ต่อให้พวกเขามียุทธปกรณ์และระเบิดที่ทรงพลัง ถ้าแนวตั้งรับของพวกเขาแตก ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งก็หมดโอกาสรอดชีวิตอยู่ดี
มีทหารคอยยิงใส่พวกตัวทดลองอยู่ แต่ศัตรูคล่องแคล่วมากหลบกระสุนไปได้หมด ยากมากที่เล็งเป้าโดน
พริบตานั้นเอง ก็มีทหารที่บาดเจ็บนายหนึ่งโผกระโจนเข้าคว้าขาของตัวทดลองโดยมีระเบิดมืออยู่ในมือ
มีเสียงดังตู้ม ทหารที่บาดเจ็บและตัวทดลองโดนระเบิดกระจุย เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าแม้แต่ตัวทดลองเองก็ไม่อาจทานรับอำนาจทำลายล้างของระเบิดมือได้!
ตัวทดลองทั้งสี่ที่กระโจนเข้าแนวตั้งรับเหลือเพียงสาม ทำให้ถังโจวและพรรคพวกพอมีเวลาให้ผ่อนคลายบ้าง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ประทับใจที่สุดที่ทหารนายที่บาดเจ็บนั้นแม้กำลังเผชิญหน้ากับความตายก็ยังสงบนิ่งมาก ไม่ต้องเศร้าสร้อย ไม่ต้องสรรค์สร้างคำลาให้สวยหรู ราวกับกำลังทำภารกิจเล็กน้อยภารกิจหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากดูต่อแล้ว สมาคมตระกูลชิ่งทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มองพวกเขาไป
เขามองไปยังตัวทดลองที่เหลืออยู่ และเห็นว่ามีตัวหนึ่งวิ่งไปทางรถออฟโรดที่ออกไปก่อนหน้าดั่งสายฟ้าฟาด มันถลาพุ่งตรงไปยังตัวรถ
พอกระแทกเข้ากับรถออฟโรด เริ่นเสี่ยวซู่เห็นโครงรถค่อยๆ พังไป พริบตาต่อมา รถออฟโรดก็เสียสมดุลและพลิกคว่ำ ส่วนตัวทดลองนั้นดูไม่เป็นอะไรเลย!
ตัวทดลองยันตัวขึ้นและส่ายหัวเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนรถและฉีกกระชากโครงโลหะของรถออก เหมือนมันคิดจะแยกส่วนรถออก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อ เพราะว่าตอนนี้มีตัวทดลองอีกสี่ตัวกระโจนมาหาเขาน่ะสิ! เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกนลั่น “เฉินอู๋ตี๋ กันทางขวา!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ ดาบทมิฬก็อยู่ในมือเขาแล้ว เหมือนเขาเสกมันออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า
ชั่วลัดนิ้วนั้นเองดาบทมิฬก็ตวัดออกกระทบร่างของตัวทดลองที่กระโจนมาจากทางซ้ายมือ เอวของมันถูกผ่าเป็นสองส่วน ไม่ต่างไปจากมีดตัดผ่านเนยเลย!
ขณะกำลังวุ่นวาย หวังฟู่กุ้ยเห็นภาพนี้ก็ตาค้างไป เริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้มีพลังพิเศษจริงๆ สินะ!
ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังคือความเร็ว เริ่นเสี่ยวซู่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาขึ้นไปแล้ว!
เอาจริงๆ จะสู้กับพวกตัวทดลองนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ค่อยกังวลเท่าไรเลย อย่างไรเขาก็เคยสู้กับพวกมันมาก่อนแล้ว ฝั่งหนึ่งมีตัวทดลองสี่ตัวเหมือนกับก่อนหน้าเปี๊ยบ ที่แตกต่างก็แค่กาลเวลาเท่านั้น เฉินอู๋ตี๋เองก็ช่วยสู้อยู่ข้างๆ ไม่ต้องให้เริ่นเสี่ยวใช้ร่างแยกเงาออกมาสู้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ที่ห่วงอย่างเดียวคือเหยียนลิ่วหยวนจะเผลอได้รับบาดเจ็บตอนต่อสู้กัน เพราะยามสู้รบกับตัวทดลองแล้ว ไม่มีทางยั้งมือไว้ได้เด็ดขาด
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ยกดาบทมิฬขึ้นแล้วผ่าลงมาทีหนึ่งด้วยความรวดเร็ว ผ่าเอวตัวทดลองจนแบ่งสองท่อนแล้วนั้น ก็ตะโกนไปยังหวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ “ออกไปจากที่นี่กันให้หมด!”
ไม่ว่าจะเป็นหวังฟู่กุ้ย เจียงอู๋ นักเรียนของเธอ หรือแม้แต่ตัวเหยียนลิ่วหยวนเอง ก็ต่างกำลังขวัญผวากับตัวทดลองที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้
พวกตัวทดลองนั้นชัดเจนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกมนุษย์ เพราะมีจมูก ปาก แขน และร่างกายเหมือนมนุษย์ แต่ว่านิสัยกลับก้าวร้าว ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่า
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกหวังฟู่กุ้ยไม่ขยับสักทีก็ตะคอก “ไป วิ่งเร็ว!”
เหยียนลิ่วหยวนเคลื่อนไหวก่อนใคร “ไปกันเถอะ! อย่าอยู่เป็นภาระพี่ผมที่นี่เลย!”
ระหว่างที่หวังฟู่กุ้ยวิ่งไปพร้อมเหยียนลิ่วหยวน คำเหล่านั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา ดูเหมือนว่าเหยียนลิ่วหยวนจะคิดว่าพวกตนไม่อาจช่วยอะไรเริ่นเสี่ยวซู่ได้เลย ต่อให้ทั้งตนและเหยียนลิ่วหยวนมีปืนอยู่ก็ตาม
เห็นว่าพวกเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจยกใหญ่ แต่ภัยร้ายยังไม่ผ่านพ้น!
ที่สำคัญคือมีตัวทดลองไม่น้อยโดนถังโจวและทหารของสมาคมตระกูลชิ่งรั้งตัวไว้อยู่ แต่เมื่อไรที่แนวตั้งรับของพวกเขาถูกตัวทดลองจู่โจมจากแนวหลังจนแตกออกละก็ ยากบอกกล่าวแล้วว่าพวกเขาจะทนได้อีกนานเท่าไร เห็นแนวตั้งรับของถังโจวและคนของเขาอ่อนลงเรื่อยๆ เช่นนี้ กลุ่มตัวทดลองที่ตามล่าผู้หลบหนีอยู่ก็เริ่มพุ่งมาทางแนวตั้งรับแทน!
เริ่นเสี่ยวซู่หน้านิ่วคิ้วขมวด ต่อให้ถังโจวและพรรคพวกยังทนต่อไปได้อีกหน่อย แต่พวกเสี่ยวอวี้จะวิ่งได้เร็วแค่ไหนกันเชียว แผล็บเดียวก็โดนพวกตัวทดลองตามทันแน่
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่ตัวทดลองอีกตัวที่เขากำลังสู้ด้วยอยู่ หลังจากเพื่อนของมันถูกฆ่าลงอย่างง่ายดายแล้วมันก็ดูรีๆ รอๆ ไม่กระโจนจู่โจมเขามาพักใหญ่ จากนั้นเริ่มล่าถอยไป
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะสู้ต่อเช่นกัน เขาหันไปหาเฉินอู๋ตี๋ แล้วก็เห็นภาพที่ทำให้ตะลึงพรึงเพริดไปไป
เขาเห็นว่าตัวทดลองสองตัวที่เฉินอู๋ตี๋สู้อยู่นั้นหมอบราบคาบกับพื้นไปแล้ว เฉินอู๋ตี๋เหยียบเหนือร่างพวกมัน ยกกระบองพาดไหล่ ทำท่าเหมือนตัวเองเก่งกาจมาก…
นี่ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจมาก ก่อนหน้านี้เฉินอู๋ตี๋กันกระสุนไม่ได้ เขาเลยคิดว่าเฉินอู๋ตี๋ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก
แต่พลังรบของเขาสูงกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว
น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตสถานการณ์การสู้รบของเฉินอู๋ตี๋ เลยไม่สามารถวัดค่ากะเกณฑ์อะไรได้
เขาได้ยินเฉินอู๋ตี๋พูด “พวกเจ้าจงจำนามของข้านับหมื่นปีจากนี้ไป นามของข้าคือ…”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดแทรกอย่างหัวร้อน “อย่าเพิ่งพล่ามมาก!”
“ขอรับ” เฉินอู๋ตี๋หน้าม่อย
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงบางคนโหวกเหวกโวยวาย เสียงตะโกนนี้ดังมาจากรถออฟโรดที่พลิกคว่ำ
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นตัวทดลองที่พยายามฉีกกระชากรถก่อนหน้านั้นหายไปแล้ว รถออฟโรดสั่นอย่างรุนแรง เหมือนว่าตัวทดลองจะหาทางเข้าไปในรถได้แล้ว!
ช่วยหรือไม่ช่วย?
หลัวหลานแห่งสมาคมตระกูลชิ่งยังอยู่ในรถ ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนถูกหมายหัวจากสมาคม และพวกเขาก็จะล่าตนไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ลงมือกับหลัวหลานก็ประเสริฐแท้แล้ว ทำไมต้องคิดอยากไปช่วยเขาด้วยล่ะ
ไม่สิ ต้องช่วยเขา!
แต่ก่อนอื่นเริ่นเสี่ยวซู่ต้องหาที่ไกลๆ ทิ้งร่างตัวทดลองที่เขาผ่าเอวเป็นสองท่อนก่อนที่จะลงมือช่วยหลัวหลาน อย่างไรเสียบาดแผลที่เอวนั่นก็เห็นชัดเกินไป ถ้าหลัวหลานเห็น เขาอาจจะนึกจับคู่เริ่นเสี่ยวซู่กับบุคคลในเขาจิ้งซานได้ในพลัน!
ในเมื่อหลัวหลานไม่รู้ว่านอกรถมีตัวทดลองมากมายเพียงไร เริ่นเสี่ยวซู่พูดว่ามีแค่สองก็จบแล้ว ซึ่งพวกมันโดนเฉินอู๋ตี๋ฆ่าได้ด้วยตัวเขาเองคนเดียวด้วย
หลังไปทิ้งร่างตัวทดลองเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็รีบร้อนเข้าไปที่รถ เขาเห็นมองทะลุเข้าไปข้างในผ่านรอยแยก ในนั้นมีแต่เลือดเต็มไปหมด มีร่างอวบอ้วนร่างหนึ่งกำลังปลุกปล้ำอยู่กับตัวทดลองข้างในรถ แต่เขาคงทนได้อีกไม่นานแล้ว
ร่างอวบนั้นคือหลัวหลานเอง คนอีกสองนายในรถน่าจะถูกตัวทดลองสังหารไปเพราะพยายามปกป้องหลัวหลาน ถึงมีเลือดเต็มรถขนาดนี้
ตอนนั้นเองเฉินอู๋ตี๋ก็รุดตัวเข้ามา แล้วจับบนรอยแยก จากนั้นก็คำรามลั่นแล้วฉีกโครงรถออก!
“ฆ่ามัน” เริ่นเสี่ยวซู่สั่งเฉินอู๋ตี๋ เขารับคำสั่ง จากนั้นก็คว้ากระบองทองสารพัดนึกยกฟาดใส่หลังศีรษะของตัวทดลอง โลหิตสีเหลืองซีดกระจายไปทั่วใบหน้าของหลัวหลาน