ถึงเริ่นเสี่ยวซู่มีปืนก็เถอะ แต่ถ้ายิงออกไปก็จะเป็นการเปิดเผยจุดตัวเองไปเสีย สมาคมตระกูลชิ่งที่ไล่ตามเขาอยู่คงได้ตามเสียงมาเป็นพรวนแหง เกิดเขาต้องอยู่ตรงกลางระหว่างพวกทหารและตัวทดลองละก็ ชีวิตเขาคงจบสิ้นแล้ว อีกอย่างคือถ้าพวกตัวทดลองโจมตีระยะประชิดมา ใช้มีดก็จะดีกว่าใช้ปืนมาก
สัญชาตญาณสั่งให้เขาขยับมือไปยังมีดที่เขาเอาอาหารแลกมาจากหยางเสียวจิ่น ทว่าเลื่อนมือไปเสร็จเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตะลึงไป มีดหายไปแล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่นึกย้อนความทรงจำไป ตอนที่หยางเสียวจิ่นแยกทางออกไป เธอทำท่าเป็นสะดุดล้มใส่เขาทีหนึ่ง มีดน่าจะถูกเธอขโมยไปตอนนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยัยคนนี้หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เธอเป็นคนพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำแล้วว่าจะเอาอาหารแลกมีด แต่สุดท้ายกลับขโมยมีดกลับไปเสียฉิบเนี่ยนะ! สายใยความเชื่อใจของเพื่อนมนุษย์มันหายไปไหนหมด
ยัยคนไร้ใจ…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าทักษะขโมยของเธอน่าจะสูงลิบลิ่ว ในเมืองไม่มีใครมาขโมยของเริ่นเสี่ยวซู่โดยที่เขาโม่รู้ตัวไม่ได้หรอก
เขาลอบถอนหายใจ ไม่มีมีดแล้วต้องทำอย่างไรต่อกันล่ะนี่
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่ามีดดาบธรรมดาแทงเนื้อหนังของตัวทดลองไม่เข้าหรอก ขนาดเอาปืนยิงระยะเผาขน กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังของพวกมันยังหยุดกระสุนไว้ได้ทันทีเลย
ยิงจ่อใส่หัวก็ไม่ได้ผลเช่นกัน เพราะกระดูกส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกายคือส่วนกะโหลก เจ้าพวกตัวทดลองไม่เคยหวาดกลัวลูกกระสุนอะไรทั้งนั้น ยกเว้นแต่จะยิงอัดใส่ตา
ทว่าความเร็วของตัวทดลองต่างกับของเริ่นเสี่ยวซู่มาก แทบไม่มีทางที่เขาจะยิงอัดใส่ตาพวกมันได้
ทักษะการใช้ปืนของเขาอยู่แค่ระดับสูงเท่านั้น ไม่ใช่ระดับไร้ที่ติ
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สัมผัสได้ถึงลมโกรกเข้าข้างหลัง เขาโค้งตัวลงในพลัน จนลมกระโชกนั้นพาดผ่านศีรษะเขาไป
พอเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งหลักได้แล้ว เงยมองว่าเป็นตัวอะไร เขาก็ต้องสะพรึงไป เพราะมีตัวทดลองตัวหนึ่งเข้าประชิดตัวเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้เสียแล้ว และที่แขนของตัวทดลองก็ไม่มีโซ่ล่ามเสียด้วย
มันเป็นแนวคิดพื้นฐานไปแล้วว่าตัวทดลองต้องมีโซ่ล่ามแขน เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ไม่มีทางที่คนจะไม่รู้ตัว เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่า ใช่จะเป็นตัวทดลองทุกตัวที่ถูกโซ่ล่ามไว้ แถมตัวทดลองที่ไม่มีโซ่ล่ามนั้นสามารถท่องไปในป่าอย่างไร้เสียง แค่นี้ก็ทำให้มันน่ากลัวโคตรๆ แล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ที่หลังก็ขมวดคิ้ววูบ มีรอยข่วนจนเกิดเป็นเส้นสีแดงห้าสาย
เขาเริ่มนึกถึงเมืองเสียแล้ว ถึงที่นั่นจะมีอันตรายไม่น้อย ยามใดแสดงความอ่อนแอก็มีคนพร้อมจะฉกฉวยโอกาส
แต่ที่นี่ช่างแตกต่าง ที่นี่น่ะ ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่จะถูกจ้องเอาชีวิต!
เริ่นเสี่ยวซู่พยายามถอยหนี แต่ถอยหนึ่งก้าว ตัวทดลองทั้งสี่ก็ก้าวมาอีกสอง ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจแล้วว่า ที่ตนเจอะเข้ากับตัวทดลองนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไร แต่เป็นพวกมันคิดมาหาเขาอยู่แล้วต่างหาก
ตัวทดลองทั้งสี่ใช้สองมือสองเท้าคลาน ส่วนตัวทดลองไร้โซ่ล่ามนั้นปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างเงียบเฉียบ พลางก้มมองลงมาราวแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่มีเรื่องไม่เข้าใจอยู่ สถานที่แห่งนี้มันอะไรกัน ถึงกับเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นตัวเช่นนี้ได้
ตอนนี้มีทหารหน่วยหนึ่งเพิ่งเดินผ่านจุดที่ห่างไล่หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ราวเจ็ดร้อยเมตรไป ทว่าเหมือนพวกเขาจะหาร่องรอยของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เจอเสียแล้ว จึงไม่ทราบว่าห่างจากพวกเขาไปไม่กี่ร้อยเมตรนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นไร
เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจปฏิกิริยาของตัวทดลองทั้งสี่ ตอนทหารเดินผ่านมา พวกตัวทดลองก็หยุดกึก เหมือนว่าพวกมันไม่อยากให้พวกทหารมารบกวนการล่าเหยื่อของพวกมันอย่างไรอย่างนั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่มีลางสังหรณ์แปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีเวลาไปครุ่นคิด ระหว่างที่พวกตัวทดลองโดนพวกทหารล่อความสนใจไปนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตัดสินใจสั่งให้ร่างเงาโจมตีพวกมัน
เริ่นเสี่ยวซู่คิดโจมตีเปิด!
เดิมเขาคิดหวังจะล่อให้พวกตัวทดลองไปยังกองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่ง แต่กลัวว่าสิ่งมีชีวิตทุกตนรวมเขาด้วยจะโดนกระสุนปืนจากคนหลายร้อยสาดใส่จนกลายเป็นผุยผงไปเสียก่อน
เทียบกับกำลังทหารหลายร้อยของสมาคมตระกูลชิ่งแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ยอมเผชิญหน้ารับมือกับสี่ตัวทดลองมากกว่า!
ตอนที่ร่างแยกเงาของเขาพุ่งเข้าโจมตีตัวทดลองทั้งสามที่อยู่บนพื้น ตัวทดลองที่อยู่บนต้นไม้ก็กระโจนใส่เริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่ก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อย พอกล้ามขาซ้ายถึงพื้นก็เกร็งแน่น พละกำลังทั่วร่างสั่นสะเทือน เมื่อตัวทดลองลงมาถึงเบื้องหน้า เริ่นเสี่ยวซู่ก็ชกใส่ราวกระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่ง
แต่เขาประมาทความคล่องแคล่วของตัวทดลองมากเกินไป มันบิดม้วนตัวกลางอากาศหลบเริ่นเสี่ยวซู่ไป ถึงกับสามารถยื่นมือออกมาจะคว้าแขนของเริ่นเสี่ยวซู่!
เริ่นเสี่ยวซู่สะดุ้งเฮือก ชักแขนกลับและก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อยอีกครา และพริบตานั้นก็ยกขาขึ้นเตะส่งเจ้าตัวทดลองปลิวไปหลายเมตร ตัวทดลองนอนอยู่กับพื้น ก่อนจะกระตุกเล็กน้อย แล้วก็ขึ้นมายืนสี่ขาอีกครั้ง เตรียมตัวกระโจนใส่เริ่นเสี่ยวซู่อีกรอบ!
จู่ๆ ความเจ็บปวดก็พลันปะทุออกทั่วร่างของเริ่นเสี่ยวซู่ ความเจ็บปวดแล่นพล่านผ่านกระดูกทำจนเหงื่อแตกพลั่ก กล้ามเนื้อทั้งร่างสั่นสะท้าน
ร่างแยกเงาถูกตัวทดลองทั้งสามพัวพัน เหล่าตัวทดลองเข้ามาฉีกฉุดกระชากที่ร่างเงาอย่างบ้าคลั่ง หนึ่งในนั้นถึงกับเข้าขย้ำไปที่เอวของร่างเงา!
ร่างเงาทรงพลังจนสามารถยกตัวทดลองได้ด้วยแขนข้างเดียว มันยกตัวทดลองขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะทุ่มกระแทกลงกับพื้นอย่างดุร้าย แต่ร่างของตัวทดลองนี้แข็งแกร่งกว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดไว้มาก โดนกระแทกเสียแรงอย่างนี้แต่มันกลับดูไม่เป็นอะไรเลย!
นี่แหละคือข้อเสียของการไม่มีอาวุธ เริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าเจ้าตัวทดลองพวกนี้ไม่ได้ ใครจะเป็นผู้ที่ต้องตายยากบอกกล่าวแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่อยากกลับบ้าน ต่อให้ถนนหนทางจะอาบไปด้วยโลหิตและเต็มไปด้วยดงหนามก็ตาม
ไม่มีอาวุธมีคมให้ฆ่าตัวทดลอง สุดท้ายพละกำลังของร่างแยกเงาก็ต้องหมดไปเพราะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างตัวทดลองถึงสามตน
เจ้าพวกสัตว์ประหลาดกัดร่างเงาอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกการกัดขย้ำ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกราวกับเกิดขึ้นกับร่างตนเอง
ความเจ็บปวดยากทานทนจากส่วนต่างๆ ของ ‘ร่างกาย’ถูกส่งผ่านเข้าระบบประสาทส่วนกลาง ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดเป็นสัญญาณอันสับสนวุ่นวายวิ่งพล่านไปทั่วโครงข่ายประสาท ส่งผลให้อำนาจในการตัดสินใจของเขาลดลง
ยกมือได้ช้าขึ้น ทั้งยังสั่นเครือไม่หยุด การโจมตีของตัวทดลองล้วนถูกเริ่นเสี่ยวซู่กันไว้ได้ แต่สุดท้ายมันก็สังเกตว่าปฏิกิริยาของคู่ต่อสู่ช้าลงไป ทั้งยังอ่อนแอลงด้วย
ดวงตาของเริ่นเสี่ยวซู่แดงฉาน อดทนกลั้นความเจ็บปวดจนแทบน้ำตาไหลออกมา
ตั้งแต่เกิดมา เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยร้องไห้ น้ำตาไม่เคยไหลสักกะหยด เขาเอนตัวลงต้นไม้ข้างทางเพื่อพยุงตัวหอบหายใจ
ทุกคนที่นี่ต่างอยากเห็นเขาตาย
ตัวทดลองอยากเห็นเขาตาย
สมาคมตระกูลชิ่งอยากเห็นเขาตาย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อยากตาย
ร่างแยกเงามิได้ทรงพลังรอบด้าน หรือบางทีอาจจะไม่มีพลังพิเศษใดในโลกที่ทรงพลังรอบด้าน
เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการอาวุธ แต่เหรียญคำขอบคุณของเขามีเพียงแค่เก้าสิบสามเหรียญ
เขากล่าวกับพระราชวัง “เอาอาวุธให้ฉัน”
พระราชวังไม่ตอบกลับ
“นี่…เอาอาวุธมาให้ฉัน” เสียงของเริ่นเสี่ยวซู่ดำดิ่งราวจมลงในห้วงมหาสมุทร “ฉันกำลังจะตายอยู่แล้ว เอาอาวุธให้ฉัน”
ฉับพลันทันใดนั้น ห้วงกาลเวลาราวหยุดนิ่ง เริ่นเสี่ยวซู่เห็นการกระโจนมาของตัวทดลองเป็นภาพช้าลง ช้าราวกับแทบจะหยุดนิ่งไป
ในที่สุดพระราชวังก็เปิดปากกล่าว [ตรวจพบกลิ่นอายแห่งความตาย ต้องการให้ปลดผนึกหรือไม่]
เริ่นเสี่ยวซู่สับสนงงงวย “ปลดผนึกอะไร”
[ไม่ทราบ]
“ราคาที่ต้องจ่ายไปสำหรับการปลดผนึกนี่ล่ะ”
[สูญเสีย?]
“สูญเสียอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างประหลาดใจ “อย่างน้อยแกต้องบอกฉันหน่อยสิว่าฉันจะต้องเสียอะไรไป จากนั้นฉันถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะปลดหรือไม่ปลดผนึก”
[ทุกสิ่ง]
เริ่นเสี่ยวซู่พลันแค่นเสียงใส่พระราชวัง “หลายปีมานี้ฉันต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปมากขนาดไหนเพื่อเอาตัวเองให้รอดในแดนรกร้าง ฉันต้องกินผักป่ารากไม้ไปเท่าไรต่อเท่าไร ตอนนี้มาพูดจะให้ฉันต้องสูญเสียทุกอย่างไปงั้นเหรอ ให้ฉันแม่*สูญเสียทุกอย่างเนี่ยนะ!
แกมีสิทธิ์อะไร!
และไอ้ทุกสิ่งเวรนั้นนั้นมันคืออะไรวะ ทอง เงิน ปืนของฉัน เหยียนลิ่วหยวน พี่เสี่ยวอวี้ หรือว่าเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่!
เอ็งมันแค่พระราชวังโทรมๆ จะเอาเสื้อผ้าฉันไปทำอะไร!”
พระราชวังไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เริ่นเสี่ยวซู่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย อย่างน้อยมันน่าจะต่อรองอะไรหน่อยสิ
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่ผืนป่ายามราตรี จากนั้นก็มองไปที่จิตสังหารที่คืบคลานเข้ามา ‘เวลาอันหยุดนิ่ง’ ค่อยๆ กลับไปดั่งเดิม ร่างของตัวทดลองพุ่งมาหาเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ตัวทดลองอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันน่ากลัวที่พร้อมจะเข้ามาขย้ำอวัยวะและสูบเลือดสูบไขกระดูกของเริ่นเสี่ยวซู่จนหมดตัว
ฉันใกล้ตายจริงๆ แล้วสินะ เริ่นเสี่ยวซู่คิด พลางจ้องมองมัน
แต่เขายังไม่ได้ใช้ชีวิตเลย!
พริบตานั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ฉีกยิ้มแป้น แค่คำขอบคุณเจ็ดครั้งไม่ใช่เหรอ
เขากล่าวเสียงนิ่งในใจ “ฉันอยากขอบคุณตัวเองเจ็ดครั้ง”
“ครั้งที่หนึ่ง ฉันขอขอบคุณตัวเองที่พร้อมจะไขว่คว้าทุกโอกาส”
“ครั้งที่สอง ฉันขอขอบคุณตัวเองที่ไม่กลัวแม้ต้องเผชิญอันตราย”
“ครั้งที่สาม ฉันขอขอบคุณตัวเองที่ไม่ท้อถอยแม้เผชิญกับความยากลำบาก”
“ครั้งที่สี่ ฉันขอขอบคุณตัวเองที่แม้เผชิญต่อสิ่งล่อใจ ก็ไม่ข้ามเส้นเกินเลย”
เสียงในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ดังสนั่นกังวานขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ทำให้ทั่วทั้งพระราชวังสั่นสะเทือน
“ครั้งที่ห้า ฉันขอขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยเป็นคนเสแสร้ง”
ชั่วลัดนิ้วนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นรัวราวลั่นกลอง
“ครั้งที่หก ฉันขอขอบคุณตัวเองที่สติสัมปชัญญะแจ่มใสเสมอ และไม่เคยลังเลใจ”
เขาได้ยินเสียงลมพัดโบกผ่านร่างกายเขาอีกครั้ง เหล่านักวิจัยในเมืองที่อยู่ในห้องทดลองพลันเงยหน้าขึ้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลพรั่งพรูราวอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าจากทางทิศเหนือ!
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวอย่างเรียบนิ่งเด็ดเดี่ยวว่า “ครั้งที่เจ็ด ฉันขอขอบคุณตัวเองที่แม้จะตกอยู่ในโคลนตมแห่งชีวิต ก็สามารถร้องเพลงได้ตลอดทาง สามารถแหวกโค่นดงหนาม[1]!”
พระราชวังเงียบไปพักหนึ่ง [ได้รับคำขอบคุณจากเริ่นเสี่ยวซู่ +7!]
[ท่านได้รับสิทธิ์ในการปลดล็อกอาวุธ ต้องการปลดเลยหรือไม่]
“ปลดล็อก!” เริ่นเสี่ยวซู่คำราม
ทันใดนั้น ก็ดั่งว่าเวลาที่ถูกล็อกไว้ก็มลายสลายตัว เริ่นเสี่ยวซู่มองตัวทดลองเบื้องหน้ากระโจนมาที่เขาอย่างเงียบงัน เขาแทงมือออกไปคว้ายังอากาศธาตุ ราวกับเขาต้องการคว้าจับพลังอำนาจนิรนามบางอย่าง
หนึ่งดาบตัดวิถีเป็นตาย พันทหารหมื่นอาชาไม่หวนกลับ!
ชั่วลัดนิ้วนั้นดาบสีดำทมิฬเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนมือของเริ่นเสี่ยวซู่ ในชั่วพริบตาเริ่นเสี่ยวซู่ก็กัดฟันกรอดแล้วใช้พลังสุดแรงวาดดาบเป็นแนวนอน กล้ามเนื้อเลือดเนื้อเดือดพล่านถึงขีดสุด เส้นเลือดบนหน้าผากก็พลุ่งพล่านไม่หยุด!
เสียงดาบเชือดผ่าเนื้อหนังดังก้องทั่วพงไพร ต่อหน้าดาบทมิฬ ตัวทดลองอันดุร้ายพลันแบ่งเป็นสองซีก!
เริ่นเสี่ยวซู่โมโหโกรธา ความเป็นความตาย คือแก่นฐานทุกอย่างของโลกใบนี้
ดวงตาของตัวทดลองปรากฏความไม่เข้าใจประการหนึ่ง ราวกับไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าไฉนมือของเริ่นเสี่ยวซู่จึงมีดาบ และไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าทำไมเพียงดาบเดียวก็ทำให้ชีวิตมันจบสิ้นได้
เลือดสีเหลืองจางไหลจากดาบทมิฬลงสู่ซากใบไม้บนพื้นพสุธา เริ่นเสี่ยวซู่กุมดาบ เงยหน้ามองไปยังจุดที่ร่างเงาต่อสู้อยู่
ไม่ทราบว่าทำไม แต่ยามที่เริ่นเสี่ยวซู่กำดาบที่โผล่มาจากความว่างเปล่านี้ไว้ ที่มือของร่างแยกเงาก็ปรากฎดาบอีกเล่มเช่นกัน
ดาบทมิฬกลมกลืนกับร่างเงาสีดำอย่างลงตัว ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
วินาทีที่ดาบโผล่มาในมือของร่างแยกเงา ตัวทดลองทั้งสามก็พร้อมจะล่าถอย ทว่ากลับสายไปเสียแล้ว
ร่างแยกเงาตวัดดาบลง ผ่าครึ่งตัวทดลองเบื้องหน้า จากนั้นก็ไม่รอเฉย รีบพุ่งเข้าไปคว้าที่คอของตัวทดลองตัวหนึ่ง มันถูกกดลงกับพื้นอย่างดุร้าย ไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรต่อ
ตัวทดลองมีพละกำลังมหาศาลมาก แต่พอถูกร่างแยกสะกดไว้ ก็เหมือนสัตว์ร้ายใกล้พบความตายไป ร่างเงายกดาบตัดคอเจ้าตัวทดลองไป
ตัวทดลองตัวสุดท้ายวิ่งเข้าไปป่าแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจว่ามันคงจะไปไม่ได้ไกลหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปที่ความมืดมิดในคืนรัตติกาลเบื้องหน้า ความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนหน้ายังแล่นอยู่ในเส้นประสาทไม่สร่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ต่อสู้มาที่เขาได้พบอารมณ์ยินดีสายหนึ่ง!
นี่สินะคือความหมายของการเป็นผู้มีพลังพิเศษ
ขณะนั้นเองพระราชวังก็กล่าว [เปิดใช้งานภารกิจรอง 2: รวบรวมเหรียญคำขอบคุณครบ 1,000 เหรียญ เพื่อปลดล็อกรูปแบบขั้นกลางของอาวุธ]
……………
[1] แหวกโค่นดงหนาม (披荆斩棘) หมายถึงการมุ่งหน้าฝ่าขจัดอุปสรรคและกล้าที่จะก้าวเดินหน้าต่อไป