กลุ่มคนหลายพันมุ่งหน้าไป แต่ส่วนใหญ่ล้วนหิวโหย โดยเฉพาะตอนนี้ต้นหน้าหนาว ผู้ที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องรู้สึกหนาวเย็นยิ่ง
ช่วงเวลานี้ของปี บรรดาผักป่าเริ่มเหี่ยวเฉา ต่อให้พืชทนทานอย่างจี้ช่ายก็ยังเริ่มโรยราแล้ว
ตลอดริมทางตามเส้นทางที่หลบหนีเหี้ยนเตียนสิ้น พวกเขาต่างมองหาพืชหญ้า เปลือกไม้ รากไม้กิน
ตอนแรกคนในป้อมปราการยังเก็บงำกันอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หิวโหยไม่ไหว ไม่ถงไม่ถืออะไรต่อทั้งนั้นแล้ว
กลับกัน พวกเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เครียดอะไรเลยแม้แต่น้อย พวกเขากินของพวกนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว
ผักป่ากินสดจะมีรสชาติขม หลังกินไปยังทิ้งรสฝาดติดลิ้น บางคนที่กินไปถึงกับต้องอาเจียนออกมาเพราะร่างกายรับไม่ไหว
แต่มีคนโชคร้ายกว่านั้น พวกเขานอนนิ่งกับพื้นน้ำลายฟูมปากหลังจากกินอาหารไม่ทราบที่มาบางอย่าง
ไม่มีใครสนใจพวกที่ล้มนอนลงกับพื้น ทุกคนเดินผ่านพวกเขาและเดินทางต่อไปอย่างหน้าตาเฉย ราวกับเป็นร่างไร้วิญญาณขบวนหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักเท้า เขาดูคนที่ล้มลงไปกันพื้นแล้วกล่าวกับเหยียนลิ่วหยวนว่า “นี่เป็นอาการของคนที่กินแปะเถ่าอง[1] ปกติฉันจะเรียกมันว่าขึ้นฉ่ายป่าหรือโสมพิษน่ะ เจ้าต้นนี้มันหน้าตาเหมือนขึ้นฉ่ายเลย ถ้าเกิดกินพลาดขึ้นมา คนก็จะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน มือเท้าเย็น และแขนขาอัมพาต ถ้าเกิดอาการร้ายแรง ก็สามารถถึงชีวิตได้”
เจียงอู๋ที่ตามอยู่เงียบๆ จำคำพวกนั้นไว้ในใจ หลังจากนั้นก็เตือนนักเรียนของเธอว่าอย่าไปเด็ดพืชผักที่หน้าตาเหมือนขึ้นฉ่าย พวกนักเรียนว่าอย่างงุนงงว่า “ขึ้นฉ่ายหน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ/ค่ะ”
นักเรียนพวกนี้อาศัยอยู่ในป้อมปราการ เป็นธรรมดาที่พ่อแม่จะเป็นผู้ดูแลของจำเป็นพื้นฐานต่างๆ ใครเล่าจะไปตรัสรู้ได้ว่าขึ้นฉ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร
หลังจากผู้หลบหนีหลายพันผ่านไป เส้นทางก็เหมือนโดนฝูงตั๊กแตนลง ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นรถออฟโรด อยู่ข้างหน้า นั่นมันรถของหลัวหลานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงถูกทิ้งไว้ที่นี่ได้ล่ะ
ทุกคนรีบเข้าไปมุง แล้วต้องประหลาดใจไปที่เห็นว่าโครงรถพังยับแล้ว
ถนนดินในแดนรกร้างขรุขระมาก ต่อให้เป็นรถออฟโรดที่เหมาะกับเส้นทางเช่นนี้ ก็ไม่อาจทานทนรับไหว
บางทีอาจเป็นเพราะหลัวหลานเองก็ไม่ทันคิดเหมือนกันว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ หลัวหลานเลยได้แต่ต้องทิ้งรถไป
กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเปิดประตูรถค้นอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาของกิน แต่ก็ต้องผิดหวังที่ในรถไม่เหลืออะไรแล้ว ขนาดเบาะหนังก็ถูกกระชากออก
ไม่ใช่แค่นั้น ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ขนไปง่ายๆ ก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าชิ้นส่วนรถพวกนั้นน่าจะเอาไปเพื่อเปลี่ยนเป็นอะไหล่สำรองให้รถคันอื่น ส่วนรถคันนี้พังยับเรียบร้อย
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยว่าหลัวหลานคงกำลังรีบร้อนไปป้อมปราการ 109 สุดๆ ดูทรงแล้วหลัวหลานน่าจะถึงป้อมปราการ 109 แล้วด้วยซ้ำไป
วันนี้ผู้หลบหนีกำลังคุยกันว่าถ้าไปถึงป้อมปราการแล้ว พวกเขาจะได้เข้าป้อมปราการไปไหม แล้วป้อมปราการ 109 จะใช้ข้ออ้างอะไรไม่ให้พวกตนเข้าไปล่ะ อย่างไรเสียพวกตนก็เป็นพลเมืองของป้อมปราการอย่างถูกกฎหมายนะ
ถึงป้อมปราการทั้งหลายจะแบ่งแยกกันตามองค์กรใหญ่ๆ แต่องค์กรที่เป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของแต่ละป้อมปราการนั้น ก็ยังถือว่าเป็นพันธมิตรร่วมรบกัน
บางคนก็ว่าพวกตนคงไม่ได้เข้าไปหรอก พวกเขามาจากป้อมปราการ 113 ภายใต้สมาคมตระกูลชิ่ง แต่ป้อมปราการ 109 ที่พวกตนกำลังมุ่งหน้าไปนั้นอยู่ภายใต้สมาคมตระกูลหลี่ ถ้าพวกเขาไม่ให้พวกตนเข้าไปจริง พวกตนก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าบุคคลสำคัญจากสมาคมอย่างหลัวหลานน่าจะไม่คิดหรอกว่าจะได้เข้าหรือไม่ได้เข้าป้อมปราการ เพราะอย่างไรสมาคมตระกูลหลี่ก็ต้องไว้หน้าสมาคมตระกูลชิ่งบ้างแหละ
แต่ทุกคนที่นี่ จะไปลงเอยอย่างไรยากรู้ได้
พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่ไม่นานนัก เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นรถบรรทุกทหารอีกคันจอดทิ้งไว้ข้างทาง
รถพังอีกคันแล้วเหรอ ทุกคนเดินไปดู ก่อนจะเห็นยางแบนล้อหนึ่ง
“พวกเขาไม่มียางสำรองเหรอไงนะ” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
ตอนที่รถบรรทุกทหารขับผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ เขาเห็นว่ามีทหารเต็มคันรถ ดูแล้วพวกเขาคงบรรทุกคนมาเกินรถจะรับไหว
ถ้ามีรถอีกคันพัง เริ่นเสี่ยวคาดว่าคงยากแล้วที่หลัวหลานจะไปถึงป้อมปราการ 109 ได้
ทุกคนเห็นรถพังๆ นี่ก็มีความสุขมาก ตอนพวกหลัวหลานขับผ่านไปราวลมสายหนึ่งนั้น ผู้หลบหนีต่างก็คิดว่าพวกเขามีสิทธิ์อะไรถึงได้นั่งรถ ส่วนพวกตนต้องเดินเท้า
แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว จิตใจพวกเขากลับสมดุล
คืนนี้ทุกคนพักลงแถวรถบรรทุกทหารที่ถูกทิ้ง ไม่อาจถูกเรียกว่า ‘แคมป์’ ได้ด้วยซ้ำ ก็แค่คนจำนวนมหาศาลเบียดเสียดนอนกันบนพื้นในแดนรกร้าง
พสุธาเย็นยะเยือก ความหนาวเย็นจากพื้นซึมเข้าร่าง
มีคนมากมายคิดจะตั้งกองไฟ แต่ปัญหาคือไม่มีของไว้จุดไฟ!
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่หาที่ให้เหยียนลิ่วหยวนและคนอื่นๆ ได้แล้ว เขาก็ไปหาฟืนไฟมาหน่อย สภาพอากาศอันเลวร้ายหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฟืนนี้ต้องอยู่ให้ได้พ้นคืน ไม่อย่างนั้นตื่นตอนเช้าอาจจะเป็นหวัดได้ง่าย
ถึงหวังฟู่กุ้ยจะมีหยูกยาอยู่ แต่ใครสติดีที่ไหนอยู่ดีๆ ก็ยอมป่วยล่ะ
ช่วงเวลานี้ของปี หาฟืนไฟไม่ยากนัก ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่กลับมาพร้อมกับฟืนกองใหญ่ เขาก็เห็นว่าเจียงอู๋นั่งยองอยู่ที่พื้นพยายามตั้งกองไฟ ครูสาวผู้นี้สั่งให้นักเรียนรวบรวมฟืนมาไม่น้อย จากนั้นเธอก็พยายามสุดชีวิตใช้มือปั่นไม้เพื่อจุดไฟ
เริ่นเสี่ยวซู่ที่มองอยู่ลอบส่ายหัว ครูสาวบอบบางเช่นเธอน่าจะไม่เคยทำงานใช้แรงงานหนักมาก่อนแน่ คนธรรมดาที่ใช้วิธีนี้จุดไฟ ต่อให้มือปั่นไม้จนเหวอะหวะ ก็ไม่อาจได้แม้แต่สักประกาย
เจียงอู๋คงคิดว่าพยายามใช้มือปั่นไม้ไปเรื่อยๆ แล้วไฟจะก่อขึ้นเอง
นักเรียนชายผู้หนึ่งว่า “ครูครับ ให้ผมทำแทนไหมครับ”
เจียงอู๋ส่ายหน้า “เธอเป็นนักเรียน ไม่สมควรทำงานหนัก ไปพักผ่อนเถอะ”
เธอหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ หวังว่าจะเรียนรู้วิธีปั่นไม้จุดไฟจากเขา แต่สุดท้าย เธอก็เห็นแต่เริ่นเสี่ยวซู่ควักกล่องไม้ขีดออกมา
ทำไมคนผู้นี้เตรียมตัวมาดีขนาดนี้เนี่ย เจียงอู๋ตกตะลึงจนเอามือปิดปาก ทุกคนต่างเป็นผู้หลบหนีเหมือนกันหมดแท้ๆ แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ากลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นทำอะไรๆ ง่ายดายกว่าคนอื่นมากล่ะ
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่จุดไฟได้แล้ว ก็เกิดประกายความอบอุ่นประกายหนึ่งในแคมป์อันมืดมิด แสงจันทร์เยือกเย็นก่อนหน้าเกิดเป็นสัมผัสอันอบอุ่น
แน่นอนใช่ว่าในแคมป์จะมีแต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่จุดไฟได้ นักสูบบางคนก็พกไม้ขีดไฟมาด้วย แต่พอมีผู้หญิงบางคนคิดขอยืมไฟ พวกเขาก็เสนอข้อแลกเปลี่ยนอันอวดดี พวกเขาหนีจากหายนะมาไม่ได้เท่าไร ใครจะบ้าเอาตัวเองไปแลกกับกองไฟกองหนึ่งเล่า
เจียงอู๋คิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินมาที่เขตของเริ่นเสี่ยวซู่ เสี่ยวอวี้กำลังคุยกับคนอื่นอยู่หยุดชะงัก และหันมามองเธอ
“คือว่าฉันขอ…” เจียงอู๋ค่อยๆ เอ่ยอย่างระวัง “ฉันขอยืมไฟหน่อยได้ไหมคะ ฉันจะให้ฟืนเป็นการแลกเปลี่ยน”
“ได้สิ” เสี่ยวอวี้ยิ้ม “ไม่ต้องเอาฟืนให้เราหรอก พวกเรามีเหลือเฟือ”
“ขอบคุณค่ะ” เจียงอู๋ดูตื่นเต้นไม่น้อย “ขอบคุณมากๆ ค่ะ!”
เธอวิ่งกลับไปที่พื้นที่ของเธอ ก่อนจะกลับมาพร้อมฟืนจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ไฟจากกองไฟของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเชื้อไฟ พวกนักเรียนที่มองอยู่ราวรับลูกเหยี่ยวฝูงหนึ่งกำลังรอแม่เหยี่ยวมาป้อนอาหารอย่างไรอย่างนั้น
………….
[1] แปะเถ่าอง หรือ ป๋ายโถวเวิง (白头翁) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pulsatilla chinensis (Bge.) Regel วงศ์ Ranunculaceae มีฤทธิ์ระบายความร้อนในเลือด ขับพิษร้อน