“เมืองอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง” เหยียนลิ่วหยวนเอนพิงท้ายรถบรรทุก แล้วจ้องทะลุกระจกใสที่อยู่กลางระหว่างหลังคากับพื้นด้วยสายตาเป็นประกาย
พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ท้ายรถก็สะดุ้งตื่น
สำหรับทุกคนแล้วกว่าจะถึงที่นี่ได้ไม่ง่ายเลย สถานที่ให้พักผ่อนสักวันหนึ่งยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ ทุกคนตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลตลอดเวลา ถ้าหมาป่าหรือตัวทดลองตามพวกตนมาทันจะทำอย่างไร
ต่อให้มีผู้มีพลังพิเศษอย่างเฉินอู๋ตี๋อยู่ด้วย แต่เขาก็คงรับมือตัวทดลองมากมายไม่ไหว
ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะบอกพวกเขาว่าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจจนกว่าพวกเขาจะได้เห็น ‘อารยธรรมมนุษย์’ อีกครั้งอยู่ดี อารมณ์ความรู้สึกเอ่อล้นขึ้นมา เป็นความสุขของผู้ที่รอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้
แต่ก็มีคนที่รู้สึกงุนงงเช่นกัน เช่นว่าหลัวหลานกับเจียงอู๋นั้นสงสัยมากว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ถึงมั่นใจนักว่าหมาป่าจะไม่เข้ามาจู่โจมพวกตนอีก ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่เห็นจะทำอะไรเสียหน่อย แถมพวกหมาป่าไม่ได้เข้ามาโจมตีพวกตนจริงๆ ด้วย!
เจียงอู๋เจอเรื่องเช่นนี้มาตลอดทาง เด็กหนุ่มผู้อพยพผู้นี้ตัดสินใจอะไรได้ถูกต้องหมดเหมือนรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ถ้าเธอไม่ได้ให้พวกนักเรียนตามเริ่นเสี่ยวซู่แต่เนิ่นๆ ตอนที่ตัวทดลองเข้าโจมตีละก็ พวกเธอคงตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว
ระหว่างหลบหนี เหยียนลิ่วหยวน เสี่ยวอวี้และคนอื่นๆ ยังไม่ได้ประสบเรื่องยากลำบากอะไรมากนัก ผู้หลบหนีก็ไม่ได้หอบอะไรมาด้วย ในหมู่ผู้หลบหนีทั้งหมด มีแต่พวกเขาห้าคนเท่านั้นที่มีสัมภาระเต็มตัว เห็นชัดเลยว่าพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี นี่ทำให้เจียงอู๋อิจฉาพวกเหยียนลิ่วหยวนจริงๆ ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้นำเธอกับนักเรียนด้วย พวกเธอคงมีเรื่องลำบากน้อยกว่านี้มาก
แน่นอน เธอรู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้มีภาระผูกพันอะไรกับพวกเธอ มิหนำซ้ำเขาก็ช่วยเธอมาเยอะแล้วด้วย ไหนจะช่วยหาอาหาร ไหนจะอนุญาตให้พวกเธอขึ้นมาบนรถบรรทุก เจียงอู๋รู้ดีว่าที่เธอกับนักเรียนมีชีวิตรอดมาถึงป้อมปราการ 109 ได้นั้นเป็นความดีของเริ่นเสี่ยวซู่ทั้งสิ้น เธอหันไปหาพวกนักเรียนแล้วเอ่ย “ทุกคน เข้ามาขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเธอน่าจะรู้อยู่แล้วนะที่รอดมาได้ก็เพราะเขา”
พวกนักเรียนมองเริ่นเสี่ยวซู่ ผู้อพยพที่อยู่ในวัยเดียวกันกับพวกเขาผู้นี้ พวกเขายอมรับนับถืออย่างใจจริง
“ขอบคุณ!”
“ขอบคุณมากนะ!”
[ได้รับคำขอบคุณจากเซี่ยกวางคุน +1!]
[ได้รับคำขอบคุณจากเหยียนหลินเฟิง +1!]
[ได้รับขอบคุณจาก…]
เริ่นเสี่ยวซู่ปลื้มปริ่ม“เกรงใจกันเกินไปแล้ว เกรงใจกันเกินไปแล้ว!”
แต่นาทีเดียวกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็นับคนแล้วโพล่ง “ยังมีสองคนที่ไม่ได้ขอบคุณฉันน่ะ รีบๆ…”
เจียงอู๋ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถึงเธอจะรู้สึกขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่มากๆ แต่บางครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าสมองของเขานั้นประหลาดไปกว่าผู้อื่นจริงๆ
รถบรรทุกทหารขับไปบนถนนที่จะตัดเข้ากลางเมืองและตรงไปยังประตูป้อมปราการ เหยียนลิ่วหยวนชะโงกหัวออกจากท้ายรถบรรทุกและมองไปข้างนอก “พี่ ที่นี่เหมือนกับเมืองน้อยเราเลย”
‘เหมือนกับ’ ที่ว่าคงหมายถึงกระท่อมและสภาพความเป็นอยู่ในเมือง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าทิวทัศน์ในเมืองนั้นน่าเกลียดมาก แต่ตอนนี้ทิวทัศน์เดิมๆ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นนัก
เขารู้สึกต่างจากคนอื่นๆ อยู่บ้าง หลังจากตะลุยไปในเขาจิ้งซาน เขาก็ไม่มีโอกาสได้พักเลย พอกลับมาป้อมปราการก็ประสบเข้ากับภัยพิบัติอีก นี่ก็เป็นครึ่งเดือนแล้วที่เขาไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนแบบดีๆ
ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งมากเช่นเขาก็รู้สึกอ่อนล้าเต็มทน
เจียงอู๋อึกอักพูด “พวกคุณเคยอาศัยอยู่ในที่แบบนี้เหรอ”
ทุกคนในป้อมปราการรู้ว่าข้างนอกนั้นมีเมืองอยู่ แต่ไม่รู้เลยว่าเมืองที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นเพราะทุกคนใช่ว่าจะผ่านประตูป้อมปราการได้ตามใจ
ดังนั้นเจียงอู๋จึงคิดว่าเมืองน่าจะเป็นสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยอาคารสี่เหลี่ยมเก่าๆ แต่ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะไม่มีตัวอาคารอะไรแม้แต่น้อย บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นบ้านทรุดโทรมพังๆ ทั้งสิ้น
คือพวกเธออยู่ในสวรรค์มาตลอด ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกอาศัยอยู่ในนรกสินะ
เสี่ยวอวี้ยิ้ม เอ่ย “แต่ชีวิตไม่ลำบากขนาดนั้นหรอก เสี่ยวซู่ของพวกเราเป็นอาจารย์สอนแทนในเมืองน่ะ ถ้าป้อมปราการไม่เกิดเรื่องเข้า เขาคงได้กลายเป็นอาจารย์คนใหม่แล้ว”
คำพูดของเธอทำให้เจียงอู๋ประหลาดใจกว่าเดิมจนเธอต้องตั้งใจมองสำรวจเริ่นเสี่ยวซู่ จริงๆ แล้วเธอคิดเพียงว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้มากความสามารถเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาเป็นถึงอาจารย์คนหนึ่ง พริบตานี้เอง ภาพลักษณ์ของเริ่นเสี่ยวซู่ในใจเธอก็สูงส่งยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นสถานะทางสังคมที่มาพร้อมกับอัตลักษณ์ทางสังคม ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ ‘คนขายยา’ เขาคงไม่ได้รับความเคารพจากผู้อื่นแม้แต่น้อย
หลัวหลานหน้ามุ่ยกระโดดลงมาจากรถ ยิ่งมองเริ่นเสี่ยวซู่เขายิ่งโมโห เป็นแค่ผู้อพยพแท้ๆ แต่มีผู้มีพลังพิเศษเป็นลูกศิษย์ แถมยังมีครูสาวสุดสวยหมายตาอีก
เขาเดินดุ่มๆ ไปที่ประตูด้วยท่าทางวางอำนาจ แล้วตะโกนใส่คนที่อยู่ตรงประตูว่า “เรียกให้ลู่หย่วนมาเจอฉันหน่อย!”
ดูเหมือนว่าชายที่อยู่หน้าประตูจะเป็นแค่ชาวเมืองคนหนึ่ง เขานิ่งไป จ้องไปที่หลัวหลาน “ใครคือลู่หย่วน”
ใบหน้าหลัวหลานอึมครึมไป ตะโกนลั่น “ผู้ดูแลเมืองอยู่ไหน ไสหัวออกมา!”
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดลงมาจากรถเช่นกันและเห็นร่างของผู้ดูแลเมือง อย่างไรหน้าตาและการแต่งกายของผู้ดูแลก็ต่างไปจากผู้อพยพอยู่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่บอกเขา “พวกเรามาจากป้อมปราการ 113 นี่คือหลัวหลานจากสมาคมตระกูลชิ่ง รายงานเรื่องนี้ไปยังผู้ปกครองป้อมด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาพวกเหยียนลิ่วหยวนแล้วพูด “พวกนายยังไม่ต้องลงจากรถ เดี๋ยวพวกเราจะขับเข้าป้อมปราการเลย”
เจียงอู๋ผงะไปเล็กน้อย เพราะตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดนั้น เขาก็ส่งสายตาให้เธอไปด้วย เธอพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง
หลัวหลานสัญญาเพียงว่าจะพาพวกเขาหกคนเข้าป้อมปราการไป เขาไม่ได้เอ่ยถึงเจียงอู๋และพวกนักเรียนแม้แต่น้อย ถ้ามีคนปริปากอะไรออกมา เจียงอู๋และนักเรียนของเธอคงได้กลายเป็นผู้อพยพแน่
แต่ตอนนี้พวกเขามีหลัวหลานหนุนหลังอยู่ ทุกคนเพียงแค่นั่งอยู่ในรถระหว่างที่รถขับเข้าป้อมปราการไปก็พอ ก็ไม่มีใครจะมาพูดอะไรได้แล้ว คนจากป้อมปราการ 109 คงคิดว่าบนรถบรรทุกนั้นขนคนของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่!
ปกติแล้วพวกเขาคงตรวจสอบใบแสดงตนก่อนถึงจะให้เข้าป้อมปราการไปได้ แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดเสี่ยงว่าลู่หย่วนไม่กล้าขอตรวจค้นหลัวหลานหรอก
ช่วงเวลานี้ผู้ปกครองป้อมปราการผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ ก็เป็นแค่เจ้าคนน่าสงสารที่ติดเเหง็กอยู่ท่ามกลางองค์กรต่างๆ พวกผู้ปกครองไม่กล้าหาเรื่องคนจากสมาคมหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ ก็กลับขึ้นรถไปพัก ขณะเดียวกันหลัวหลาน ถังโจว และทหารคนอื่นๆ ก็รอลู่หย่วนออกมา พวกเขารอหนึ่งชั่วโมงเต็ม
ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าหลัวหลานนั้นทำท่าทำทางเหมือนน้องชายของเขาอย่างชิ่งเจิ่นสุดๆ ที่เริ่นเสี่ยวซู่มอง สีหน้าหยิ่งผยองของสองคนนี้นั้นเหมือนกันเปี๊ยบ แต่หลัวหลานดูจะต่ำชั้นกว่าชิ่งเจิ่นอยู่ระดับหนึ่ง
อย่างไรชิ่งเจิ่นก็รายล้อมไปด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ จนเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าเกรงขามกระทบใบหน้า แต่ครั้งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่เจอหลัวหลาน เขาก็อยู่ในสภาพน่าอดสูแล้ว
แน่ละ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าตัวเองพังภาพลักษณ์ของชิ่งเจิ่นจนยับเยินไปแล้ว และก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชิ่งเจิ่นจึงมุ่งมาดจะใช้ทุกวิธีทางจับสูเสี่ยนฉู่ให้ได้ด้วย