มีครั้งหนึ่งเริ่นเสี่ยวซู่ตอนที่คุยเล่นกับเหยียนลิ่วหยวนอยู่ เขาได้เสนอคำถามว่า ‘ถ้าเกิดกำแพงที่คอยปกป้องมนุษยชาติถล่มลงมาจะเกิดอะไรขึ้น’
ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ที่แม้จะเป็นคนถาม ทว่าก็ถามไปอย่างขอไปทีไม่ได้ใคร่ครวญอะไรให้ลึกซึ้ง อย่างไรเสียถ้ากำแพงพัง แค่สร้างใหม่ก็จบแล้ว เหล่าผู้มีอำนาจในป้อมปราการยังคงเถลิงอำนาจ เหล่าผู้อพยพยังคงเร่ร่อนอพยพ
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มิได้เป็นเช่นนั้น กำแพงพังทลายตอนไหนไม่พังทลาย ข้างนอกกำแพงยังมีฝูงหมาป่าเฝ้ารออยู่ แถมด้วยสัตว์ป่าและแมลงพิษทั้งหลายที่หนีมาจากเทือกเขาจิ้งซาน ไหนยังมีแมลงหน้าคนและพวกตัวทดลองอีก!
การแปรสัณฐานจากแผ่นดินไหวนี้ราวกับหงส์ดำ[1]สะบัดปีกนำพาหายนะมาสู่ป้อมปราการ
ป้อมปราการเหมือนจะตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อน เมื่อเปลือกโลกแปรสัณฐาน มันก็ฉีกป้อมปราการออก
ทว่าแผ่นดินไหวมิได้นำพาหายนะมาเพียงแค่นั้น บ้านมากมายในป้อมปราการล้วนล้มครืนลง มีคนถูกฝังทั้งเป็นมากมาย!
เริ่นเสี่ยวซู่มองภาพพวกนั้นบนเนินเขาแห่งหนึ่ง กำแพงที่ปกป้องผู้คนในป้อมปราการมาหลายสิบหรืออาจจะหลายร้อยปีพังทลายเป็นเศษซากราวน้ำแข็งละลายสิ้นก็มิปาน สุดท้ายทั้งป้อมปราการก็กลายเป็นเพียงซากปรักไป
กำแพงสูงกว่าห้าสิบเมตร คนธรรมดาตกลงมาคงไม่รอด
คลื่นฝูงแมลงแต่เดิมที่ไม่อาจข้ามกำแพงไปได้ พากันกรูเข้าตัวเมืองในป้อมปราการ บรรดาเหล่า ‘ใต้เท้า’ ในป้อมปราการที่สติยังไม่กลับเข้าร่างหลังเห็นกำแพงถล่มก็โดนฝูงแมลงหน้าคนกลืนกินไป
หวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ หยุดฝีเท้า สายตาที่มองดูภาพเหล่านั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“เสี่ยวซู่ พวกคนในเมืองจะรอดหรือเปล่า” เสี่ยวอวี้หอบหายใจ พลางถาม
เริ่นเสี่ยวซู่หันหลัง มุ่งไปทางทิศป้อมปราการ 109 ต่อ “พวกเรารอดก็พอแล้ว”
ที่เริ่นเสี่ยวซู่คิด เขาเดาว่าน่าจะมีคนในป้อมปราการส่วนหนึ่งรอดชีวิตออกมาได้ ในป้อมปราการมีคนอยู่หลายแสน ไม่มีทางจะเป็นพวกโง่งมไปเสียหมดทุกคน นอกจากนี้กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งก็ยังอยู่ดี
แต่เรื่องพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา ยุคสมัยนี้ ถ้าเรื่องไม่เกี่ยวกับข้องกับคุณ คุณก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เมื่อก่อนไม่เห็นจะมีผู้มีอำนาจคนในป้อมปราการจะสนความเป็นความตายของผู้อพยพเลย ตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดจะสนเรื่องความเป็นตายของพวกเขาเช่นกัน
แถมเรื่องภัยพิบัติเช่นนี้ใช่ว่าคนผู้หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เสียหน่อย
ทันใดนั้นก็มีคนพูด “ดูสิ มีแสงแปลกๆ ออกมาจากในป้อมปราการด้วย”
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมองและต้องประหลาดใจไป เขาเห็นฟองสบู่ยักษ์พุ่งไปทางแมลงหน้าคน ไม่นานหลังจากนั้นฟองก็ระเบิดออกกระแทกพวกแมลงหน้าคนไปไกลกว่าสิบเมตร แถมดูเหมือนว่าแมลงที่อยู่หน้าสุดก็โดนระเบิดอัดจนตายไปแล้วด้วย
คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เริ่นเสี่ยวซู่นึกถึงคนผู้หนึ่งที่ถูกจับส่งเข้าป้อมปราการไปทันที เป็นจางเป่าเกิน
ฟองนี้ดูใหญ่กว่าที่เขาเคยเห็น แต่ลักษณะรูปร่างและผลกระทบยังคงเหมือนเดิม
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มั่นใจเท่าไรนัก แต่ดูเหมือนว่าจางเป่าเกินยังไม่ตาย แถมพลังยังพัฒนาขึ้นอีกขั้นด้วย
“ฝีมือของผู้มีพลังพิเศษ!” มีคนอุทาน “ผู้มีพลังพิเศษในป้อมเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
“ฟองสบู่นั่นคืออะไรวะ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปยังผู้คนที่กำลังตกตะลึงและคิด ถ้าฉันบอกว่าเป็นฟองน้ำลายของจางเป่าเกิน พวกนายต้องไม่เชื่อฉันแหง…
หวังต้าหลงลูกชายของหวังฟู่กุ้ยพึมพำ “อยากจะเป็นผู้มีพลังพิเศษบ้างจัง”
ตอนที่ป้อมปราการไล่จับเหล่าผู้มีพลังพิเศษนั้น ทุกคนต่างหลีกเลี่ยงจะพูดคำว่า ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ เป็นการใหญ่กลัวว่าพูดไปแล้วจะเจอปัญหาเข้า
แต่ถ้าให้ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว ใครเล่าจะไม่อยากมีพลังพิเศษน่ะ ขนาดคนที่ล่วงเลยสู่วัยกลางคนแล้วอย่างหวังฟู่กุ้ยยังอดเพ้อฝันไม่ได้เลย
เป็นความต้องการขั้นสูงสุดที่มนุษย์พึงอยากได้จากโลกนี้
ทว่าผู้มีพลังพิเศษหายากนัก ดูไปดูมาแล้ว น่าจะมีไม่กี่สิบคนในหมู่คนหลายแสนคน เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าในป้อมปราการต้องมีผู้มีพลังพิเศษคนอื่นอีก แต่คงไม่ได้มีมากมายอะไรนัก
“พ่อ คนผู้หนึ่งจะกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษได้ยังไงเหรอ” หวังต้าหลงถามบิดา
หวังฟู่กุ้ยพูดไม่ออก “ฉันจะไปรู้ไหม”
เหยียนลิ่วหยวนแทรก “อาจจะมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างก็ได้ อย่างพวกโชควาสนาหรือการสืบสายเลือดอะไรอย่างงั้นมั้ง”
หวังต้าหลงหดหู่ “พ่อฉันไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษนี่สิ”
เหยียนลิ่วหยวนปลอบ “ไม่ต้องเสียใจไปนะ เขาอาจจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของนายก็ได้”
หวังต้าหลง “???”
ก่อนหน้านี้ระหว่างหนี แม้จะต้องอกหักหวังต้าหลงยังไม่ร้องสักแอะ ทว่าตอนนี้กลับน้ำตาคลอเบ้าแล้ว
“เริ่นเสี่ยวซู่ เธอกับน้องนี่ปากสุนัขชะมัด” หวังฟู่กุ้ยเกือบสบถด่าแล้ว “เจ้าจางเป่าเกินนั่นก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่เห็นพ่อมันจะดูเหมือนผู้มีพลังพิเศษตรงไหนเลย”
ตอนนี้จางเป่าเกินพ่นฟองน้ำลายมาอีกห้าฟองกระแทกพวกแมลงหน้าคนกลับไป ทำให้คนไม่น้อยมีโอกาสได้พักหายใจ จากนั้นก็ใช้ช่องว่างนี้หนีออกจากป้อมปราการ พวกเขากำลังมุ่งไปทางเดียวกับที่เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ กำลังมุ่งไป
ซากกำแพงที่พังลงเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้คนในป้อมปราการยากจะปีนออกมา แต่โชคยังดีที่มีรูโหว่ขนาดใหญ่ตรงทิศเดียวกับเริ่นเสี่ยวซู่ ซึ่งมากพอให้คนหนีออกทีเดียวได้หลายคน
ในช่วงที่กำลังจนมุม คนมักก้มหน้าก้มตาตามหลังผู้อื่นไป คนที่หายนะหล่นใส่หัว จะคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป เลยได้แต่วิ่งไปทางที่ผู้อื่นกำลังวิ่งไป
หนึ่งคนวิ่งนำ ผู้โชคดีที่รอดชีวิตก็ตามติดคนผู้นั้นไป และจำนวนผู้คนในฝูงชนหลบหนีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หวังฟู่กุ้ยพอนับจำนวนคนได้อยู่คร่าวๆ ตอนนี้น่าจะมีคนหลายพันที่กำลังหลบหนีอยู่ และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารอต่อไปไม่ได้แล้ว แมลงหน้าคนไม่มีทางปล่อยอาหารจำนวนมากขนาดนี้ไปแน่ และพวกหมาป่าก็ไม่มีทางปล่อยอาหารให้หลุดคมเขี้ยวพวกมันไปเช่นกัน
เสียงกระสุนปืนสนั่นวุ่นวายนั้นเบาลงไปเรื่อยๆ แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ากองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งน่าจะมีบทบาทอย่างมาก ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจไปที่ไม่เห็นกองพลน้อยเข้าร่วมรบเลย
หรือว่าฐานทัพอยู่ไกลเกินไป
สุดท้ายก็มีคนคิดจะใช้แม่น้ำเป็นทางหนีพวกแมลงหน้าคน เพราะปกติแล้วแมลงจะกลัวน้ำ
ทว่าพอมีคนกระโดดลงแม่น้ำปุ๊บ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากน้ำที่ขุ่นมัว และเขมือบคนที่กระโดดลงไปทันควัน จากนั้นเลือดกระจายไปทั่วน้ำขุ่นมัวนั้น
ทั่วทั้งเมืองในป้อมปราการมีแต่ควันไฟและกลิ่นอายโลหิต เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยเห็นภาพล้างบางเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งเขาเองยังรู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป
เขาขมวดคิ้ว “ไปจากที่นี่กันเถอะ พวกที่หนีจากป้อมปราการมีแต่จะดึงดูดอันตรายมาหาเรา”
เหล่าผู้อพยพไม่น้อยที่เหนื่อยจัดจนไม่อยากจะเคลื่อนไหวอะไรต่อแล้ว ตอนที่หนีจากเมืองนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการวิ่ง พอได้มาหยุดพัก กล้ามเนื้อทั่วร่างก็กรีดร้อง
วิ่งเต็มแรงเช่นนี้เค้นพลังงานมากกว่าวิ่งเหยาะๆ มาก
หวังฟู่กุ้ย หวังต้าหลง เหยียนลิ่วหยวน และเสี่ยวอวี้ไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่งเช่นเริ่นเสี่ยวซู่ แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่บอกให้เดินทางต่อ ก็ไม่มีใครบ่นอิดออด
มีแต่ต้องฟังคำสั่งของเริ่นเสี่ยวซู่ถึงจะมีทางรอด
พวกเสี่ยวอวี้กัดฟันกรอดเดินตามเริ่นเสี่ยวซู่ให้ทัน เริ่นเสียวซู่ว่าเสียงเบา “หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก กรดแลคติกจะสะสมอยู่ในร่าง มีแต่ต้องเดินทางต่อ เพราะถ้ายิ่งพักนาน ก็ยิ่งปวดมากเท่านั้น”
พอผู้อพยพคนอื่นๆ เห็นพวกเริ่นเสี่ยวซู่จะจากไปแล้ว บางคนก็ตามไป ทว่าที่เหลือต่างคิดว่าไหนๆ แมลงหน้าคนก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เลยไม่รีบร้อนจะหนีต่ออะไร ที่เช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากหนี แต่เพราะอยากพักอีกสักหน่อย
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ก็มักมีคนที่หวังจะพึ่งแต่ดวงเสมอ
พริบตานี้เอง เสี่ยวอวี้และเหยียนลิ่วหยวนก็พลันสังเกตเห็นว่า ในหมู่ทุกคนที่นี่ เริ่นเสี่ยวซู่ดูสบายปลอดโปร่งสุดแล้ว ดูไม่เหนื่อยอะไรแม้แต่เพียงนิด
……………….
[1] สื่อถึง ทฤษฎีหงส์ดำ (Black Swan Theory) หมายถึงว่า สิ่งที่เราไม่เคยเจอ ไม่ได้แปลว่าไม่มี เดิมทฤษฎีนี้มาจากว่าแต่เดิมโลกเชื่อว่าหงส์ทุกตัวเป็นสีขาว (All Swans Are White) ทว่าความเชื่อนี้ก็ถูกล้มลง เพราะพบหงส์ดำในทวีปออสเตรเลีย