เพราะเริ่นเสี่ยวซู่เริ่นหนีก่อนใคร กลุ่มเขาถึงอยู่หน้าผู้หลบหนีคนอื่นๆ ระหว่างที่หนีนั้น เขาก็จะหันไปดูข้างหลังรอบหนึ่ง ก่อนจะเห็นรางๆ ว่ามีตัวทดลองไม่มากมายอะไรนักถ้าเทียบกับตอนที่เขาเจอที่เขาจิ้งซาน
พวกมันโดนภูเขาไฟระเบิดไปจำนวนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
แต่แบบนั้นก็ดีแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มีแต่อยากให้พวกมันตายมากกว่านี้ที่เขาจิ้งซาน ยิ่งตายเยอะยิ่งดี!
ระหว่างวิ่งไปกับกลุ่มของตน เขาก็ตะโกนไปหาสมาคมตระกูลชิ่งที่อยู่ไกลๆ “อย่าเพิ่งยิง พวกเราต้องหนีไปด้วยกัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น กลัวว่าพวกสมาคมตระกูลชิ่งยิงออกมาซี้ซั้ว ถ้าสมาคมตระกูลชิ่งตั้งแนวยิงจริงละก็ เขาอาจจะต้องใช้ร่างแยกเขาแหวกทางออก
เฉินอู๋ตี๋มองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วกระซิบ “อาจารย์ ชาตินี้ท่านดุดันแท้…แต่ก็ดีกว่าชาติก่อนของท่านที่ใจอ่อนเกินไป”
เฉินอู๋ตี๋หันไปมองแล้วเห็นแต่ฉากนองเลือดอยู่หลังตน พวกตัวทดลองฆ่าเหยื่อได้อย่างป่าเถื่อนนัก โลหิตสาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังอื้ออึงอล ราวด้านหลังพวกเขาคือนรกอเวจี
ความทุกข์ตรม
นี่แหละหนาความทุกข์ตรมของโลก
เฉินอู๋ตี๋เสกกระบอกทองสารพัดนึกออกมาในมือ ความคิดจะกำราบมารวนเวียนอยู่ในห้วงจิต แต่ว่ามีตัวทดลองมากมายเกินไป เขาจัดการด้วยตัวคนเดียวไม่หมด
ทันใดก็เกิดแสงสีทองระเรื่อออกจากร่างเฉินอู๋ตี๋ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันสังเกตเพราะมั่วแต่ปกป้องพวกเสี่ยวอวี้และคนอื่นๆ ที่หนีนำหน้าไปก่อนแล้วอยู่
ประกายแสงสีทองนี้กำเนิดมาจากเกราะทองคำและหมวกทองคำปีกหงส์เหมือนที่ปรากฏในไซอิ๋ว!
แต่ก่อนที่มันจะก่อร่างเสร็จสมบูรณ์ดี มงคลทองก็ปรากฏหัวมาเหนือศีรษะของเฉินอู๋ตี๋ จากนั้นเกราะทองคำและหมวกทองคำปีกหงส์ก็หายวับไป!
เฉินอู๋ตี๋ยืนนิ่ง จ้องไปยังเหล่าตัวทดลองดุร้าย
“ช่างแม่* ไปขอกำลังเสริมจากสวรรค์ก่อนดีกว่า! อาจารย์ ท่านรอข้าด้วย!” เฉินอู๋ตี๋หันหลังวิ่งหนีไปในพลัน!
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปแล้วตะโกนใส่เฉินอู๋ตี๋ “ศิษย์ข้า ช่วยคนพวกเราขนของ!”
ถ้าหวังฟู่กุ้ย หวังต้าหลง และเสี่ยวอวี้วิ่งหนีช้าลงระหว่างหนีละก็ พวกเขาอาจจะวิ่งแซงพวกผู้หลบหนีคนอื่นไม่ทันก็ได้
แถมพละกำลังของเฉินอู๋ตี๋เยอะกว่าตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองเสียอีก ดังนั้นให้เขาแบกสัมภาระเสียหน่อยไม่เป็นปัญหาเลย
ตอนนี้คนของสมาคมตระกูลชิ่งเห็นความโกลาหลแล้ว ถึงร่างของผู้หลบหนีจะบังสายตา จนพวกเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในเวลาวุ่นวายเช่นนี้หลัวหลานก็ตัดสินใจในพลัน เขาสั่งให้กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งล่าถอยทันที
ต่อให้มีผู้อพยพวิ่งมา คนของสมาคมจะยังคงเป็นผู้วิ่งนำอยู่ หลัวหลานวิ่งหนีตาย ตะโกนใส่คนที่อยู่บนรถ “พวกนายไปก่อนเลย! ใช้รถหนีเร็วกว่า!”
ทหารที่บาดเจ็บบนรถเงียบไป มีคนกล่าว “พวกเราทิ้งท่านไม่ได้หรอกครับ”
หลัวหลานหอบแฮก พูด “รีบไสหัวไปได้แล้วน่า! เป็นแค่คนเจ็บกลุ่มหนึ่งจะมาดรามงดราม่าอะไรตอนนี้”
ทหารที่บาดเจ็บบนรถเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกตนทดลองปลิดชีวิตผู้หนีได้อย่างง่ายดายเพียงไรเพราะอยู่ค่อนข้างสูงจากพื้น ดูจากความเร็วของพวกมันแล้ว แม้มนุษย์ธรรมดาจะวิ่งหนีสุดแรงเกิด ก็ไม่มีทางหนีการตามล่าของพวกมันพ้นอยู่ดี
คงดีมากเลยถ้าพวกตัวทดลองมัวแต่โจมตีมนุษย์ที่วิ่งไม่เร็วพอจนรั้งอยู่ท้ายขบวน แต่พวกตัวทดลองกลับไม่สนใจ ‘อาหาร’ ที่ลงมือสังหารไปเลย พวกมันคิดจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ให้หมดสิ้น!
คำกล่าวในตำนานว่า ‘ไม่ต้องวิ่งเร็วกว่ากว่าหมีเพื่อหนีหมี วิ่งให้เร็วกว่าคนข้างหน้าก็พอ’ ดูจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว ทุกคนที่นี่ต้องตายกันหมดแน่!
ทหารที่บาดเจ็บไม่ฟังคำสั่งให้หนีของหลัวหลาน พวกเขาหยุดรถอย่างมุ่งมาดแล้วขนยุทโธปกรณ์และกระสุนลงมา ถังโจวมือขวาของหลัวหลานสั่งให้ทหารตั้งแนวยิงตั้งรับ เขาคำราม “ฉันต้องการทหารสองนายคุ้มกันเจ้านายออกไปจากที่นี่!”
การตัดสินใจของถังโจวถูกต้องแล้ว มีคนมากมายขนาดนี้ พื้นที่ในรถบรรจุคนได้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น คนอีกสองส่วนก็วิ่งหนีตัวทดลองไม่ทัน แถมเหล่าผู้หลบหนีก็โดนล้างบางด้วยความรวดเร็วจนพวกเขามีเวลาไม่มากแล้ว
ถังโจวรู้ดีว่าพวกตนไม่สามารถฆ่าพวกตัวทดลองได้หรอก ตอนที่ชิ่งเจิ่นได้เจอพวกตัวทดลองเป็นครั้งแรก เขาก็ส่งข้อมูลให้หลัวหลานแล้ว
ดังนั้นต้องมีคนเสียสละ
“รออะไร รอให้ตายด้วยกันหมดนี่เหรอไง” ถังโจวว่าเสียงเย็น เขาชี้ไปที่ทหารหนุ่มสองคน แล้วว่า “นาย นาย พาเจ้านายออกไปจากที่นี่!”
ที่เลือกก็เพราะอยากมอบโอกาสให้สองคนนี้มีชีวิตต่อ ที่เลือกมาเพราะพวกเขายังเด็กนัก ยังไม่ได้อิ่มหนำกับการใช้ชีวิตเลย
ทหารนายอื่นๆ เงียบไป พวกเขารู้ดีว่าทิ้งท้ายอยู่ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีใครออกมาประท้วงคำตัดสินใจของถังโจว
“แม่*เอ้ย ปล่อยฉันนะ!” หลัวหลานโดนทหารหนุ่มสองนายแบกไป เขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงพยายามหลุดออกจากเงื้อมมือของทหารทั้งสอง เขาพูด “คิดจะก่อกบฏงั้นเหรอ ฉัน หลัวหลาน ไม่เคยเป็นคนหนีทัพโว้ย!”
ถังโจวยิ้ม แล้วว่า “ขอบคุณทั้งท่านและก็เถ้าแก่ชิ่งที่ดูแลผมมาตลอดหลายปีนะครับ” เจอนั้นก็กล่าวกับทหารหนุ่มทั้งสองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รีบพาเจ้านายขึ้นรถ”
เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งพาเสี่ยวอวี้กับพรรคพวกมาถึงหน้าคนของสมาคมตระกูลชิ่ง เจียงอู๋ก็ตามหลังมาติดพร้อมนักเรียนของเธอ แต่ทหารของสมาคมไม่ได้สนใจพวกเขา ให้เหล่าผู้หลบหนีทั้งหลายผ่านช่องว่างของแนวตั้งรับไป
ถังโจวมองไปข้างหน้าที่มีเหล่าผู้หลบหนีโดยเหล่าตัวทดลองตามล่าด้วยความสงบนิ่ง พวกตัวทดลองเข้ามาใกล้ๆ เรื่อยๆ และเขาก็กำลังรอจังหวะอยู่เช่นกัน
“หน่วยที่หนึ่งถึงห้าเตรียมยิง หน่วยที่หกเตรียมเข้าแทนแนวยิง ทหารที่บาดเจ็บทำหน้าที่ส่งกระสุน” เสียงสงบนิ่งของถังโจวสะท้อนก้องในหูของเหล่าทหาร จากนั้นเขาก็เปิดกล่องที่อยู่บนพื้น และหยิบเครื่องยิงจรวดออกมา
ถังโจมยิ้มยินดี แล้วว่า “โชคดีนะที่พวกเราเอาเจ้านี่มาด้วย!”
เหล่าผู้หลบหนีโดยตัวทดลองล้างบางภายในไม่กี่นาที ถังโจวคุกเข่าลงข้างหนึ่งและยกเครื่องยิงระเบิดไว้บนไหล่
พอมีตัวทดลองตัวแรกเข้าครรลองมา ถังโจวก็พูดเสียงเรียบนิ่ง “ยิงได้!”
ก็เสียงปังดังสนั่น ลูกจรวดออกจากเครื่องยิงบนไหล่เขา ลูกจรวดกระทบพื้นพลันระเบิดออกราวกับอำนาจจากทรวงสวรรค์ก็มิปาน!
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แล้วก็พบว่าทหารของสมาคมนั้นสงบนิ่งได้อย่างน่าแปลกใจ และไม่สั่นไหวแม้ต้องเผชิญกับความตาย
ภาพนี้ดูแล้วควรซาบซึ้งตราตรึงใจนัก แต่มันไร้ซึ่งอารมณ์หนักหน่วงอะไร ราวกับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น
หลัวหลานโดนทหารทั้งสองนายลากเข้ารถออฟโรดไป จากนั้นก็เหยียบคันเร่งมุ่งไปทางป้อมปราการ 109
ตอนนั้นเองภาพที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงก็เกิดขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่เห็นตัวทดลองถึงเก้าตัวโผมาจากด้านข้างสองฝั่ง
ตัวทดลองอีกสี่ คืบหน้ามาจากด้านหลังของถังโจว ตัวทดลองล้อมแนวตั้งรับของสมาคมตระกูลชิ่งเป็นวงกลม เริ่นเสี่ยวซู่รู้ได้ในพลันว่าถังโจวและพรรคพวกจบสิ้นแล้ว!