the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 111 พี่ชายของหลิวปู้

ชาวป้อมปราการหลายพัน โดนผู้อพยพหลายร้อยจี้ปล้นทั้งนาฬิกาข้อมือ เพชรพลอย เงินสด และอาหารไปหมดสิ้น จนตอนนี้เหลือแต่ตัวเปล่าแล้ว

อาหารที่พกมานั้นถือเป็นของขาดแคลนอย่างยิ่ง ตอนที่ภัยพิบัติเกิดขึ้น ไม่มีใครได้ทันเตรียมตัวเลย ใครเล่าจะคิดทันว่าต้องหยิบหาอาหาร หรือพูดให้ชัดเจนกว่านี้ เหล่าผู้มีอำนาจในป้อมปราการนั้น ต่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรรับมือเช่นไร เป็นเพราะว่าส่วนใหญ่ต่างไม่เคยได้หิวโหยอดอยากมาก่อน ต่อให้มีคนที่พกอาหารมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่ขนมเล็กน้อยเท่านั้น

แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่โดนปล้นอยู่ อย่างเช่นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ในอาณาเขตห้าเมตรรอบตัวเริ่นเสี่ยวซู่เป็นต้น

เป็นเพราะผู้อพยพที่ลงมือปล้นผู้คนไม่ยอมเข้ามาอยู่ใกล้เริ่นเสี่ยวซู่แม้แต่วินาทีเดียว พวกเขาต่างกลัวว่าถ้าเอ้อระเหยอยู่ใกล้ๆ เขาอีกไม่กี่วินาที เริ่นเสี่ยวซู่จะหมายตาของอะไรบางอย่างบนร่างตนเอาได้

เริ่นเสี่ยวซู่ตรวจดูนาฬิกาข้อมือที่ได้รับมาใหม่กับหวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ เมินสายตาที่ผู้อื่นมองมาไปเสีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูสาวที่ยืนอยู่หลังเขา สีหน้าที่เธอมองมาเผยให้เห็นแต่ความซับซ้อน

ชาวป้อมปราการที่เหลือรอบๆ เริ่นเสี่ยวซู่ เห็นเต็มสองตาว่าผู้อพยพคนอื่นๆ ต่างกลัวเด็กหนุ่มผู้นี้! กลัวแบบโคตรกลัวเลย!

จริงๆ แล้วตอนเริ่นเสี่ยวซู่อยู่เมืองนั้น เขาไม่ได้ลงมือฆ่าคนแบบไม่เลือกหน้า เขาฆ่าเพียงเพราะถูกบังคับให้ลงมือเท่านั้น แต่กระนั้นยามผู้อพยพเห็นหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ก็เกิดความกลัวโดยสัญชาตญาณ

โลกใบนี้กำหนดมาให้ดำเนินเช่นห่วงโซ่อาหาร คนอ่อนแอกลัวคนดุร้าย คนดุร้ายกลัวคนที่สามารถฆ่าคนตาไม่กะพริบ

หลังจากพวกผู้อพยพค้นตัวแกมปล้นเสร็จ พวกเขาก็กลับไปรายงานหวังอี้เหิง มีคนกระซิบอะไรบางอย่างใส่หูเขา ทำเอาเขาหันขวับมามองเริ่นเสี่ยวซู่

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทง เขาจึงหันไปมอง แล้วสบตาเข้ากับหวังอี้เหิง

ทว่าดวงตาของเริ่นเสี่ยวซู่มีแต่ความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความกลัวแม้แต่น้อย หวังอี้เหิงใบหน้าบูดบึ้งแต่ไม่พูดอะไร หลังจากพักหนึ่ง เขาก็หันไปหาผู้อพยพข้างกาย “ช่างหัวเริ่นเสี่ยวซู่ไปก่อน ถ้าเขาคิดจะทำอะไรแผลงๆ ละก็ พวกเราค่อยสั่งสอนเขา”

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นหวังอี้เหิงละสายตายไป เขาก็แค่นเสียง หวังอี้เหิงก็แค่พวกรังแกแต่ผู้อ่อนแอ ถึงเขาจะไม่เคยได้รู้จักมักจี่อะไรกับหวังอี้เหิง แต่เมืองเล็กแค่นั้น ผู้จัดการโรงงานก็มีไม่มาก เขาจึงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหวังอี้เหิงมาก่อน

หวังฟู่กุ้ยว่าเสียงค่อย “หวังอี้เหิงผู้นี้มีแม่บุญธรรมอยู่ในป้อมปราการ และก็เพราะเธอ เขาถึงได้ตำแหน่งผู้จัดการโรงงานทรายมาครอบครอง”

“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ไม่ต้องสนใจเขา”

เพราะหวังอี้เหิงมัวแต่จะปล้นสะดม ทั้งกลุ่มหลบหนีจึงเคลื่อนตัวช้าลง ตอนนี้ทุกคนต่างอ่อนล้า จึงคิดจะนั่งลงพักเสียหน่อย ไม่นานนักก็มีคนมากมายเอนตัวนอนลงบนพื้น

นี่มันเหนื่อยเกินไปแล้ว เหนื่อยจนแทบหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

เริ่นเสี่ยวซู่แนะ “ทุกคนพักกันก่อน ฉันจะเฝ้ายามครึ่งคืนแรกให้ ส่วนครึ่งคืนหลังลิ่วหยวนกับเหล่าหวังเฝ้า”

เขากับเหยียนลิ่วหยวนห้ามนอนพร้อมกัน เพราะในกลุ่มมีแค่เขาและเหยียนลิ่วหยวนที่มีปืน ดังนั้นหนึ่งในพวกเขาต้องคอยเฝ้าระวังตลอดเวลา

และในกลุ่มเอง หวังฟู่กุ้ย เสี่ยวอวี้ และหวังต้าหลงล้วนไม่มีเหตุผลอะไรต้องลงมือจัดการเขา หนึ่งเลยเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เปิดเผยว่าเขามีทองคำเก็บไว้ในพระราชวัง สองคือถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากเริ่นเสี่ยวซู่ ก็ไม่มีใครสามารถรอดไปถึงป้อมปราการ 109 ได้แน่

ในฝูงชนอันวุ่นวาย เขาทั้งห้ารวมตัวเป็นกลุ่มเดียวกัน ผู้อื่นห้ามเข้ามาเสริมในกลุ่ม และเริ่นเสี่ยวซู่ก็จะไม่เชื่อใจผู้อื่นด้วย

เหยียนลิ่วหยวนพูด “พี่ ทำไมพี่ไม่นอนก่อนแล้วให้ผมเฝ้ากะแรกให้ล่ะ วันนี้พี่ผ่านอะไรๆ มาตั้งเยอะ พี่น่าจะเหนื่อยนะ”

“ไม่” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว “ไปนอนตามที่ฉันสั่งเถอะ อย่ามัวโอ้เอ้เสียเวลา”

“ก็ได้” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

เห็นเหยียนลิ่วหยวนว่าง่ายต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่เช่นนี้ หวังฟู่กุ้ยก็ลอบถอนหายใจ ใครจะไปนึกล่ะไม่กี่วันก่อน เด็กคนนี้ยังยิงปลิดชีวิตคนไปหลายศพอยู่เลย เจ้าเด็กสองคนนี้นี่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแท้ๆ

ตอนที่ทุกคนหลับลงไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เริ่มคิดว่าพวกตนควรทำอะไรต่อ ไปถึงป้อมปราการ 109 ได้ก็จะดีที่สุดเลย ไหนจะทองที่เขามี ไหนจะยาที่เหล่าหวังพามา แค่นั้นก็พอสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปแล้ว แต่ถ้าพวกเขาเข้าป้อมปราการไปไม่ได้ ก็ต้องเตรียมตัวอยู่ที่เมืองน้อยนอกป้อมปราการ 109 นั่น

แผ่นดินไหวน่าจะกระทบไปถึงป้อมปราการ 109 เช่นกัน แต่คงไม่ถึงกับทำลายป้อมให้ราบเป็นหน้ากลองเหมือนที่ป้อมปราการ 113 โดน

ทันใดนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่หันมอง “ห้ามเข้ามาใกล้ ไม่งั้นตาย”

แทนที่จะชะงักไป ชายวัยกลางคนกลับกล่าว “ฉันเป็นหัวหน้าหน่วยกองพลาธิการแห่งป้อมปราการ 113 ฉันชื่อว่าหลิวไห่”

คราวนี้เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่ตะลึงไป เขาจำได้ว่าลั่วซินอวี่เคยพูดอยู่ว่าพี่ชายของหลิวปู้นั้นเป็นหัวหน้าหน่วยกองพลาธิการ นี่คงไม่ได้หมายถึงคนตรงหน้าเขาหรอกใช่ไหมเนี่ย!

คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็อารมณ์บูด ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่อยากฆ่าหลิวปู้แทบตาย ทว่าเขา สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่นไม่ใช่คนเลือดเย็น จึงไม่ได้ลงมือสังหารคน

แต่สุดท้ายหลิวปู้ก็ทรยศหักหลังทุกคนไม่ใช่หรือ

นิสัยหลิวปู้เป็นเช่นนั้น พี่ชายคงไม่ดีไปกว่ากันหรอก

หลิวไห่มองเริ่นเสี่ยวซู่ “คือว่า…ผมกำลังคิดอยู่ว่าเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะร่วมกลุ่มกับคุณน่ะ พอพวกเราไปถึงป้อมปราการ 109 แล้ว ผมจะติดต่อคนรู้จักให้ช่วยจัดหาที่อยู่ในป้อมปราการให้ทันทีเลย ถ้าคุณอยากได้เงิน ผมก็มีเช่นกัน แต่ว่ามันอยู่ในธนาคารสมาคมตระกูลชิ่ง!”

เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา อีกหนึ่งนายที่ได้แต่สัญญาปากเปล่า “ฉันละอยากรู้จริงๆ ว่าระดับหัวหน้ากองพลาธิการจะทำแบบที่นายพูดได้ไหม ถ้านายแกร่งกล้ามากขนาดนั้นจริง คงไม่ได้เป็นแค่หัวหน้าหน่วยหรอกมั้ง ไสหัวไป”

หลิวไห่หน้าซีดขาว เงียบไปพักใหญ่

คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่น้อยตื่นขึ้นเพราะเสียงพูดคุย แต่ว่าพวกเขาไม่ได้สงสัยอะไร เพียงแค่รับฟังคำพูดของหลิวไห่และเริ่นเสี่ยวซู่อยู่เฉยๆ ว่าตามตรง คือมีคนไม่น้อยที่เกิดความคิดเช่นเดียวกันกับหลิวไห่ เห็นอย่างได้ชัดเจนเลยว่าหวังอี้เหิงและผู้อพยพคนอื่นๆ ไม่กล้ามายุ่มย่ามกับเริ่นเสี่ยวซู่ และเริ่นเสี่ยวซู่เองก็ดูเข้าหาง่ายว่ากลุ่มของหวังอี้เหิงอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้ว ถ้ามีเริ่นเสี่ยวซู่คุ้มกะลาหัวให้คงดีมากเลยไม่ใช่เหรอ

พวกเขาเดากันเอาเองว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนดี เพราะกลุ่มเขามีทั้งคนแก่ เด็ก และผู้หญิง แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าหวังฟู่กุ้ยและเสี่ยวอวี้นั้นทำอะไรเพื่อเริ่นเสี่ยวซู่มาบ้าง

พวกนักเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่สองแห่งป้อมปราการ 113 นั้นแยกย้ายกันนอนอยู่บนพื้น พวกเขาไม่สนแล้วว่าพื้นสกปรกหรือไม่สกปรกเพราะอ่อนล้าสุดๆ มีแต่ครูสาวเท่านั้นที่พอจะห้ามใจตัวเองให้ยืนอยู่เช่นนั้น ตอนเธอเห็นคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเริ่นเสี่ยวซู่ ตาเธอก็ทอประกายทันที ทว่าก็ต้องประหลาดใจไปที่เริ่นเสี่ยวซู่นั้นตอบปฏิเสธข้อเสนอไปหมดสิ้น เธอผิดหวังไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เธอเริ่มเหม่อ วันนี้เธออ่อนล้านัก เพราะต้องช่วยเหล่านักเรียนหลบหนีมาตลอด

กลางดึก เหยียนลิ่วหยวนตื่น “พี่ ตาพี่นอนแล้ว”

“อือ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า หันไปมองเสี่ยวอวี้ หวังฟู่กุ้ย และหวังต้าหลงที่ยังหลับอุตุ เขาคิดแล้วถอนหายใจออกมา “วันนี้ปล่อยให้พวกเขาพักกันไปก่อนเถอะ แค่นายกับฉันเข้ากะเฝ้าตอนกลางคืนก็พอแล้ว”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset