เริ่นเสี่ยวซู่พุ่งทะยานเข้าป่านอกเมืองไป เขามุ่งไปป้อมปราการ 112 ทางทิศเหนือ และก็เป็นทิศเดียวกับที่มีภูเขามีพลัง[1]อยู่ด้วย
เขารู้ดีว่าข้างหน้าตนมีทหารคอยต้อนรับอยู่ พอเขาเข้าไปคงได้แต่ค่อยๆ ถูกรวบ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีทางอื่นแล้ว มีแต่ต้องไปทางนี้ต่อ ถึงจะมีชีวิตรอดสืบไป!
แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังก้องมาจากส่วนลึกในหลังเขาของเขาจิ้งซาน เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าขึ้นมองยังทางภูเขา ก่อนจะเห็นว่าในเทือกเขาไกลๆ มีประกายไฟปะทุวูบวาบออกมา!
เดี๋ยวนะ ภูเขาไฟจะระเบิดแล้ว!
ควรวิ่งไปต่อหรือหันกลับดี?
เริ่นเสี่ยวซู่กัดฟันกรอด มันใช่เวลามาสนใจเรื่องภูเขาไฟระเบิดไหม ที่ต้องสนตอนนี้คือเขาจะรอดหรือไม่รอดต่างหาก!
ข้างหลังเริ่นเสี่ยวซู่เป็นสู่หมานที่พอเห็นภูเขาไฟกำลังปะทุก็ร่างแข็งค้างไป มุ่งไปทางบริเวณที่ภูเขากำลังปะทุอยู่อันตรายมาก ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้อีกนิดละก็ เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นมา จะหันหลังหนีตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว!”
มีคนไม่น้อยคิดว่ามีแต่สัตว์บริเวณรอบภูเขาไฟเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบการระเบิดของภูเขาไฟ ทว่าคิดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นอำนาจของภูเขาไฟระเบิดเกินไปแล้ว!
บริเวณรอบหลายสิบกิโลเมตรถึงหลายร้อยกิโลเมตรอาจจะกลายเป็นทะเลเพลิง!
ทว่าสู่หมานชะงักเพียงชั่วครู่ ก็พูดผ่านช่องสื่อสารว่า “ตามต่อ!”
เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงชานเมืองแล้ว เขาหันไปรอบๆ และเหลือบไปมองทางด้านหลัง ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งที่โหมมาราวพายุทรายทมิฬนั้นใกล้จะมาถึงตัวเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รีรออะไรต่อ หันกลับไปทะยานร่างสู่ป่าทางทิศเหนือ!
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งที่แยกกันเฝ้าตามจุดต่างๆ ในป่า ค่อยๆ กระชับวงล้อมมา ยุทธวิธีเคลื่อนพลไม่ธรรมดา
การเคลื่อนพลเช่นนี้ราวกับผ่านการฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับหลายร้อยหลายพันครั้ง ทหารในหน่วยล้วนรู้ว่าใครจะเดินนำหน้า และรู้ว่าใครจะคอยคุ้มกันหลังให้
หน่วยในป่าทางทิศเหนือได้รับคำสั่งให้ล้อมจับเริ่นเสี่ยวซู่ให้ได้ แม้มีเสียงระเบิดของภูเขาตามไล่หลังมา ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
ทันใดนั้นเสียงของสู่หมานก็ดังผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “เป้าหมายสามารถวิ่งร้อยเมตรได้ใน 3.92 วินาที พละกำลังไม่ทราบ ทุกหน่วยพบเป้าหมายจับตายได้เลย”
บางทีแม้แต่ตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองก็จินตนาการไม่ออกหรอกว่า สมาคมตระกูลชิ่งครอบครองวิทยาการถึงระดับไหน ในหมู่ทหารเองยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดระดับพลังและความเร็วของเป้าหมายด้วยซ้ำไป
แต่เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ยังไม่ได้แสดงพละกำลังและความเร็วที่แท้จริงออกไปเช่นกัน กองกำลังของสมาคมจึงยังไม่สามารถประเมินเขาได้อย่างจริงแท้
ก่อนหน้านี้ชิ่งเจิ่นสนใจในตัวเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น้อย ทั้งว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีสายสัมพันธ์กับจางจิ่งหลินอีก ชิ่งเจิ่นจึงคิดเก็บเริ่นเสี่ยวซู่ไว้
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว
พบเห็นให้จับเป็นหรือจับตายห่างกันเพียงเส้นบางๆ
กองกำลังในป่าทั้งเจ็ดหน่วยดึงคันรั้งปืนกันแทบจะในเวลาเดียวกัน ปลายกระบอกปืนชี้ลงพื้น พร้อมยกปืนขึ้นเล็งยิงได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ทหารจากทั้งเจ็ดหน่วยยังเปลี่ยนคลื่นความถี่ในช่องสื่อสาร นี่ก็เพื่อกันไม่ให้มีการสื่อสารอื่นมาแทรกระหว่างออกปฏิบัติการ ตอนนี้ทหารทั้งสองร้อยสิบนายเป็นหน่วยแยกอิสระในทำเนียบกำลังรบ[2] สามารถลงมือก่อนรายงานทีหลัง!
กองกำลังภายใต้คำสั่งของชิ่งเจิ่นมักจะปฏิบัติเช่นนี้เสมอ เขาคิดว่าถ้าหน่วยอิสระไม่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ ก็ไม่ต่างจากอาวุธสงครามที่ไร้พิษสง
ระดับเบื้องบนในสมาคมตระกูลชิ่งวิจารณ์การบัญชาการทหารของชิ่งเจิ่นแบบนี้มาก่อน แต่ชิ่งเจิ่นกลับไม่นำพาข้อวิจารณ์พวกนั้น เมื่อก่อนไม่ยอมรับ ในอนาคตก็จะไม่ยอมรับ
ทว่าเหล่าคนสำคัญในสมาคมตระกูลชิ่งไม่รู้เลย ด้วยการบัญชาการเช่นนี้ของชิ่งเจิ่น ทำให้มีทหารไม่น้อยพร้อมติดตามเขา เพราะเขาทำให้พวกทหารรู้สึกว่าตนได้รับความไว้วางใจ
ตอนนี้ชิ่งเจิ่นกำลังมองหลิวปู้ที่นอนจมกองเลือดอยู่ ทหารบางนายกำลังเข้ามาค้นศพของหลิวปู้อีกรอบ สุดท้ายก็เจอเพียงแต่ตุ๊กตาขาดวิ่นที่ถูกพับไว้ “เป็นของที่เขาพกไปไหนมาไหน”
ชิ่งเจิ่นขมวดคิ้ว “มันคืออะไรล่ะเนี่ย”
ดูเหมือนว่าแม้คนอย่างชิ่งเจิ่นก็ไม่เคยเจอของหน้าตาแบบนี้มาก่อน…
…
กองกำลังในป่าค่อยๆ กระชับวงล้อมเข้าไป ทั้งเปิดไฟฉายยุทธวิธีเรียบร้อย
จากข้อมูลที่สู่หมานได้มาจากหลิวปู้ เริ่นเสี่ยวซู่น่าจะมีปืนพกติดตัวไว้ นอกจากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ยังชิงแมกกาซีนมาจากทหารกองกำลังส่วนตัวถึงสามซองด้วย
พอกองกำลังตระกูลชิ่งเปิดไฟฉายยุทธวิธีแล้ว ก็ไม่กลัวเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิตอีก อย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตัวคนเดียว ไม่มีทางสังหารพวกเขาทั้งสามสิบนายในวูบเดียว ถ้าเขากล้ายิงใส่พวกตนละก็ เพื่อนทหารนายอื่นก็พร้อมจะสาดกระสุนกลับไปให้เริ่นเสี่ยวซู่เหลือแต่ซาก!
ทหารเจ็ดหน่วยคืบใกล้ถึงเมืองแล้ว ส่วนสู่หมานก็นำกำลังพลไปทางป่าล้อมต้อนเป้าหมายเช่นกัน เพื่อจับคนผู้หนึ่ง ต้องเคลื่อนกำลังหลายร้อยนาย เริ่นเสี่ยวซู่ถือว่าได้รับการรับรองที่ไม่ธรรมดาเลย
แต่พวกเขาก็จะประมาทขีดจำกัดความสามารถของเริ่นเสี่ยวซู่ในแดนรกร้างไปอยู่ดี
ที่เริ่นเสี่ยวซู่ตกปากรับคำมาเป็นคนนำทางในการเดินทางนี้ก็เพราะว่ามั่นใจในตัวเองนี่แหละ
ถึงกองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งจะระดับพระกาฬ ก็ยังมีประสบการณ์ในแดนรกร้างไม่เท่ากับเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ดี!
ยามเมื่อทหารหกหน่วยที่สู่หมานนำ เข้าใกล้กับทหารอีกเจ็ดหน่วยจากในป่า เงาร่างสีดำหนึ่งก็พลันทะยานเข้าใส่พวกเขา
เงาดำนี้สีดำข้นราวหมึก แต่การเคลื่อนรวดเร็วว่องไวยิ่ง ราวกับต้นไม้พื้นหญ้าในป่ามิใช่เป็นอุปสรรคขวางกั้นแม้แต่นิด
หน่วยทหารจากทางเหนือกราดยิงใส่มันทันที แต่เงาดำเตรียมตัวไว้แล้ว จึงเพียงก้าวไปด้านขวา หลบกระสุนทั้งหมดไป
หลังจากเงาดำขยับหลบไปด้านขวาแล้ว ก็โน้มตัวลง แล้วไถลทะยานเข้าใส่ทหารหน่วยที่อยู่แนวหน้าสุด!
ศัตรูมีทั้งปืนไฟระเบิดเพลิงทรงพลังจะรับมืออย่างไร เป็นคำถามที่เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามจางจิ่งหลินมาก่อน ตอนนั้นจางจิ่งหลินกล่าวว่า “แหงล่ะ ก็วิ่งไปกลางพวกเขาเลยไง จะได้ไม่กล้ายิงออกมามั่วๆ ใส่เธอเพราะเพื่อนพวกเขาอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด แต่สำหรับเธอแล้วทุกคนคือศัตรู!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มั่นใจว่าคำแนะนำของจางจิ่งหลินเป็นแค่มุกตลกถ่ายหนึ่งหรือเปล่า แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าใช้งานได้
เขาเห็นทหารทุกนายชักมีดทหารออกมาเป็นทิวแถว เงาดำเคลื่อนไหวเร็วเกินไป พวกเขากลัวว่าจะเผลอไปยิงใส่เพื่อนเข้าจริงๆ
ทว่าสำหรับร่างแยกเงาของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว มนุษย์ธรรมดาเชื่องช้าเกินไป ทั้งยังอ่อนแอเกินไป!
เงาดำไม่เกรงกลัวมีดจู่โจม เพียงหนึ่งหมัดสามารถจบหนึ่งชีวิต พริบตานั้น เงาดำก็ยกขาขึ้นเตะใส่หน้าอกของทหารนายหนึ่ง ทหารนายนั้นปลิวไปไกลกว่าห้าเมตร ราวกับว่าวถูกตัดเชือก!
ทหารนายอื่นผวา พลังลูกเตะนี้มหาศาลเกินไปแล้ว!
สู่หมานที่เพิ่งมาถึงจึงเห็นเงาดำองคาพยพไม่ชัดเจนจากไกลๆ หลังสายตาปรับโฟกัสได้แล้ว ก็สับสนขึ้นมา พวกเขาไล่ตามเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ไม่ใช่หรือ ไม่เห็นมีใครพูดว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีพลังนี้เลยนี่
ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็คำรามลั่น “สูเสี่ยนฉู่อยู่นี่ ผู้ใดอาจหาญกล้าลองดี!”
…………………
[1] ภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcanoes) หมายถึงภูเขาไฟซึ่งเพิ่งเกิดการปะทุหรือกำลังจะมีการปะทุในอนาคต
[2] ทำเนียบกำลังรบ (Order of battle) ข้อมูลทำเนียบกำลังรบจะระบุหน่วย, กำลัง, โครงสร้างการบังคับบัญชา, การวางกำลังทั้งเป็นบุคคล, หน่วย และยุทโธปกรณ์ของหน่วย