เริ่นเสี่ยวซู่มองเฉินอู๋ตี๋ด้วยความละเหี่ยใจ “ฉันขอบอกก่อนนะว่าฉันไม่ใช่ท่านอาจารย์ของนาย แล้วฉันก็จะไม่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมด้วย”
“หาถูกต้องไม่” เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังมุ่งหน้าไปทางใด”
“ตะวันตกเฉียงใต้?” เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “ป้อมปราการ 109 อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้”
เฉินอู๋ตี๋ว่าอย่างสงบนิ่ง “สวรรค์ประจิมอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้เช่นกัน อาจารย์ท่านอาจยังไม่รู้ตัว แต่ท่านกำลังเดินทางไปอัญเชิญพระคัมภีร์อยู่”
ให้ตายเถอะ! เป็นครั้งแรกเลยที่เริ่นเสี่ยวซู่เจอคนทำให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นนี้ “ฉันจะพูดซ้ำอีกรอบนะ ฉันไม่ใช่อาจารย์ของนาย เหล่าหวังไม่ใช่ตือโป๊ยก่าย และข้างๆ เขาคือหวังต้าหลง ไม่ใช่ซัวเจ๋ง!”
เฉินอู๋ตี๋โบกมือ “เรื่องนั้นหาสำคัญไม่!”
เริ่นเสี่ยวซู่ หวังฟู่กุ้ย “???”
ทำไมจะไม่สำคัญล่ะฟะ มันโคตรสำคัญเลยเฟ้ย!
ข้างๆ กัน เพราะกลัวเฉินอู๋ตี๋จะหันมาทักตนบ้าง เหยียนลิ่วหยวนจึงกำลังกลั้นขำสุดชีวิต เสี่ยวอวี้เองก็หลบอยู่หลังเหยียนลิ่วหยวน พวกเขาทั้งสองกลั้นขำจนตัวสั่นแล้ว
ตอนนั้นเองก็มีคนถาม “ตอนหนีพวกนายเจออะไรกันบ้างน่ะ”
คนที่เพิ่งรวมกลุ่มยังคงไม่ได้สติดี “แมลงที่มีหน้าคนอยู่ข้างหลังที่น่ากลัวโคตรๆ เมื่อคืนพวกเราได้ยินเสียงหมาป่าหอนด้วย พวกเรากลัวจนไม่กล้านอน โชคดีที่ว่า เฉินอู๋ตี๋…”
“เรียกข้าว่าฉีเทียนต้าเซิ่ง” เฉินอู๋ตี๋แก้
“ก็ได้ โชคดีที่ฉีเทียนต้าเซิ่งไล่แมลงพวกนั้นไปได้หมดเลย พวกมันดูกลัวเขามาก” ผู้พูดรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นที่สุด สองวันมานี้เขาหวาดกลัวมาก การได้มารวมกลุ่มกับคนอีกหลายพันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้ในที่สุด
ขณะเดียวกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะไปตีสนิทเฉินอู๋ตี๋อย่างไรดี
คนผู้นี้อ้างว่าตัวเองเป็นร่างอวตารของฉีเทียนต้าเซิ่ง แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อคำพวกนั้นหรอก เขาคิดว่าเจ้านี่คงฟังเรื่องซุนหงอคงตอนเด็ก แล้วเก็บมาเพ้อฝันว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษแบบนั้นตามน่ะสิ
ที่จริงแล้ว หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่อ่านไซอิ๋ว ก็ทราบได้ทันทีภาพลักษณ์ของฉีเทียนต้าเซิ่งกำจัดเหล่ามารนั้นเป็นเพียงภาพที่ผู้คนจินตนาการขึ้นมา เพียงเพราะผู้คนต้องการวีรบุรุษเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
ตอนนี้เองหวังอี้เหิงและพรรคพวกก็เดินมา เขาตั้งใจเลี่ยงเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วกล่าวกับคนที่เพิ่งมาว่า “ส่งของมีค่ามาให้หมด!”
ระหว่างที่พูด เขายังคงจับตาดูที่เริ่นเสี่ยวซู่ กลยุทธ์ของหวังอี้เหิงชัดเจนมาก หนึ่ง ฉันไม่ไปแหย่นายและคนของนาย แต่ตอนฉันรังแกคนอื่น นายอย่าได้ริอาจแส่มายุ่งแล้วกัน นายมีปืน ฉันก็มีปืน สนแต่เรื่องตัวเองไป!
แต่พอเขาเห็นเฉินอู๋ตี๋ที่อยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่เสกกระบอกเหล็กสีทองดำจากอากาศอันว่างเปล่าก็ตะลึงไป เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ตกใจไม่น้อย ปลายกระบองทั้งสองด้านเป็นสีทอง ส่วนตรงกลางเป็นสีดำ!
นี่มันกระบองทองสารพัดนึกจากในไซอิ๋วไม่ใช่เหรอ
ตอนที่หวังอี้เหิงหันไปหาเฉินอู๋ตี๋ ก็เห็นว่าเขาเอากระบองทองสารพัดนึกชี้หน้าตนอยู่ “เป็นเจ้านี่เอง เสี่ยวซ้วนเฟิง![1]”
หวังอี้เหิง “???”
ใครคือเสี่ยวซ้วนเฟิงวะ! หวังอี้เหิงคิดว่าเจ้านี่มีอาการทางจิตแน่นอน จะดีจะเลวยังไงควรก็ควรเป็นปีศาจเฒ่าเขาเฮยซาน[2] ปีศาจเสื้อเหลือง[3] หรืออะไรพวกนั้นสิ เรียกฉันว่าเสี่ยวซ้วนเฟิงไม่ดูถูกฉันไปหน่อยเหรอ!
แต่ก่อนที่หวังอี้เหิงจะได้ลงมือทำอะไร เฉินอู๋ตี๋ก็กวาดกระบองใส่เขา เฉินอู๋ตี๋คำราม “ข้าไม่ยอมให้เจ้ารังแกมนุษย์ธรรมดาหรอก!”
เริ่นเสี่ยวซู่ให้เหยียนลิ่วหยวนและคนอื่นๆ ถอยหลังออกมาหน่อย กลัวว่าจะมีคนโดนลูกหลงจากการต่อสู้เอาได้ หวังอี้เหิงมีปืนอยู่กับตัว
พอหวังอี้เหิงเห็นกระบองทองสารพัดนึกจะฟาดใส่ ก็รีบถอยกลับชักปืนออก กระบองของเฉินอู๋ตี๋วูบผ่านปลายจมูกเฉินอี้เหิงไปกระแทกเข้ากับพื้น ทำเอาฝุ่นดินฟุ้งไปหมด
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว อดสงสัยไม่ได้ว่ากระบองของเฉินอู๋ตี๋นี่หนักหมื่นสามห้าร้อยกว่าชั่งจริงหรือเปล่า ไม่สิ ไม่น่าจะหนักขนาดนั้นนะ!
เกิดเสียงดังปัง ปลายกระบอกปืนของหวังอี้เหิงสว่างวูบ แต่ทุกคนก็ตะลึงไป ไม่รู้ว่าเฉินอู๋ตี๋เอากระบองมาตั้งเป็นแนวนอนตรงอกตอนไหน เขาหัวเราะลั่นพลางว่า “กระสุนไม่อาจทะลุกระบองทองสารพัดนึกของข้าได้!”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ไม่ไกล พูดแกมแคลงใจ “แต่กระสุนไม่โดนกระบองทองสารพัดนึกสักหน่อย หน้าอกนายเลือดออกอยู่แน่ะ”
เฉินอู๋ตี๋ก้มมองที่หน้าอกตัวเอง เขาสูดลมหายใจลึกแล้วว่า “ฉิบหาย…”
พูดจบ เส้นเลือดที่คอของเฉินอู๋ตี๋ก็ปูดโปนออก กระสุนที่ฝังอยู่ในอกพลันถูกกล้ามเนื้อบีบออกมาจากหน้าอก!
จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็สังเกตเห็นอยู่แล้วว่ากระสุนไม่ได้ทะลุเนื้อไป เขายังเห็นกระสุนส่วนหนึ่งโผล่ออกมาจากเนื้อหนังของเฉินอู๋ตี๋อยู่เลย
จากตามตำนานฉีเทียนต้าเซิ่งมีร่างคงกระพัน แต่กล้ามเนื้อต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงรับกระสุนปืนได้
เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าตัวเขาเองทำไม่ได้แน่นอน
หวังอี้เหิงกัดฟันกรอด พยายามจะยิงอีกนัด แต่ว่าในชั่วลัดนิ้วเฉินอู๋ตี๋ก็หายไปจากสายตา
ทันใดนั้นกระบองทองสารพัดนึกก็ผลุบมาอยู่ที่ด้านซ้ายของหวังอี้เหิง กระบองนี้วาดผ่านอากาศเกิดเสียงดัง ราวกับอากาศรอบนั้นกำลังสะเทือนลั่นอยู่
ระหว่างที่เหล่าผู้อพยพกำลังถอยหนีจากการต่อสู้ กระบองทองสารพัดนึกก็ฟาดใส่สีข้างของหวังอี้เหิงอย่างดุดันแล้ว
เกิดเสียงดังกร๊อบสนั่น สีข้างของหวังอี้เหิงบิดเบี้ยวในท่าพิกล การฟาดครั้งนี้ทำให้กระดูกสันหลังของเขาแตกคาที่!
หวังอี้เหิงปลิดปลิวไปในชั่วพริบตา ในขณะที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น เขาสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เป็นอัมพาตได้ในทันที
เฉินอู๋ตี๋กระแทกกระบองทองสารพัดนึกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังตัง ท่าจับกระบองตั้งตรง ดูทรงพลังอำนาจ
เฉินอู๋ตี๋หันมาหันมองเริ่นเสี่ยวซู่ “ท่านอาจารย์ ข้าเจ๋งไปเลยใช่ไหม”
“คือว่าฉัน…” เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เหล่าผู้อพยพรีบถอยห่างจากหวังอี้เหิงทันที พวกเขากลัวจะติดร่างแหไปกับหวังอี้เหิงที่นอนโอดโอยอยู่บนพื้น ส่วนสายตาผู้หลบหนีคนอื่นนั้นมีแต่ความสุขี พวกเขาเกลียดหวังอี้เหิงมานานแล้ว และรู้ด้วยว่าหวังอี้เหิงมีแต่ได้คืบจะเอาศอก
มีคนกล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ “ขอบคุณ!”
“ขอบคุณข้าทำไม” เฉินอู๋ตี๋โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ของข้าสิ!”
มีคนนิ่งไป ก่อนจะหันไปหาเริ่นเสี่ยวซู่ “ขอบคุณ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย เพราะไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็ได้เหรียญคำขอบคุณมากว่าสิบเหรียญแล้ว!
ก่อนหน้านี้เขากังวลมาตลอดว่าจะไปหาเหรียญคำขอบคุณจากไหน ไม่คิดเลยว่าเฉินอู๋ตี๋ทำให้เขาได้เหรียญมามากมายขนาดนี้โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย
เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่ เขาอยากถามเหลือเกินว่าควรทำอะไรต่อ แต่ว่าเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เดินไปหาเฉินอู๋ตี๋อย่างกระตือรือร้น “ศิษย์ข้า เจ้ายังเจ็บแผลอยู่หรือไม่ อาจารย์มียาดีช่วยรักษาแผล!”
เหยียนลิ่วหยวน “???”
หวังฟู่กุ้ย “???”
ทุกคนที่มองอยู่ “???”
นี่พวกเขาต้องไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมจริงๆ เหรอ!
………