ร้านค้าที่สมาคมตระกูลชิ่งให้เริ่นเสี่ยวซู่นี้มีชื่อว่า ‘หอยาจีน’ วันเดียวกันนั้น หวังฟู่กุ้ยบอกว่าเขาอยากได้ป้ายร้านใหม่ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ตอบปฏิเสธไป อย่างไรเสียจะทำป้ายร้านใหม่ต้องใช้เงิน ดังนั้นจะทำก็ควรปรึกษากันก่อน
ที่หลังร้านมีห้าห้อง ได้แก่หนึ่งห้องครัว สามห้องนอน และหนึ่งห้องน้ำ
หลังจากถึงป้อมปราการ แม้แต่วิธีใช้ห้องน้ำ เริ่นเสี่ยวซู่ยังใช้ไม่เป็นเลย ห้องน้ำในเมืองเป็นแค่ส้วมหลุม แต่ที่นี่สามารถกดน้ำลงท่อน้ำของป้อมปราการได้เลย
กว่าทุกคนจะใช้เป็นก็พักใหญ่
ในห้องน้ำมีก๊อกอยู่ตัวหนึ่ง ตอนแรกทุกคนไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอหมุนเปิด ก็เห็นน้ำสะอาดไหลออกมา
พวกเริ่นเสี่ยวซู่ตื่นตาตื่นใจสุดๆ พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรมหัศจรรย์ขนาดนี้มาก่อนเลย!
ดูเหมือนว่าเจ้าของเดิมของร้านจะใช้น้ำจากก๊อกน้ำเพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ถึงว่าทำไมคนในป้อมสะอาดจัง ในป้อมไม่มีการแบ่งสันปันส่วนการใช้น้ำนี่เอง”
ในเมืองน้อย แต่ละคนจะได้รับน้ำเป็นจำนวนจำกัดต่อวัน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกฎข้อนี้ได้
เดิมทีที่เมืองก็มีบ่อน้ำอยู่หลายแห่ง แต่ก็โดนป้อมปราการปิดไปหมดเพราะกันพวกโจรขโมยน้ำและเพื่อประหยัดน้ำด้วย
ห้องนอนสามห้องจะจัดการตามนี้ เสี่ยวอวี้มีหนึ่งห้องเป็นของตัวเอง หวังฟู่กุ้ยกับหวังต้าหลงอยู่อีกหนึ่งห้อง ส่วนเฉินอู๋ตี๋ เหยียนลิ่วหยวน และเริ่นเสี่ยวซู่จะอยู่ด้วยกันที่ห้องสุดท้าย แบ่งสรรกันเสร็จ ทุกอย่างก็พร้อมพรัก
ถึงหกคนอยู่ด้วยกันจะดูแออัด แต่สะดวกสบายมากพอสำหรับเริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่แบบไหนกัน ที่นี่ดีกว่าเป็นโยชน์!
พวกเขาหกคนหยิบม้านั่งออกมาที่ลานหลังบ้าน การประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกจัดในสถานที่อันเรียบง่ายเช่นนี้แล
หวังฟู่กุ้ยพูดก่อน “ตอนที่พวกเราจัดบ้านกัน มีคนไข้มาหาหมอที่ร้านอยู่สองสามคนโดยไม่รู้ว่าร้านเปลี่ยนมือไปแล้ว ดูเหมือนกิจการแต่เดิมของร้านนี้จะดีมาก ชื่อเสียงก็ไม่เลว ทำไมพวกเราไม่ทำธุรกิจเหมือนกับที่ทำอยู่แต่เดิมล่ะ”
“แต่พวกเรามีวิชาแพทย์กันที่ไหนล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ตัดบท “ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันมีแต่ยาดำเนี่ยแหละ”
ผู้อพยพในป้อมปราการ 113 ใช้ชีวิตลำบากมาก ไม่กี่ปีมานี้ ในเมืองมีหมอแค่สองคนเท่านั้น แถมวิชาแพทย์ยังโหลยโท่ยอีก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าเขายังดีกว่าหมอเถื่อนอย่างอวี่ถง อย่างน้อยยาดำของเขาใช้รักษาแผลได้จริง! แต่ถ้าจะให้เรียนวิชาแพทย์จริง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เพราะเขามีของมหัศจรรย์อย่างพระราชวังอยู่ ในป้อมปราการต้องมีโรงพยายาลและหมอดีๆ แน่ คราวนี้เริ่นเสี่ยวซู่สามารถใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะกับหมอจริงได้ เรื่องแบบก่อนหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังมีเรื่องคาใจอยู่ เขาจำเป็นต้องใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะอันเลอค่าไปกับวิชาแพทย์จริงๆ อย่างนั้นหรือ หลังจากได้อยู่กับพวกหยางเสียวจิ่น เขาก็รู้สึกว่าคัมภีร์คัดลอกทักษะที่ตัวเองมีนั้นไม่พอใช้เลยจริงๆ! ตอนนี้เขาอยากได้คัมภีร์คัดลอกทักษะอีกสักหลายสิบม้วน พอเขาเจอหยางเสียวจิ่นอีก เขาจะได้คัดลอกทักษะจากเธอมาให้หมดเลย
แถมที่เขาอยากเรียนวิชาแพทย์ เพราะจะเอาไปใช้หาเหรียญคำขอบคุณ แต่ให้หลัง เขาก็พบว่าสมัยนี้สายสัมพันธ์ของหมอกับคนไข้นั้นไม่ดีเลย แค่รักษาคนช่วยชีวิตคนไม่ทำให้เขาได้เหรียญคำขอบคุณเท่าไร ช้ามาก!
ดังนั้นถ้าเริ่นเสี่ยวซู่มีคัมภีร์คัดลอกทักษะ เขาก็คิดจะเก็บมันไว้ก่อนมากกว่าจะเอาไปใช้คัดลอกทักษะทางการแพทย์ หากได้เจอ ‘ธนาคารทักษะ’ อย่างหยางเสียวจิ่นเมื่อไร เขาก็จะทุ่มสุดตัวไปเลย ถึงตอนนั้นเขาอาจจะได้ทักษะแจ่มๆ อย่างกระโดดเชือก ร้องเพลงกล่อมเด็ก ดีดลูกแก้ว และอื่นๆ มาก็ได้
แม้กระทั่งตอนนี้ ยามใดที่นึกไปถึงทักษะกระโดดเชือก ก็นึกเสียดายไม่สร่างเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “ขายยาปฏิชีวนะเป็นเงินสดก่อนแล้วกัน ยาพวกนั้นมีวันหมดอายุด้วยใช่ไหม”
“อือ” หวังฟู่กุ้ยพยักหน้า “ที่มีอยู่น่าขายได้สักพัก นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปแลกเงินสกุลของสมาคมตระกูลชิ่งเป็นสมาคมตระกูลหลี่แล้วกัน ยังไงช่วงนี้พวกเราก็ยังไม่รีบใช้เงิน”
“ตามนั้นเลยลุง ถ้าพวกเรามีเงินไม่พอจริง ค่อยเปิดร้านขายของชำแบบที่ลุงเคยทำก็ได้”
“แต่พวกเราต้องหาสินค้าชั้นดีที่ขายได้ตลอดในร้านด้วย ในร้านมีสมุนไพรจีนหลายแบบเลย คิดว่าจะปรุงยาดำจากของพวกนั้นได้หรือเปล่า” แค่คิดว่ายาดำจะได้รับการตอบรับดีแค่ไหนในป้อมปราการ ดวงตาของหวังฟู่กุ้ยก็ทอประกายวิบวับแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่งแล้วว่า “แต่พวกเราขายยาดำเป็นจำนวนมากไม่ได้ ปล่อยขายสัปดาห์ละครั้งพอ”
“แบบนั้นก็ได้” หวังฟู่กุ้ยยิ้มกว้าง “ให้ในร้านมีของเด็ดๆ ขายสักหน่อย จะได้ไม่ต้องกลัวว่าเดี๋ยวไม่มีลูกค้าเข้าร้าน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดอยากจะเอายาดำแลกเป็นเงินเลย อย่างไรตอนนี้เขาก็มีทองคำติดตัวไม่น้อย เขาอยากปลดล็อกรูปแบบขั้นกลางของอาวุธมากกว่า
แต่ไหนๆ เหรียญคำขอบคุณหนึ่งเหรียญแลกยาดำได้สามขวดเล็ก และหนึ่งขวดเล็กสามารถแบ่งเป็นห้าหกส่วนไว้ขาย เหรียญคำขอบคุณหนึ่งเหรียญพอให้เริ่นเสี่ยวซู่อยู่หลายเดือน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก
เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะออกไปเดินเล่นในป้อมปราการเสียหน่อย ดูว่าเขาจะค่อยๆ ปล่อยทองขายได้หรือเปล่า
ตอนนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็ถาม “เฉินอู๋ตี๋หายไปไหนล่ะ มีใครเห็นเขาหรือเปล่า”
หวังฟู่กุ้ยผงะ “นั่นสิ ศิษย์พี่หายไปไหนกัน…ถุ้ย เฉินอู๋ตี๋หายไปไหนล่ะเนี่ย”
…
ตอนนี้เฉินอู๋ตี๋กำลังสำรวจถนนหนทางในป้อมปราการด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ เขาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชตั้งแต่เด็ก สภาพแวดล้อมมืดหม่นน่ากลัวในนั้นทำให้เขาอยากออกไปเห็นโลกภายนอกตลอดมา เขาเองก็เคยอาศัยอยู่ในโลกอันรุ่งเรืองมาก่อน แต่นั่นเป็นความทรงจำของเมื่อนานมาแล้ว
ทุกอย่างที่นี่ทำให้เขารู้สึกทั้งคุ้นชินทั้งแปลกตา ร้านค้าและเครื่องสาธารณูปโภคต่างๆ ถึงกับทำให้เขาลืมไปเสียแล้วว่าต้องไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิม
เฉินอู๋ตี๋ค่อยๆ เดินไปยังสวนสาธารณะที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน เขาได้ยินเสียงร้องเพลงลอยมา
เฉินอู๋ตี๋เดินเข้าสวนสาธารณะไป ก่อนจะเห็นเหล่าคุณป้ากำลังเต้นเป็นวงสี่เหลี่ยมในลานกว้าง ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นตาแต่ก็แปลกตา เขาราวกับกำลังฝันถึงอดีต จิตใจเกิดอาการเหม่อลอย
เหล่าคุณป้าจ้องไปที่เฉินอู๋ตี๋ที่เดินเข้ามาหน้าขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้วยท่าทางอหังการ ก่อนที่พวกเธอจะทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเธอก็เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นจ้องเขม็งมา และตะโกนว่า “เด็กๆ เริ่มฝึกได้!”
ตอนที่เฉินอู๋ตี๋กลับร้านมาคืนนั้น ใบหน้าเขาก็บวมช้ำเต็มไปหมด พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นก็ตะลึงไปเลย เฉินอู๋ตี๋ที่โดนกระสุนยังไม่หยัน ไปโดนเทพเจ้าองค์ไหนฟาดมาจนตกอยู่ในสภาพนี้ล่ะเนี่ย!
หรือว่ามียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการ?
แต่ไม่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะถามเฉินอู๋ตี๋แค่ไหน เขาก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น