สู่หมานระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกทำเป็นไม่พบไม่เห็นอะไร เดินผ่านห้างสรรพสินค้าไปอย่างหน้าตาเฉย แต่พอมั่นใจแล้วว่าพวกตนอยู่ห่างออกไป ก็หันไปสั่งให้ทหารเข้าล้อมห้าง
ทหารหน่วยหนึ่งค่อยๆ เดินกลับไป ส่วนอีกห้าหน่วยก็ตามไปติดๆ อุปกรณ์สำหรับการสื่อสารไร้สายในหมวกพวกเขานั้นสะดวกรวดเร็วเกินกว่าจะจินตนาการได้
สู่หมานนำกำลังทหารมุ่งไปทางทางเข้าห้างอย่างช้าๆ ทำท่าราวกับว่าหันกลับมาก็เพราะสำรวจพื้นที่แถวนั้นไปหมดแล้ว การเคลื่อนไหวไม่ผิดธรรมชาติแม้แต่นิด พื้นรองเท้าทหารแข็งมาก เวลาเดินบนถนนคอนกรีตยากจะเก็บเสียงสนิท ดังนั้นแสร้งเป็นลาดตระเวนธรรมดาจะดีกว่า
ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงฝีเท้ากลับมา เขาก็ลอบถอนลมหายใจในใจ ว่าอยู่แล้วเชียวว่าคนเราจะใช้โชคเอาตัวรอดได้นานขนาดไหนกัน ถ้าตนเองยังคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่พบตัวเขา เขาคงโง่ชะมัดยาดแล้ว
ที่สมาคมตระกูลชิ่งพลันกลับมานั้น จะแสดงละครไปก็เท่านั้น เริ่นเสี่ยวซู่ทราบได้อยู่แล้วว่าที่กลับมาต้องมีเหตุ ตอนนี้ใจของเริ่นเสี่ยวซู่เจ็บแปลบปลาบ เขาค่อยๆ วางเสื้อแจ็กแก็ตห่อทองลงกับพื้น ต้องสละทองเสียแล้ว
ตอนนี้ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด จะมาเสี่ยงพาทองไปด้วยคงไม่ได้
ต่อให้มีพละกำลังมากมายเพียงไร แบกทองกองใหญ่ก็ทำให้ฝีเท้าช้าลงอยู่ดี หรือแย่ไปกว่านั้น สมดุลร่างกายเขาจะเสีย
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเงินเช่นเครื่องมือ นิยมชมชอบ แต่ไม่ลุ่มหลง เงินหาเมื่อไรก็ได้
นอกจากจะทิ้งทองแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มีแผนจะคิดทิ้งเสื้อแจ็กเก็ตด้วย เพราะถ้าเอาเครื่องทองออกจากเสื้อ จะเกิดเสียงดังเกินไป
เขาหันกลับ และวิ่งย่องลึกเข้าไปในห้าง ห้างนี้ใหญ่โตมาก แถมยังมีหลายชั้น
ทหารน่าจะมาล้อมตึกไว้หมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงดูว่านอกประตูนั่นจะมีทหารอยู่หรือเปล่า เกิดเขาเปิดประตูปุ๊บ กระสุนสาดมาปั๊บจะทำอย่างไร เขาคงได้ซี้แหงแก๋แน่นอน ว่าแล้วเริ่นเสี่ยวซู่จึงวิ่งขึ้นไปชั้นบน
จากที่เขาจำได้ ข้างๆ ห้างมีตึกอีกแห่งที่สูงพอๆ กัน ห้างนี้ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ที่มั่งคั่งที่สุดของเมือง ดังนั้นบริเวณโดยรอบย่อมมีตึกอื่นอีก
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนใจร้อน สู่หมานอาจจะเดาได้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ในห้างจากความช่างสังเกต แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็มีแผนหลบหนีไว้ก่อนแล้วในหัวเช่นกัน
สองตึกนี้ห่างกันราวๆ ยี่สิบเมตร และเริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าด้วยพละกำลังและความคล่องแคล่วของตน เขาสามารถกระโดดข้ามไปได้สบาย
สู่หมานค่อยๆ นำกำลังทหารเข้าไปในห้าง พวกเขาเปิดไฟฉายยุทธวิธีเรียบร้อย พลางย่างทะลวงเข้าไปในความมืด
ทว่าเข้าตึกไปไม่นานนัก สู่หมานก็เห็นเสื้อแจ็กเก็ตและทองคำที่เริ่นเสี่ยวซู่ทิ้งไว้อยู่บนพื้น
เขากล่าวผ่านช่องสื่อสาร “ยืนยันพบร่องรอยเป้าหมาย เป้าหมายทราบแล้วว่าถูกพวกเราไล่ล่า และกำลังหนีไปอีกทาง! เป้าหมายรอบคอบมาก!”
เสียงของชิ่งเจิ่นดังเข้ามาในช่องสื่อสาร “รู้หรือยังว่าเป็นใคร”
สู่หมานคิด ก่อนจะตอบ “น่าจะเป็นผู้อพยพเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ยังไม่เห็นตัวเป้าหมาย เลยไม่ทราบแน่ชัด”
“ถ้าไม่เห็นแล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นเริ่นเสี่ยวซู่” ชิ่งเจิ่นถาม “เจอร่องรอยอะไรหรือเปล่า”
สู่หมานนิ่งไป แล้วว่า “พวกเราเจอทองกองหนึ่ง…เดาว่าเจ้าเด็กนั่นน่าจะอยากได้ทอง”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ เห็นด้วยกับคำกล่าวของสู่หมาน สู่เสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นออกมาตามหาความลับแห่งเขาจิ้งซานแน่นอน ดังนั้นสองคนนั้นไม่น่าสนใจพวกทองคำอะไรหรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขาในตอนนี้น่ะนะ
ใครเขาจะออกมาเจออันตรายและเรื่องขวัญผวาทั้งหลายแหล่เพื่อมาหอบทองสักกระบุงหนีกัน
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยิน เขาคงกล่าวคัดค้านแน่นอน ทองคำออกจะน่ารักน่าเอ็นดู ทำไมถึงหอบหนีไปไม่ได้!
หลัวหลานกับหลิวปู้เคยกล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเพียงผู้อพยพคนหนึ่ง แต่ชิ่งเจิ่นไม่ได้หลงเชื่อเสียหมด
เขาเป็นคนขี้ระแวง ต่อให้ทุกคนบอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ผู้อพยพ เขาก็ไม่มีทางดูแคลนเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเด็ดขาด เริ่นเสี่ยวซู่อาจจะแสดงละครมาตลอด และตัวตนจริงๆ อาจจะไม่ใช่ผู้อพยพธรรมดาอย่างที่คนอื่นเชื่อก็ได้
ทุกคนที่มาที่นี้ อาจจะมุ่งหวังความลับแห่งเขาจิ้งซาน พวกเขาอาจจะมีตัวตนอื่นอีก
แต่กระนั้น ชิ่งเจิ่นก็หัวเราะฮาฮาออกมา เขาพลันรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะไม่ได้สนใจความลับเขาจิ้งซานจริงๆ ก็ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็เห็นว่าทองสำคัญกว่าความลับของที่นี่ก็แล้วกัน
ชิ่งเจิ่นว่า “เริ่นเสี่ยวซู่ผู้นี้น่าสนใจไม่เลว จับตัวเขากลับมาให้ฉัน”
“รับทราบ”
วินาทีต่อมา กำลังหหารของสมาคมตระกูลชิ่งก็กรูกันเข้าห้างไปราวอสรพิษร่างทมิฬ
“เป้าหมายหลบหนีไปทางชั้นสอง”
“เป้าหมายหลบหนีไปทางชั้นสาม”
สู่หมานฟังคำรายงานปฏิบัติการผ่านช่องสื่อสาร ตอนนี้ทหารพบรอยเท้าของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว พื้นในตึกล้วนปกคลุมด้วยฝุ่นหนาอายุหลายปี เคยเหยียบลงย่อมทิ้งรอยเท้าไว้
การได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ไหนเป็นเรื่องดีไม่น้อย แต่สู่หมานกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ตึกนี้มีหกชั้น รวมสูงแล้วน่าจะอยู่ระหว่างสามสิบถึงสี่สิบเมตร ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่หนีขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะไปเจอทางตันที่ชั้นบนสุดอยู่ดี!
เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง ทำไมถึงหนีไปทางตัน
ขณะสู่หมานนำกำลังทหารขึ้นไป เขาก็นึกใคร่ครวญเหตุตอนเจอเริ่นเสี่ยวซู่ หลังจากเด็กหนุ่มรู้ว่าตนกับพวกทหารกลับมาที่ตึก เขาก็ทิ้งทองทันที แถมยังเริ่มหนีไปอย่างด่วนจี๋
คนผู้นี้นิยมชมชอบเงินตรา ทว่าไม่โลภโมโทสัน พอรู้ว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ก็ไม่ยอมเสี่ยงชีวิตและพร้อมทิ้งทองในทันควัน
ถ้ายึดตามธรรมชาติของคนทั่วไป ก็คงหนีไปแบกทองไปอยู่พักหนึ่ง พอรู้ว่าทองมีแต่จะเป็นภาระในการหลบหนี ก็คงต้องตัดสินใจจะทิ้งทองไปในตอนนั้น ธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นนี้แล
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น วิธีที่เขาทิ้งทองดูเด็ดขาดมาก
สู่หมานพลันเข้าใจแล้วว่าเด็กหนุ่มที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ไม่ธรรมดาเลย เป้าหมายมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดแรงกล้ามาก แถมยังมีสติสัมปชัญญะที่แจ่มใส
และต่อให้เป้าหมายเป็นคนโง่ขั้นสุดจริง เขาก็จะรับมือดั่งเช่นผู้ที่ฉลาดที่สุดอยู่ดี หลักการในการสู้รบคือเช่นนี้!
ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่หนีไปข้างบนแบบนี้ แสดงว่าที่นั่นมีทางหนีสินะ?
แต่ดูยังไงนี่เป็นแค่ตึกโดดๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่วิ่งไปไหนกัน
ไม่ดีแล้ว!
สู่หมานจำได้ทันทีที่ว่าข้างห้างมีอีกตึกหนึ่งอยู่ อยู่ห่างไปไม่กี่สิบเมตร และก็เตี้ยกว่าตึกที่เขาอยู่นิดหน่อย แสดงว่าเริ่นเสี่ยวซู่คิดกระโดดหนีไปสินะ!
สู่หมานไม่ทันคิดเรื่องนี้มาก่อน ด้วยเชื่อว่าเริ่นเสี่ยวซู่คงกระโดดข้ามไปอีกตึกไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทำไม่ได้
เรื่องเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เรามักใช้ความสามารถของตัวเองไปวัดความสามารถของผู้อื่น ถ้าตนเองทำไม่ได้ ผู้อื่นย่อมทำไม่ได้
แต่แม้สู่หมานจะไม่สามารถ ก็ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่สามารถตาม!
สู่หมานคะคอกใส่ช่องสื่อสารทันที “หน่วยที่อยู่นอกตึก รีบไปกระชับพื้นที่ตึกข้างเคียง เดี๋ยวนี้!”