มีคนคิดว่าตัวเองโชคดีนักที่แมลงหน้าคนไม่ตามล่าตนต่อแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าหายนะนี้ไม่ได้มีแต่แมลงหน้าคน
ไหนจะตัวทดลอง ไหนจะสัตว์ประหลาดสุดน่าสะพรึงที่อยู่ในภูเขาไฟอีก ไม่ว่าจะตัวไหนเริ่นเสี่ยวซู่ก็พร้อมวิ่งหนีหางจุกตูดทั้งนั้น
คนราวสี่ร้อย ทุกคนล้วนเป็นผู้อพยพ ต่างมุ่งหน้าไปทางป้อมปราการ 109 เริ่นเสี่ยวซู่พาพวกเสี่ยวอวี้ไปรวมกลุ่มกับพวกเขาด้วย ทว่าไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน
มีคนไม่น้อยที่จำหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และคนอื่นๆ ได้ แต่ต่างคนต่างคิดแต่จะหลบหนี เลยไม่ได้สนใจ
มีคนพลันคิดอะไรบางอย่างได้ “จะว่าไป ระหว่างทางไปป้อมปราการ 109 มันน่าจะมีโรงงานอยู่แห่งหนึ่งนะ”
ชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งว่า “ใช่ มีโรงงานทรายอยู่ ฉันเคยทำงานที่นั่น”
“ที่โรงงานนั่นมีคนงานเยอะแค่ไหนกันเหรอ”
“ประมาณสองร้อย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรที่คอยขุดทรายในพื้นที่ เลยไม่ได้ต้องใช้งานคนมากมายอะไร แต่พวกเขาเหมือนจะทำไร่ผักอยู่ด้วยนะ ที่นั่นน่าจะมีอะไรกินแหละมั้ง” หลังจากหนีมาพักหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มหิวกันบ้างแล้ว
“ในเมื่อป้อมปราการไม่มีอยู่แล้ว หมายความว่าเราสามารถย้อนกลับไปฟาร์มหมูแล้วล่าหมูมากินสักหน่อยได้น่ะสิ” ชายผู้หนึ่งว่า “ไม่น่าจะมีใครคอยคุ้มกันแล้วนะ”
“อยากรู้จังว่าผู้หญิงในป้อมสวยหรือเปล่า” มีคนโพล่ง “ฉันเคยเห็นลั่วซินอวี่ด้วย เธองามชดช้อยเลยละ ตอนนี้คนในป้อมกำลังวุ่นวาย ทำไมไม่…”
เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองพวกเขา คงเพราะพวกเขาคิดว่าไม่มีอันตรายอะไรแล้ว จึงดูสบายใจเฉิบมาก
คนพวกนี้คือพวกที่เห็นคนตายแล้วยังไม่เห็นโลงศพ
ผู้อพยพในเมืองส่วนใหญ่ต่างชืดชาและไร้เยื่อใยต่อผู้อื่น วันเวลาส่วนใหญ่ ไม่ไปสร้างปัญหาให้คนอื่นก็บุญถมเถแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครรู้สึกเศร้าสร้อยอะไรนักยามเห็นผู้อื่นต้องจบชีวิตลง
อีกทั้งว่าถ้าเหล่าผู้สูงศักดิ์ในป้อมปราการเป็นผู้ที่ตาย พวกเขายิ่งชืดชาเข้าไปใหญ่ ในใจอาจจะลอบโห่ร้องยินดีเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงคนส่วนน้อยที่ต้องเสียครอบครัวไปจึงมีสีหน้าหดหู่อย่างยิ่ง
คนจำนวนสี่ร้อยกว่าที่อยู่ที่นี่ เกือบครึ่งคือผู้หญิง พวกเธอมองดูผู้ชายรอบกายด้วยสายตาระแวดระวัง บางคนสามีเพิ่งตายจาก จึงรู้ในพลันว่าต่อไปจะต้องพบเจอกับอันตรายใด
“เสี่ยวซู่ พวกเราจะไปพักที่โรงงานทรายด้วยหรือเปล่า” เสี่ยวอวี้ถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่ไป” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ถ้าจะพักตอนกลางคืน พวกเราต้องออกห่างจากฝูงชน ถ้าอันตรายคืบใกล้มา มันต้องเข้าหาคนกลุ่มใหญ่ก่อนแน่นอน อีกอย่าง คนเองก็อาจจะกลายเป็นแหล่งอันตรายใหม่ก็ได้”
เสี่ยวอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก “อืม เธอไม่ต้องห่วงเรื่องหุงหาอาหารนะ พวกเราพกของกินกันมาด้วย และฉันรู้จักพวกคนในเมืองดี พวกนั้นทำได้ทุกอย่าง”
“อืม ไม่ต้องกังวลอะไรมากหรอก ก็แค่พวกอันธพาลฝูงหนึ่ง” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองเหยียนลิ่วหยวนและว่า “ซ่อนปืนให้ดี”
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ปืนฆ่าคนที่มาเฝ้าจับตาดูตนนั้น แม้ว่าในเมืองกำลังวุ่นวายโกลาหล ก็ยังมีคนไม่น้อยอยู่ดีที่สังเกตเห็น
แต่เขาไม่ได้กลัวว่าพวกฝูงอันธพาลพวกนี้จะกล้าทำอะไร แต่ระวังไว้ก่อนก็ถือว่าเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้
“คนที่โรงงานทรายน่าจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมือง พวกเขาอาจจะเจอสัมผัสได้ถึงแรงแผ่นดินไหว แต่คงยังไม่รู้หรอกว่าป้อมปราการถล่มแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่เขาจิ้งซาน คลื่นแผ่นดินไหวกระจายไปหลายร้อยกิโลเมตร เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสงสัยว่าถ้าป้อมปราการ 113 พังทลายขนาดนี้ ป้อมปราการ 112 จะล้มครืนลงมาด้วยหรือเปล่า
อย่างไรเสียระยะห่างของป้อมปราการ 112 และป้อมปราการ 113 กับเขาจิ้งซานนั้นอยู่ในระยะทางที่เท่ากัน
กลุ่มหลบหนีมาถึงโรงงานทรายตอนบ่าย และแล้วพวกเขาก็ได้เห็นว่าตึกโรงงานและหอพักคนงานนั้นถล่มลงมาหมดแล้ว มีกลุ่มคนงานของโรงงานทรายกลุ่มใหญ่กำลังใช้รถขุดทำความสะอาดซากปรักหักพังของโรงงาน
พอกลุ่มคนงานเห็นว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากเข้าใกล้พวกเขาก็ตะลึงไป พอพวกเขาได้ยินว่าป้อมปราการเหลือแต่ปรัก ก็ต่างนิ่งจังงันพูดอะไรไม่ออก
ถ้าป้อมปราการพังแล้ว พวกเขาจะสร้างโรงงานไปทำซากอะไรล่ะ
ผู้หลบหนีส่วนใหญ่นั่งแหมะลงกับพื้น พวกเขาเดินต่อไม่ไหวแล้ว และคิดจะพักที่โรงงานทรายนี้สักคืนหนึ่ง อย่างน้อยที่นี่ก็มีอาหารให้กิน
มีคนคิดจะอยากตามเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าพอเห็นคนส่วนใหญ่ยังอยู่กันที่นี่ เลยไม่ได้ตามเขาต่อ อย่างไรอยู่กันเยอะๆ ก็ปลอดภัยกว่ามิใช่หรือ
แถมมีคนงานจากโรงงานทรายมาเพิ่มอีก รวมๆ แล้วก็กลุ่มมีสมาชิกเพิ่มเป็นราวๆ หกร้อยคน
เริ่นเสี่ยวซู่มินำพา กลับแหงนหน้ามองฟ้า แล้วนำพวกเหยียนลิ่วหยวนเดินทางต่อ เหลือเวลาอีกเพียงสองสามชั่วโมงก่อนฟ้ามืด แต่ก็ยังมากพอที่จะพาพวกเขาคืบหน้าไป
หวังต้าหลงบ่นออดระหว่างทาง “พวกเราพักสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
แต่ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะทันพูดอะไร หวังฟู่กุ้ยก็ตบหัวลูกชายตัวเอง “ถ้าบอกให้เดินต่อก็เดินไป อย่าบ่น!”
หวังฟู่กุ้ยส่งยิ้มให้เริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “เขายังเด็ก อย่าถือสาเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว เขาย่อมจำมิตรภาพที่หวังฟู่กุ้ยมีต่อเหยียนลิ่วหยวนและเขาได้อย่างดี เพราะอย่างนั้นจึงไม่คิดอะไรมากกับคำบ่นออดแอดของหวังต้าหลง
ต่อให้หวังต้าหลงยังพูดจาห้วนๆ แบบนี้ต่อไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังจะพาหวังต้าหลงไปส่งที่ป้อมปราการ 109 อยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเสริม “ทนอีกหน่อยจนกว่าจะเจอที่พักดีๆ แต่ก่อนพักเต็มที่ ทุกคนต้องนวดกล้ามเนื้อตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้คงเดินทางต่อไม่ไหวแน่ และถ้าเจออันตรายเข้าก็คงหนีไม่พ้น”
เรื่องนี้มาจากประสบการณ์การเอาตัวรอดในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ล้วนๆ
ตอนนี้มีคนไม่น้อยที่เดิมทีหนีมาพร้อมเริ่นเสี่ยวซู่กำลังนั่งพักอยู่กับพื้นและมองพวกเริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ หายลับตาไป มีหัวเราะและว่า “เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลัวว่าตัวเองจะเคี่ยวกรำเพื่อนจนเหนื่อยตายเหรอไง”
“หวังฟู่กุ้ยออกจะฉลาด ในเมืองก็มีฐานะใช่เล่น ทำไมถึงตามเด็กพวกนั้นไปได้วะ” มีคนเยาะ “ตอนฉันเห็นเขาหนีแบบพะว้าพะวังตอนแรก ก็นึกว่าจะมีตัวอันตรายอะไรบางอย่างตามเรามาเสียอีก แต่ไม่เห็นจะมีอะไรตามมาเลย!”
“หวังฟู่กุ้ยต้องพกเงินมาไม่น้อยแหง” ผู้มีจิตมุ่งร้ายผู้หนึ่งกระซิบ “เขาเปิดร้านขายของชำมาตั้งหลายปีดีดัก ตอนนี้ต้องเอาทรัพย์สินมาด้วยทั้งบ้านแน่”
“ไหนยังมีหลีเสี่ยวอวี้อีก…”
“เลิกคิดเหอะ” มีคนแค่นเสียง “เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวนมีปืนทั้งคู่ นายไม่รู้เหรอไง”
“จะกลัวอะไร พวกเรามีคนตั้งมาก” มีคนยังยืนกราน “พวกเราคนเยอะขนาดนี้จะกลัวอะไรกับปืนสักกระบอก เขาจะมีกระสุนกี่นัดกันเชียว”
“อ้อ ดีเลย งั้นนายจะเป็นคนเปิดสินะ”
จากนั้นทุกคนก็สะอึกเงียบไป ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะมีกระสุนจำนวนจำกัด แต่พวกเขาก็มีแค่ชีวิตเดียวเช่นกัน ใครเปิดจู่โจมก่อน คนนั้นตาย
เริ่นเสี่ยวซู่มองพวกเขาไม่ผิด ก็แค่อันธพาลฝูงหนึ่ง
มีคนพูดปัด “เลิกคุยไร้สาระเหอะ คืนนี้พักที่นี่แล้วเดินทางต่อพรุ่งนี้ดีกว่า”
แต่เมื่อความมืดมาเยือน เสียงหอนของหมาป่าก็ดังมาแต่ไกล ทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่รีบเด้งตัวขึ้น หันหน้าขวับไปทางเสียงด้วยความพรั่นพรึง
พวกเขารู้ดีว่าฝูงหมาป่าน่ากลัวแค่ไหน แค่ไม่คิดเลยว่าพวกมาจะมาโผล่ที่นี่ด้วย!
จากเสียงหอนนั่น อย่างมากฝูงหมาป่าก็อยู่ห่างไปราวๆ สามถึงห้ากิโลเมตรเท่านั้น!
“รีบวิ่งเร็ว! แม่*มีตัวอันตรายโผล่มาจริงๆ ด้วย”
“พวกเราน่าจะตามเริ่นเสี่ยวซู่ไปแต่แรก แม่*เอ้ย!”
ทุกคนเริ่มเสียใจที่ไม่ได้ตามเริ่นเสี่ยวซู่ไป ทว่าพอพวกเขาลุกขึ้นจะหนีอีกครั้ง ก็พบว่าขาพวกเขาหนักไม่ต่างจากตะกั่ว ทั้งร่างปวดร้าวไปหมด!