พอพวกนักเรียนได้ยินว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังปล้นหยางเสียวจิ่นอยู่ พวกเขาก็ทำท่าไม่พอใจทันที ถึงกับเรียกให้นักเรียนมารวมตัวกัน อย่างกับคิดจะจับเริ่นเสี่ยวซู่ส่งตำรวจอย่างไรอย่างนั้น
มีนักเรียนมามุงกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งคือหลังจากหยางเสียวจิ่นย้ายมาก็มีชื่อเสียงไม่น้อย สองคือคนชอบมุงเรื่องวุ่นวาย
เริ่นเสี่ยวซู่ตระหนก “พวกเรารู้จักกัน!”
ถ้าเขาโดนเล็งหัวว่าเป็นโจรตั้งแต่วันที่มาเรียนวันแรก แบบนั้นคงไม่ยุติธรรมสุดๆ ที่สำคัญคือเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าหยางเสียวจิ่นจะโหดร้ายขนาดใส่ร้ายว่าเป็นโจรปล้นคนแบบนี้! แล้วก็นะ เธอพูดได้ไงว่าเขาปล้นน่ะ มีดก็มีดของเขาแต่แรก เขาเอาอาหารแลกมานะ! เอามีดไปไม่ว่า แต่มาใส่ร้ายกันได้ยังไงฮะ
พวกนักเรียนดูไม่จะไม่เชื่อ พวกเขามองหยางเสียวจิ่นก่อนจะหันกลับมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “รู้จักกันงั้นเหรอ ไม่เห็นจะเป็นงั้นเลยนะ”
“พวกเรารู้จักกันจริงๆ” เริ่นเสี่ยวซู่รีบพูด “ก็แค่เข้าใจผิดกันเฉยๆ ฉันก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมที่สิบสามเหมือนกัน”
“ไหนๆ นายบอกว่ารู้จักเธอ ลองบอกชื่อเธอมาสิ” นักเรียนชายผู้หนึ่งประกาศกร้าว
“หยางเสียวจิ่น!” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ แผนการของเธอพังแล้วเพราะเขารู้จักชื่อเธอ
แต่นักเรียนขายผู้นั้นกลับแค่นเสียงใส่ “กล้าบอกว่ารู้จักเธอได้ยังไง เธอชื่อเริ่นเสี่ยวซู่ต่างหาก”
เริ่นเสี่ยวซู่เหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ แทบจะลมจับเสียเดี๋ยวนั้นเลย
เขาหันมองหยางเสียวจิ่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เห็นหยางเสียวจิ่นไม่มีทีท่าละอายใจอะไรแม้แต่น้อย เธอดูเฉยเมยและกำลังตั้งใจดูเริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวเองขายหน้าอย่างเดียว
ถ้าชื่อบนทะเบียนนักเรียนคือเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วเขาแม่*จะชื่ออะไรวะ ไม่มียางอายบ้างเหรอหล่อน!
นักเรียนคนหนึ่งจ้องเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม “นายบอกว่านายเรียนที่โรงเรียนมัธยมที่สิบสามเหมือนกัน แล้วทำไมนายไม่สวมเครื่องแบบ นายมาจากห้องไหน แล้วชื่ออะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่สงบอารมณ์มาได้บ้างแล้ว สมองค่อยๆ เรียบเรียงความคิด “ถ้าบอกว่าฉันเองก็ชื่อเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่รู้ว่าพวกนายจะเชื่อไหม…”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ตอนนี้เขาลองพิจารณาหยางเสียวจิ่นดีๆ ก็รู้สึกว่าพี่เขากับเธอน่าจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน
เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกว่าการเล่นชวนหัวตรงหน้าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เริ่นเสี่ยวซู่โดนจัดฉากแบบนี้น่าสนใจไม่น้อยเลย มีคนไม่มากหรอกทำให้เริ่นเสี่ยวซู่จนมุมแบบนี้ได้ เด็กสาวสวมหมวกคนนี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา อีกอย่างคนธรรมดาคงใช้นามแฝงกันหรอก
ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่พยายามแก้ตัวอยู่นั้น เหยียนลิ่วหยวนก็วิ่งไปหาหยางเสียวจิ่น “พี่สาวสวัสดี ผมเป็นน้องชายของพี่เริ่นเสี่ยวซู่ ผมชื่อเหยียนลิ่วหยวนนะ”
ตอนหยางเสียวจิ่นวางระเบิดใส่เริ่นเสี่ยวซู่นั้นตาไม่กะพริบเลย แต่พอเธอเห็นเหยียนลิ่วหยวนก็ดูนุ่มนวลขึ้นมาทันที “อืม สวัสดี ฉันเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายเธอ”
เหยียนลิ่วหยวนหันไปดูเริ่นเสี่ยวซู่ที่โดนฝูงชนล้อมไว้ เพื่อนดีๆ[1] เขาทำกันแบบนี้เหรอเนี่ย…
สุดท้ายคนกลุ่มใหญ่ก็ลากเริ่นเสี่ยวซู่เข้าฝ่ายวิชาการนักเรียน ครูที่สำนักงานกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงหลังจากได้ยินว่ามีคนปล้นนักเรียน แต่พอเห็นเอกสารเข้าเรียนของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็สุภาพขึ้นมา
เมื่อวานเขาได้รับแจ้งมาแล้วว่าจะมีนักเรียนเข้าชั้นมัธยมปลายคนหนึ่ง และเข้ามัธยมต้นอีกสองคน เรื่องนี้ทางอาจารย์ใหญ่เป็นคนแจ้งด้วยตัวเอง แถมเขายังเตือนย้ำด้วยว่านักเรียนสามคนนี้เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ปกครองป้อมลู่หย่วนอย่างมาก
ถึงแม้ผู้ควบคุมป้อมปราการที่แท้จริงจะคือสมาคมตระกูลหลี่ ทว่าตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสมาคมตระกูลหลี่ กิจการที่ดำเนินไปในทุกวันยังเป็นลู่หย่วนคอยจัดการ พูดได้ว่าเขายังมีอำนาจตัดสินความเป็นตายของคนมากมายอยู่
สมาคมอาจจะไม่เห็นลู่หย่วนอยู่ในสายตา แต่สำหรับคนธรรมดาข้างถนนทั่วไป ลู่หย่วนเป็นบุคคลที่ต้องแหงนหน้ามอง
แต่สิ่งที่ทำให้ครูในฝ่ายวิชาการไม่เข้าใจคือ นักเรียนที่ชื่อเริ่นเสี่ยวซู่นั้นย้ายเข้าโรงเรียนมาแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนที่เขาเห็นเอกสารเข้าเรียนตรงหน้าจึงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่าเรื่องของเขากับหยางเสียวจิ่นนั้นยังไม่จบ!
“ครูครับ ผมต้องไปห้องไหนเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
ครูฝ่ายวิชาการยิ้มแล้วพูด “ไปกัน พวกเราจะไปที่ห้องม.6/3 มาสิ เดี๋ยวครูจะพาเธอไปรู้จักเพื่อนร่วมชั้น”
เขาเรียกครูอีกคนให้นำทางเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงไปฝ่ายมัธยมต้น ส่วนเขาจะพาเริ่นเสี่ยวซู่ไปฝ่ายมัธยมปลายด้วยตัวเอง ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง พวกนักเรียนที่อยู่บนรถรางพูดว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายเข้าห้องม.6/2 สินะ?
โชคดีที่เขาไม่ได้เข้าเรียนห้องเดียวกันกับหยางเสียวจิ่น ไม่อย่างนั้นคงได้มีเริ่นเสี่ยวซู่สองคนในห้อง ครูผู้สอนคงได้สติแตกเอา เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่ต่าง
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เข้าห้องเรียน ครูที่พาเขามาก็พูดอย่างนิ่มนวลว่า “แถวที่สามจากข้างหลังมีที่ว่างอยู่ เธอนั่งตรงนั้นไปก่อนนะ โรงเรียนพวกเราจะจัดที่นั่งให้นักเรียนตามผลการเรียน หลังจากสอบเสร็จ ถ้าทำได้ดีก็สามารถเลือกได้ว่าอยากนั่งตรงไหน”
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับครู” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างสุภาพ ตอนเดินผ่านห้องสองเขาเห็นหยางเสียวจิ่นนั่งอยู่ท้ายแถวเลย
พวกเขาสองคนจ้องหน้ากันอย่างกระเหี้ยนกระหืออยากสู้รบ…
พูดไปแล้ว หยางเสียวจิ่นดูจะไม่กลัวเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะไปปากสว่างให้สมาคมตระกูลชิ่งฟัง ไม่สิ เริ่นเสี่ยวซู่สมควรให้พวกเหยียนลิ่วหยวนหนีก่อน ไม่รู้หยางเสียวจิ่นจะเล่นแง่อะไรอีก
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง ที่ซ้ายมือเขาเป็นนักเรียนหญิงวัยคราวเดียวกัน ขวามือเขาเป็นทางเดิน
“สวัสดี ฉันชื่อเฉาอวี่ฉี นายล่ะ” นักเรียนหญิงทักทายเริ่นเสี่ยวซู่
“เริ่นเสี่ยวซู่”
เฉาอวี่ฉีถาม “นายย้ายมาใหม่เหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักหนึ่ง “อาฮะ”
“นายย้ายมาจากโรงเรียนอะไร” เฉาอวี่ฉีพูดต่อ “เฉิงตง (ตัวเมืองตะวันออก)?”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปชั่วครู่ แล้วตอบ “ย้ายมาจากโรงเรียนมัธยมที่ห้า”
“โรงเรียนมัธยมที่ห้า?” เฉาอวี่ฉีชะงัก “แต่ป้อมปราการเราไม่มีโรงเรียนชื่อนั้น”
คราวนี้เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่นิ่งงันบ้างแล้ว มีโรงเรียนมัธยมที่สิบสาม แต่ทำไมถึงไม่มีลำดับที่ห้าล่ะฟะ! ป้อมปราการนี้เขานับเลขกันยังไงเนี่ย
จริงๆ แล้วเมื่อก่อนในป้อมปราการก็มีโรงเรียนมัธยมที่ห้าอยู่ แต่ว่าให้หลังได้ควบรวมกับโรงเรียนมัธยมที่หกที่อยู่ใกล้กัน หลายปีมานี้ประชากรในป้อมปราการเพิ่มมากขึ้น จึงมีการสร้างอาคารสำหรับอยู่อาศัยทับที่เก่าของโรงเรียนมัธยมที่ห้าที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะไปตรัสรูได้อย่างไร เขาแค่พูดมั่วๆ ไปเฉยๆ!
“นาย…” เฉาอวี่ฉี่มองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไม่ไว้วางใจ “นายย้ายมาจากโรงเรียนไหนกันแน่เนี่ย”
“โรงเรียนมัธยมที่แปด?” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
ถึงเธอจะโง่แค่ไหนก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เธอนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “นายคงไม่ได้มาจากนอกป้อมหรอกนะ?”
ระหว่างพูดเฉาอวี่ฉีก็ถอยออกห่างจากเริ่นเสี่ยวซู่ไปด้วย สองวันมานี้มีข่าวลือกระฉ่อนว่ามีผู้อพยพเอาเชื้อโรคมาแพร่ในป้อมปราการ!
[1] เพื่อนสนิท (好朋友) แปลตรงตัวคือเพื่อนที่ดี