี๋ยวก่อน!”
ขณะสูเสี่ยนฉู่พูด จู่ๆ เขาก็ชะงักงันไป จากนั้นก็หันไปรอบๆ พลางถาม “หยางเสียวจิ่นอยู่ไหน”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ หลังจากหันมองซ้ายขวา ก็หันไปถามหลิวปู้อยู่ที่อยู่รั้งท้าย “นายเห็นหยางเสียวจิ่นไหม”
“ไม่นะ ไม่ทันดูเลย” หลิวปู้ว่าด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ทุกคนพลันสังเกตว่า ระหว่างการเดินทางนี้ หยางเสียวจิ่นหายไปโดยไม่มีใครรู้ตัวเลย!
ถ้าเป็นหลิวปู้หายไป เริ่นเสี่ยวซู่คาดเดาไปแล้วว่าเขาคงโดนตัวอะไรสักอยากฉกไปแน่ แต่ถ้าเป็นหยางเสียวจิ่น ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด!
เริ่นเสี่ยวซู่ และสูเสี่ยนฉู่ต่างเห็นพ้องว่าหลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยเป็นตัวภาระ ทว่า ณ จุดๆ นี้เขาพลันรู้ตัวว่า หยางเสียวจิ่นต่างมองพวกเขาห้าคนเป็นตัวภาระ!
จุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาที่นี่ของหยางเสียวจิ่นคืออะไรกันแน่ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเธอคงไม่ได้กำลังตามล่าความลับแห่งเขาจิ้งซานอยู่แน่นอน!
หยางเสียวจิ่นซุกซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่หันขวับมองหน้ากัน ราวกับพวกเขาทั้งสองเกิดความคิดเดียวกันในบัดดลนั้น
“คือ…” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างมั่นหน้า “หยางเสียวจิ่นคงตามมาไม่ทัน ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม ยังไงก็ต้องแยกกันออกไปตามหาเธอ อยู่ๆ หยางเสียวจิ่นก็อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ คงไม่ปลอดภัยแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่กับสูเสี่ยนฉู่เดินแยกออกไปคนละทาง หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยหันไปมองข้างหลังแกมสงสัยว่า หยางเสียวจิ่นหายไปอย่างเงียบเชียบได้อย่างไร หลิวปู้เอ่ยถาม “พวกนายรู้สึกไหมว่าหยางเสียวจิ่นทำตัวแปลกมากๆ เลยน่ะ เธอจ่ายเงินพวกเราเพื่อให้ได้ร่วมคณะ แต่เธอมีจุดประสงค์อื่นในการมาที่นี่แหง…”
หลิวปู้หันกลับไปยังทางที่เริ่นเสี่ยวซู่และสูเสี่ยนฉู่เดินไป ทว่า…พวกเขาสองคนกลับหายไปแล้ว!
เชี่ยอะไรเนี่ย!
แยกกันไปหาเธอผายลมสิ ดูก็รู้พวกเอ็งสองคนคิดทิ้งพวกเราไป!
พอใกล้ถึงหลังเขาจิ้งซาน เริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่น ก็ต่างตัดสินใจจะทิ้งภาระของพวกเขากันไปติดๆ
พวกเขาก็ทราบดีว่ากองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งร้ายกาจขนาดไหน ไม่ว่าลอบโจมตีหรืออ้อมพวกนั้นไป พวกเขาไม่สามารถพาหลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยไปด้วยได้อยู่ดี
แถมพวกเขาไม่ได้มีเยื่อใยอะไรกัน บุญคุณก็ไม่มี จึงตัดสินใจสละคนทิ้งได้ง่ายสะดวกปลอดโปร่งมาก
ทว่าเริ่นเสี่ยวชู่ก็อดรู้สึกว่ามันน่าเสียดายอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ เพราะหลายวันนี้อุตส่าห์พยายามหาวิธีให้ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากคนพวกนี้ หลังจากลงทุนแรงไปไม่น้อย จนได้มาทั้งหมดเก้าสิบสามเหรียญ ถ้าต้องแยกทางกันตอนนี้จนเหลือเพียงตัวคนเดียว จะหาเหรียญคำขอบคุณเพิ่มคงไม่ง่ายแล้ว
หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยยืนหน้าซีดอยู่กับที่ ตอนแรกกะไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมตระกูลชิ่ง แต่ก็พบว่าอาจจะถูกฆ่าได้ จึงคิดว่าการได้ออกไปจากที่นี่กับเริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่นก็ไม่เลวนัก แต่พวกเขากลับต้องตะลึงไป เจ้าพวกสามตัวนั้นหนีไปทีละคนสองคนเสียฉิบ!
ขณะกำลังทำตัวไม่ถูกนั้น หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยก็ได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นดังเข้าหูมา!
สันหลังชาวาบ ไหนพวกเขาบอกว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นไม่เคลื่อนไหวตอนกลางวันไง แล้วทำไมมันถึงตามพวกตนมาได้ล่ะ!
พวกเขายังจำภาพสภาพศพน่าอดสูของสูเซี่ยกับภาพพวกสัตว์ที่หนีออกจากป่าของเมื่อคืนก่อนได้อยู่เลย หลิวปู้ยังจำเสียงน้ำลายหยดแหมะกระทบใบไม้ของเจ้าสัตว์ประหลาดได้ด้วยซ้ำ
วินาทีต่อมา หลิวปู้กลับหลังหันวิ่งหนีไปในทันที ไม่สนใจแล้วว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะฆ่าปิดปากเขาหรือเปล่า เขายังไม่อยากตายตอนนี้!
พอหลิวปู้เริ่มวิ่ง อีกสองก็ตามไปในทันควัน แต่หลิวปู้ก็พบว่าตนเองวิ่งไม่เร็วเท่าหวังเหลยและลั่วซินอวี่
ถึงก่อนหน้านี้หวังเหลยจะได้รับบาดเจ็บ แต่สองวันก่อนก็ฟื้นฟูหมดเรียบร้อยจากผลอัศจรรย์ของยาดำ หวังเหลยโดนเจ้าสัตว์ประหลาดลึกลับที่ตามหลังมาทำขวัญหนีดีฝ่อ ทว่าพอเขาวิ่งผ่านหลิวปู้ หวังเหลยก็เห็นว่าหลิวปู้ยืนขามาขัดเขาไว้!
เกิดเสียงดังตึง หวังเหลยล้มลงกับพื้นอย่างแรง หลิวปู้ได้แต่ขอโทษขอโพยในใจ ต้องมีคนเสียสละ คนที่เหลือจะได้รอดชีวิต!
หลิวปู้วิ่งหนีเร็วสุดชีวิต แต่ก่อนที่จะวิ่งไปได้ไกล เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหวังเหลย พร้อมกับเสียงเคี้ยวเนื้อดังสะท้านก้อง!
เสียงกรีดร้องของหวังเหลยดังเข้าหูมาราวกับผีโหยหวน ทว่าเสียงนั้นดังอยู่ไม่นานนักก็ดับไป
เสียงลากโซ่ดังมาให้ได้ยินอีกครา เจ้าสัตว์ประหลาดเริ่มออกตัวไล่ล่าอีกหน!
หลิวปู้สิ้นหวังแล้ว รอบนี้เขาคิดจะดึงตัวลั่วซินอวี่ให้ล้มบ้าง แต่ก็พบว่าเธอหนีไปไกลแล้ว
“ใครน่ะ” มีเสียงดังออกมาจากป่าเบื้องหน้า หลิวปู้หรี่ตามอง ก่อนจะพบคนใส่เครื่องแบบสีดำ ในมือถือปืนไว้
เขาเห็นทหารจากสมาคมนายนั้นทำสัญญานมือหลายท่า ก่อนจะมีทหารกว่ายี่สิบนายปรากฏตัวตัวจากป่าด้านข้าง จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ มุ่งหน้ามายังหลิวปู้ เป็นกองทหารหน่วยรบหนึ่ง!
หัวหน้าหน่วยสั่ง “คุกเข่า ยกมือขึ้นวางเหนือศีรษะ!”
หลิวปู้รีบคุกเข้าลงกับพื้น ด้วยรู้ดีว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งนั้น ทหารพวกนี้คงลงมือยิงเขาในทันที ตอนนี้ได้ต้องฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาแล้ว!
เสียงโซ่คืบใกล้ เมื่อเจ้าของเสียงปรากฏตัว พวกทหารก็ตะโกนใส่หูฟังไร้สายที่อยู่ในหมวก “ส่งกำลังเสริมมาด่วน พวกเราพบตัวทดลองที่หลบหนีไปแล้ว! ยิง!”
เสียงปืนดังลั่นสนั่นป่า!!