ขณะที่หวังฟู่กุ้ยกำลังคุยกับพวกเขาอยู่นั้น พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากในเมือง หวังฟู่กุ้ยออกนอกโรงเรียนไปดูอย่างสงสัย ก่อนจะพูด “มีเรื่องอะไรกันล่ะคราวนี้”
พริบตานั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างผิดปกติ ท้องฟ้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มในทันใด
หมอกควันบนท้องฟ้าวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำ แต่กลายเป็นสีเหลืองเข้มแปลกประหลาด ลมก็พัดโหมแรงขึ้นเช่นกัน
ผู้อพยพในเมืองต่างถือของมีค่าส่วนตัวของตนวิ่งออกไปบนถนน บางคนก็พยายามจับกระท่อมไว้กันโดนลมพัดปลิวกระเด็น
ทันใดนั้นเอง ก็มีคนจากนอกเมืองวิ่งเข้ามา “ฉันคิดว่าภูเขาไฟในเขาจิ้งซานระเบิดแล้ว ท้องฟ้าเหนือเขาจิ้งซานมีแต่ควันเต็มไปหมดเลย!”
ผู้ดูแลเมืองจ้องเขาเขม็งแล้วว่า “จะตื่นเต้นทำไม ภูเขาไฟที่เขาจิ้งซานระเบิดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย พวกเราอยู่ห่างจากที่นั่นตั้งไกล! นายมาจากที่ไหน”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากเหมืองถ่านหิน” คนผู้นั้นว่า “ผู้จัดการโรงงานสั่งให้ฉันกลับมารายงานว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่เขาจิ้งซาน ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเหมือง”
“อืม ไปจัดการเรื่องที่ต้องจัดการเถอะ” ผู้ดูแลเมืองพูดอย่างไม่พอใจ “ส่วนคนที่เหลือก็ระวังไว้หน่อยแล้วกัน รอแผ่นดินไหวหมดก่อนค่อยกลับเข้ากระท่อมตัวเอง”
มีแต่เหยียนลิ่วหยวนที่คิดว่าคำพูดพวกนั้นไม่ถูกต้องเลย นกบนท้องฟ้าต่างบินลงใต้ พวกแมลงก็ออกมาตามพื้นเต็มไปหมด ภูเขาไฟที่อยู่ไกลโขขนาดนั้นจะมีพลังขนาดนี้เลยหรือ เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว
ป้อมปราการมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน แต่ไม่มีใครคิดหาว่าต้นน้ำมาจากไหน และไปจบลงที่ใด
ผู้มีอำนาจในป้อมปราการสั่งให้ตั้งรั้วเหล็กตรงแม่น้ำ กันไม่ให้ผู้อพยพแอบดอดเข้ามา ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
ตอนนี้แม้แต่คนในป้อมปราการเองก็กำลังตระหนกตกใจกับแผ่นดินไหว ทำให้ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่า รั้วเหล็กตรงแม่น้ำนั้นถูกอะไรบางอย่างในแม่น้ำชนจนล้มไปแล้ว เจ้าตัวประหลาดว่ายเข้าไปในเขตตัวเมืองของป้อมปราการ และปลาแหวกว่ายอยู่แต่เดิมก็ต่างตื่นตระหนกวิ่งหนีไปทางตรงข้ามมันราวกับกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้เองก็มีคนจากนอกเมืองวิ่งเข้ามาเพิ่ม ทุกคนพลันสงสัย “พวกนายมาจากเหมืองถ่านหินกันหมดเลยเหรอ ทำไมถึงกลับมากันล่ะ”
คนที่เพิ่งวิ่งกลับมาตะโกนลั่น “ทางเข้าเหมืองถล่มแล้ว แถมมีแมลงที่เปลือกข้างหลังเป็นหน้าคนวิ่งมาจากเขาจิ้งซานอีก พวกมันกินคนด้วย!”
ทุกคนนิ่งอึ้งไป โลกนี้เคยมีเหตุภัยพิบัติแมลงมาก่อน แต่ก็ถูกมนุษย์หยุดไว้ด้วยความรวดเร็วยิ่ง แต่คนในยุคสมัยนี้เคยได้ยินแต่เรื่องภัยพิบัติแมลง ไม่เคยเห็นได้กับตาตัวเองมาก่อน
ประวัติศาสตร์กำลังฉายซ้ำรอย?
ทันใดนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็เห็นคนกระโดดลงมาในลานข้างหลังเขา เขาหันไปมอง ก็จะต้องประหลาดใจที่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่รีบส่งสัญญานให้พวกเขาอย่าส่งเสียง แล้วกระซิบว่า “เร็ว รีบเก็บของ!”
ถึงเหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำตามที่เริ่นเสี่ยวซู่สั่ง
เหยียนลิ่วหยวนคิดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่ถึงกลับมาพาพวกตนหนีออกจากป้อมปราการ 113
หลังจากอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายต่อหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็จะออกไปจากที่นี่แล้ว แต่ก็เถอะ เหยียนลิ่วหยวนไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือบ้านของเขา
เป็นเพราะเริ่นเสี่ยวซู่กลับมากะทันหันไปหน่อย เขาเลยไม่รู้จะยินดีหรือร้อนรนดี
พอหวังฟู่กุ้ยกลับเข้าโรงเรียนมา ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังชี้ปืนใส่เขา เริ่นเสี่ยวซู่พูด “เหล่าหวัง อยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าพวกเราจะหนีไปนะ ขอโทษที”
หวังฟู่กุ้ยยิ้มขมขื่น “จะไปกันแล้วเหรอ ตอนนี้มีคนไม่น้อยเฝ้าจับตาอยู่นอกโรงเรียนนะ เธออาจจะออกไปแบบปลอดโปร่งได้ แล้วเหยียนลิ่วหยวนกับหลีเสี่ยวอวี้ล่ะ”
“พวกเขาหยุดผมไม่ได้หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
หลังจากมาถึงเมือง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่รีบร้อนกลับมาโรงเรียนทันที แต่เขากลับไปดูจุดที่ฝังปืนไว้ก่อน พอเห็นว่าปืนไม่อยู่แล้ว ก็ตามไปดูที่ถ้ำซ่อนตัวที่เขาเตรียมไว้ไห้เหยียนลิ่วหยวน หลังจากเห็นว่าเหยียนลิ่วหยวนไม่ได้มาที่นี่ เขาถึงได้กลับเข้าเมือง
แต่ก่อนที่จะถึงโรงเรียน เขาก็สังเกตเห็นว่าข้างนอกนั้นมีคนคอยเฝ้าจับดูอยู่ แถมบางคนยังให้ความรู้สึกดูคุ้นเคยประการหนึ่งด้วย พวกเขาเป็นทหารของสมาคมตระกูลชิ่ง!
กองกำลังส่วนตัวกับกองกำลังของสมาคมนั้นแยกออกจากกันง่ายมาก ทหารจากกองกำลังส่วนตัวจะดูเหมือนอันธพาลมากกว่า ไม่มีอากัปกริยาเหมาะสมเลย ส่วนทหารจากกองกำลังภายใต้สมาคมตระกูลชิ่งนั้นจะยืนหลังตรงตลอด ดูก็รู้ว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง
เพราะมีคนพวกนี้คอยเฝ้าจับตาดูอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่เลยแอบลอบเข้าโรงเรียนแทน ตอนนี้ในเมืองกำลังวุ่นวาย เป็นโอกาสอันดีในการพาตัวเหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้ไป
หวังฟู่กุ้ยว่าอย่างสงสัย “ถ้าคุณจางยังอยู่แถวนี้ สมาคมตระกูลชิ่งคงไม่กล้าทำอะไรเธอสินะ”
เริ่นเสี่ยวซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง “จางจิ่งหลิน?”
เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งสังเกตว่าจางจิ่งหลินไม่อยู่ที่โรงเรียนแล้ว เขายังไม่รู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาถามสารทุกข์สุขดิบ เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ที่คิดหนีไม่เกี่ยวอะไรกับสมาคมตระกูลชิ่ง แต่เป็นพวกอสูรมารปีศาจจากเขาจิ้งซานกำลังมุ่งมาทางนี้ต่างหาก!”
ตอนเริ่นเสี่ยวซู่ผ่านหุบเขามา เขาได้ยินเสียงสัตว์ป่าวิ่งหนีไล่หลังเขา สัตว์ป่า ตัวทดลอง และแมลงหน้าคนน่าจะถูกทะเลเพลิงไล่ให้หนีลงมาทางใต้
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เขาที่ตกอยู่ในอันตราย แต่เป็นทุกคนในเมือง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีเวลาจะอธิบายแล้ว เขากล่าวกับหวังฟู่กุ้ย “ลุงได้ยินคนอื่นพูดถึงแมลงพวกนั้นแล้วนี่ พวกมันมีเยอะโคตร แต่พวกมันยังเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภัยอันตรายเท่านั้น”
หวังฟู่กุ้ยว่าอย่างประหลาดใจ “เธอไปเจออะไรในเขาจิ้งซานมาเนี่ย…ไม่สิ เริ่นเสี่ยวซู่ เธอก็ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปพาลูกชายฉันมา แล้วพวกเราจะไปกับพวกเธอด้วย”
“ไปกับพวกผมเนี่ยนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างสงสัย “กิจการครอบครัวลุงอยู่ที่นี่หมด แต่ยังอยากไปกับผมงั้นเหรอ”
เขาไม่ได้คิดเลยว่าจะพาหวังฟู่กุ้ยไปด้วย เพราะปกติแล้ว ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่โน้มน้าวหวังฟู่กุ้ยให้ไปด้วยกันขนาดไหน เขาก็คงไม่เชื่อคำของตนหรอก
แต่กลับกลายเป็นตรงข้ามไปอย่างสิ้นเชิงเลย เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องโน้มน้าวอะไรด้วยซ้ำ หวังฟู่กุ้ยก็พร้อมตามติดเริ่นเสี่ยวซู่ไปในทันที
หวังฟู่กุ้ยคิด แล้วตอบ “เรื่องอื่นฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้ว่าถ้าตามเธอไปยังไงก็รอด!”
ตอนที่ลั่วซินอวี่และหยางเสียวจิ่นออกนอกป้อมปราการมาหาคนนำทางครั้งแรก ก็เป็นหวังฟู่กุ้ยนี่แหละที่แนะนำพวกเธอไปว่า ในการเดินทางไปเขาจิ้งซานนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนนำทางที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเหล่าหวังคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่ชำนาญเก่งกาจเรื่องนำทาง แต่เขาเพียงเชื่อว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนที่เข้มแข็งมากต่างหาก
เด็กที่รอดชีวิตมาจากฝูงหมาป่า มิหนำซ้ำยังเลี้ยงเด็กอีกคนแล้วเอาชีวิตรอดด้วยกันได้อีก คนธรรมดาทำไม่ได้หรอก
ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่หวังฟู่กุ้ยเข้าใจดี มีเพียงเริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเขาจิ้งซาน เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาจิ้งซานด้วยตาตัวเอง ถ้าไม่เชื่อเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เขาจะไปเชื่อใครได้ล่ะ