ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ออกไปข้างนอก แล้วตะโกนว่า “พวกหมาป่ากำลังมา พวกตัวทดลองกำลังมา พวกแมลงหน้าคนกำลังมา และบางทีสัตว์ประหลาดในภูเขาไฟก็กำลังมาเหมือนกัน!” บางทีคนครึ่งเมืองคงหันมาจ้องเขาเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อนอยู่ ส่วนอีกครึ่งที่เหลือก็คงไม่เชื่อคำพูดของเขา
แต่หวังฟู่กุ้ยไม่เป็นเช่นนั้น เขาคิดว่า ถ้าไม่เชื่อคนที่ได้พบประสบเจอเรื่องราวด้วยตนเองแล้ว เช่นนั้นเขาสมควรไปเชื่อใครที่ไหนกันล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่มองหวังฟู่กุ้ยอย่างเคร่งเครียดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในพลันว่าเหตุใดเหล่าหวังถึงอยู่เป็นปกติสุขถึงปัจจุบันได้
หวังฟู่กุ้ยไม่ได้เป็นคนมีความสามารถสูงส่ง ทั้งไม่ได้เป็นทั้งคนที่มีความเหี้ยมมากพอ รู้จักเพียงแต่ทำตัวเป็นลูกไล่ต่อหน้าผู้มีอำนาจจากในป้อมปราการ ทว่าเพียงแค่นั้นไม่น่าทำให้เขามีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้
ในอดีตก็คนที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเหล่าคนใหญ่คนโตในป้อมปราการไม่น้อย แต่สุดท้ายไม่ถูกฆ่าก็ถูกทำร้ายเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ
พูดก็พูด หวังฟู่กุ้ยคงมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดอันไม่ธรรมดาบางอย่าง ทำให้เมื่อตกอยู่ในอันตรายนั้น เขาจะสามารถเลือกหนทางเอาตัวรอดที่ถูกต้องที่สุดได้
หวังฟู่กุ้ยกล่าวย้ำ “คนอื่นอาจจะไม่เชื่อเธอ แต่ฉันเชื่อ ยังไงฉันก็จะไปกับเธอ”
ว่าตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดพิจารณาเรื่องนี้อยู่ คนส่วนใหญ่ถ้าหนีไปด้วยกันก็จะเป็นภาระของเริ่นเสี่ยวซู่ไปเสียเปล่าๆ แต่หวังฟู่กุ้ยต่างจากคนอื่น แม้เหล่าหวังยังคงเป็นพ่อค้าโดยสันดาน แต่ก็แสดงไมตรีจิตต่อเริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวนมามากมายนัก
ในฐานะพ่อค้ามือดี หวังฟู่กุ้ยย่อมสังเกตเห็นความสองจิตสองใจของเริ่นเสี่ยวซู่ได้ จึงพูด “ฉันไม่ไปกับพวกเธอเปล่าๆ หรอก หนึ่งเลยฉันมีทั้งเงินทั้งยา สอง ฉันคุยต่อรองกับคนเก่งกว่าเธอแน่นอน ฉันไม่ไปเป็นตัวถ่วงเธอหรอก”
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หวังฟู่กุ้ยเผยคุณค่าของตนออกมา มีแต่ต้องมีค่าเท่านั้น คนถึงจะพาตนไปด้วย เขาไม่คิดจะใช้สายสัมพันธ์แต่เก่าก่อนมาอ้อนวอนเริ่นเสี่ยวซู่หรอก เนื่องรู้ดีว่าช่วงเวลาแบบนี้ มิตรภาพอันใดล้วนไร้ค่า
เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนจะพูดออกไป “ผมไม่สนใจเงินลุงหรอก รีบไปรีบกลับมาแล้วกัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใช่คนมีจิตกุศลธรรมอันใด ถ้าเป็นคนอื่น เขาไม่มีทางปล่อยให้ออกไปแน่ ถ้าคนผู้นั้นออกไปรายงานเรื่องเขาให้สมาคมตระกูลชิ่งฟังเขาจะทำอย่างไรล่ะจริงไหม
แต่ไมตรีจิตที่หวังฟู่กุ้ยเคยมีให้เริ่นเสี่ยวซู่ ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่เชื่อใจในตัวของหวังฟู่กุ้ย อีกทั้งพวกตระกูลชิ่งคงกำลังวุ่นวายกับเรื่องอื่นอยู่มากกว่าจะสนใจตนเอง และคนที่อยู่นอกโรงเรียนนั่นก็รั้งเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ไม่อยู่หรอก
เหยียนลิ่วหยวนและเสี่ยวอวี้รีบเก็บของ เหยียนลิ่วหยวนยื่นเหรียญทองแดงให้เริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “คุณจางบอกว่าถ้าพวกเราไม่มีที่จะไป ให้ไปหาเขาที่นอกด่าน แต่ถ้ายังมีทางรอดอยู่ ก็อย่าไป เขาบอกว่านอกด่านเป็นสถานที่ยากอยู่อาศัย”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหรียญแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
เหยียนลิ่วหยวนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น เรื่องกิริยาท่าทางที่หลัวหลานมีต่อจางจิ่งหลิน รวมไปถึงสิ่งที่จางจิ่งหลินเล่าให้ฟัง
จากนั้นก็เอ่ยสรุปความ “คืนนั้นมีแต่ลุงฟู่กุ้ยที่มาช่วยพวกเรา”
“อือ เข้าใจแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ถามอีกครั้ง “คุณจางได้บอกหรือเปล่าว่าเขาคือใคร”
“ไม่ได้บอก” เหยียนลิ่วหยวนส่ายหน้า “ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร และต่อให้ผมถามไปเขาก็ไม่บอกผมหรอก แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้มากคือ เขาเป็นบุคคลสำคัญของป้อมปราการ 178”
“อืม…” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถ้าพวกเราไม่มีที่จะไปจริงๆ ค่อยไปหาเขาที่นอกด่านเถอะ”
เสี่ยวอวี้พูด “เก็บของเสร็จแล้วละ ยังไงก็มีของไม่เยอะอยู่แล้ว”
“เอาพวกหมั่นโถววอโถว[1]ไปด้วยนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ผักกาดขาวไม่ต้อง ค่อยหาผักป่าระหว่างทางเราหนีได้ เอ๊ะ อะไรอยู่ในกระเป๋าน่ะ”
“เนื้อรมควัน” พี่เสี่ยวอวี้ว่า “รอบล่าสุดที่เธอเดินทางเธอไม่ได้พกอาหารแห้งไปเลย ฉันเลยทำพวกเนื้อรมควันไว้เผื่อเธอต้องเดินทางไปไหนอีกน่ะ”
“อือ” เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักหนึ่ง “ขอบคุณนะพี่เสี่ยวอวี้ ครั้งนี้ได้ใช้พอดีเลย”
“พี่” เหยียนลิ่วหยวนเงยหน้ามองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม “ครั้งนี้อันตรายมากเลยใช่ไหม”
“คนในป้อมมีกำแพงป้อมปกป้องตัวเอง แต่คนในเมืองไม่มีอะไรใช้ป้องกันสัตว์ร้ายพวกนั้นเลย ที่นี่ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “จริงๆ แล้วที่ดีที่สุดที่ตอนนี้สามารถทำได้คือเปิดประตูป้อมปราการให้ทุกคนเข้าไป แต่ฉันว่าพวกคนในป้อมไม่อยากทำหรอก”
“รอลุงฟู่กุ้ยกลับมาแล้วพวกเราออกเดินทางกัน พวกเราจะไปป้อมปราการ 109 ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้”
เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองเหยียนลิ่วหยวนแล้วหัวเราะ “พอล้างหน้าล้างตาแล้วหล่อเหลาเอาการนะ อย่างกับพลเมืองในป้อมปราการแน่ะ”
“ฮี่ฮี่” เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะอย่างโง่งม
ปกติใบหน้าสองพี่น้องเปื้อนฝุ่นตลอด แต่ว่าตั้งแต่ที่เหยียนลิ่วหยวนเป็นไข้ตอนนั้น เสี่ยวอวี้ก็จัดกการช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา
ทันใดนั้นในเมืองก็เกิดความโกลาหล ทว่าคราวนี้ไม่ใช่เสียงจากคนมุงมองดูความวุ่นวาย แต่เป็นเสียงขอความช่วยเหลือ
ทั้งเมืองตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน!
เริ่นเสี่ยวซู่เดินออกไปที่ประตูโรงเรียน พวกทหารที่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เอื้อมมือไปจะชักปืน พวกเขาเจอเรื่องในเมืองดึงดูดความสนใจ จึงไม่ทันได้คาดคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะออกมาจากข้างในโรงเรียนเช่นนี้
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้ทันชักปืน เริ่นเสี่ยวซู่ก็เคลื่อนไหวก่อนแล้ว ระหว่างที่เดิน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ชักปืนยิงแล้ว คนที่เฝ้าจับตาดูอยู่หนีไม่ทัน และโดนยิงตายจนหมดสิ้น
ตอนนั้นเองหวังฟู่กุ้ยก็มาถึงพร้อมหวังต้าหลงลูกชายผู้โง่งมของเขา พอเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ดับชีวิตไปเจ็ดคนโดยไม่กะพริบตาก็ตะลึงไป แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่ดุร้ายอำมหิต แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ได้ ราวกับว่าการเดินทางในเขาจิ้งซานนั้นเปลี่ยนเริ่นเสี่ยวซู่ไป
เริ่นเสี่ยวซู่หันมามองหวังฟู่กุ้ย พอเขาเห็นความเยือกเย็นในดวงตาของเริ่นเสี่ยวซู่ ก็เกือบสติกระเจิงไป เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าเป็นหวังฟู่กุ้ยก็ลดปืนลง “ไปกันเถอะ พวกเราจะไปป้อมปราการ 109 กัน”
“เดี๋ยวก่อน” หวังต้าหลงโพล่ง “พวกเราพาหลีโหยวเฉียนไปด้วยได้ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดหนักกับคำถามนั้น “…ใครคือหลีโหยวเฉียน”
“ลูกของเหลาหลี่ที่ตัวใหญ่หน่อย” เหยียนลิ่วหยวนตอบให้
“ฉันพาเธอไปด้วยไม่ได้หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า
หวังต้าหลงโพล่งต่อทันควัน “แต่นายเป็นอาจารย์สอนแทนของโรงเรียนนะ จะทิ้งนักเรียนไปโดยไม่ไยดีได้ยังไง ถ้าคุณจางอยู่ คุณจางต้องไม่ทิ้งเธอไว้แบบนี้แน่”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหวังฟู่กุ้ยแล้วถอนหายใจ “ดูจากความร้อนรนของลูกลุงแล้ว นี่สินะที่เรียกว่าความรัก…แต่ดูไปแล้วสองคนนี้ก็เหมาะกันอยู่นะ”
หวังฟู่กุ้ยสะดุ้ง “มันใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นตอนนี้ไหม!”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปหาหวังต้าหลง “น่าเสียดาย แต่ฉันไม่ใช่คุณจาง”
หวังต้าหลงได้ยินแบบนี้หัวใจก็แตกสลาย ไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ของเขาจะจบลงอย่างกะทันหันเช่นนี้…
………..