ทั้งป้อมปราการกำลังคุยกันเรื่องผู้อพยพอย่างเผ็ดร้อน ของบางอย่างแรกเริ่มลือกันอาจจะไม่ดูร้ายแรงนัก ทว่ายิ่งผ่านปากคนก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
อย่างเช่นว่า คนที่กังวลเรื่องอพยพเข้ามาในป้อมปราการนั้น แรกเริ่มเดิมทีพูดว่า “พวกผู้อพยพจะพาเชื้อโรคจากเข้านอกเข้ามาหรือเปล่า ยังไงพวกเขาก็บอกว่าผู้อพยพทุกคนเป็นปนเปื้อนเชื้อนี่”
แต่พอไปถึงคนต่อไป ก็อาจจะกลายเป็น “แย่แล้ว! ผู้อพยพเอาเชื้อโรคเข้าป้อมปราการมา!”
พอไปถึงคนที่สาม “มีคนหลายสิบตายเพราะเชื้อโรคที่ผู้อพยพเป็นพาหะ!”
พอแพร่ไปเรื่อยๆ “ผู้อพยพอยากใช้เชื้อโรคฆ่าทุกคนในป้อมปราการให้หมดสิ้น!”
เฉาอวี่ฉีรักษาระยะห่างจากเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องและโต๊ะอยู่ข้างกันอีก เธอจะไปได้ไกลขนาดไหนกันเชียว
ใบหน้าเฉาอวี่ฉีเต็มไปด้วยความกังขา เริ่นเสี่ยวซู่ทั้งไม่ตอบทั้งไม่โกหก เขาไม่ได้จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้อพยพ เพราะเขาไม่เห็นว่าการเป็นผู้อพยพจะเป็นความผิดอะไร
เขาเลือกเกิดไม่ได้และการเป็นผู้อพยพก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอายด้วย…
เริ่นเสี่ยวซู่อาจจะเปลี่ยนชุดใหม่ พยายามหลอมตัวเองเข้ากับสังคมนี้ แต่เขาไม่มีทางปฏิเสธตัวตนของตัวเอง เพราะถ้าทำเช่นนั้น เขาคงไม่ได้สามารถอยู่รอดมาได้ถึงสิบเจ็ดปี
ตอนนี้เฉาอวี่ฉีมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเงียบงัน เธอมั่นใจแล้วว่าตัวเองเดาถูก
เขาเป็นผู้อพยพจริงๆ! เฉาอวี่ฉีทำตัวไม่ถูกเลย เพื่อนข้างโต๊ะเรียนของเธอเป็นผู้อพยพ!
เฉาอวี่ฉี่อยากเปลี่ยนที่นั่งสุดใจ แต่ทว่าตอนนั้นเองชายชราหลังค้อมก็เดินเข้ามา ชายชราวางแผนการสอนไว้บนแท่นสอน จากนั้นพูดอย่างช้าๆ ว่า “ใกล้สอบปลายภาคแล้ว วันนี้พวกเรามาทบทวนฟังก์ชันตรีโกณมิติกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไป ฟังก์ชันคือ…
ถังโจวถามเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่าเขาอยากจะเริ่มเรียนที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกหรือเปล่า ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าเขาเรียนมาจากในเมืองอย่างดีแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องเรียน เขาไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แต่ตอนนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้แล้วว่าเรื่องที่จางจิ่งหลินสอนนั้นต่างกับที่สอนในป้อมปราการมาก
พูดตามตรง จะว่าจางจิ่งหลินก็ไม่ได้ ตัวจางจิ่งหลินเองก็ไม่ใช่อาจารย์อาชีพ แถมในชั้นเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กชายเด็กหญิงอย่างเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสอนบทเรียนชั้นสูงขึ้นไป
พอนักเรียนในเมืองถึงวัยเดียวกับเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขาก็เลิกเรียนหนังสือแล้วช่วยงานที่บ้านแทน มีแค่เริ่นเสี่ยวซู่ที่กระหายในความรู้ต่อ
และก็เพราะอย่างนั้น เขาถึงไม่เข้าใจหัวข้อที่กำลังเรียนอยู่เลย!
เรียนไปไม่ต่างไปจากหาเส้นทางกลางหมอกควัน เริ่นเสี่ยวซู่กระเหี้ยนกระหือรือจะเรียนมาตลอด อยากจะจำทุกบทเรียนที่จางจิ่งหลินสอนให้หมดสิ้น
แต่คราวนี้กลับต่างออกไป เขาก็อยากจะตั้งใจเรียนเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติอยู่หรอกนะ แต่เขาไม่เข้าใจเลย ฟังไม่เข้าหัวเลย!
ตอนที่เขามาลงทะเบียนนั้น ฝ่ายวิชาการก็ให้หนังสือเรียนใหม่กับเขาแล้ว แต่ว่าหนังสือเรียนพวกนี้ต่างเป็นของมัธยมศึกษาปีที่หกทั้งสิ้น ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่อยากเรียนตามให้ทันแค่ไหน เขาก็ยังต้องเริ่มที่แผนการเรียนของมัธยมศึกษาปีที่สี่ก่อนอยู่ดี
ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน เพื่อนข้างโต๊ะของเริ่นเสี่ยวซู่ก็รีบลุกออกจากที่นั่งไปทันที มีนักเรียนหลายคนรวมกลุ่มกันคุยอยู่ที่มุมห้อง นักเรียนบางคนก็จะพ่นลมหายใจ อุทาน หรือขมวดคิ้วกันเป็นพักๆ
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องสถานะผู้อพยพของตนอยู่ และรวมไปถึงอันตรายที่เขาอาจจะนำมาด้วย
คนในป้อมปราการไม่ได้มองผู้อพยพแง่ดีเลย นี่เป็นเรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้ประสบด้วยตัวเอง มีหลายครั้งที่เขารู้สึกว่าชีวิตในเมืองนั้นเป็นอิสระกว่ามาก แต่ก็แน่ละ ตอนนี้มีอันตรายอย่างตัวทดลองและฝูงหมาป่าอยู่ ในเมืองอาจไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก
ผู้อพยพในเมืองนอกป้อมปราการ 109 อาจจะไม่รู้ว่าแดนรกร้างนั้นเต็มไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถปลิดชีพพวกเขาได้
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และคนอื่นๆ จึงต้องทนกันไปก่อน จนกว่าจะสามารถหาสถานที่ที่คุ้มกะลาหัวได้เท่ากับป้อมปราการ
หลังเปลี่ยนคาบ นักเรียนทุกคนก็รู้แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้อพยพ สายตาที่มองมาจึงกลับกลายเป็นเย็นชา
นักเรียนบางคนที่ก่อนหน้าอยากมาทำความรู้จักกับเริ่นเสี่ยวซู่นั้นก็เกิดอารมณ์ซับซ้อน
ที่สำคัญคือ เพื่อเพิ่มพูนสถานะทางสังคมของตนเอง ทางสมาคมต่างๆ จึงฝังหัวทุกคนว่าผู้อพยพนั้นอยู่ชั้นต่ำกว่า พวกเขาแพร่ข่าวว่าผู้อพยพ ‘ปนเปื้อน’ ทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ และใช้เหตุผลนี้ในการไม่ให้ผู้อพยพเข้าป้อมปราการมา ทั้งยังเป็นการกันไม่ให้เกิดการทวงถามความถูกต้องทางศีลธรรมด้วย
“ฉันก็อยากให้ผู้อพยพเข้ามาในป้อมปราการนะ แต่พวกเขาปนเปื้อนเชื้อโรคไปแล้วน่ะสิ ถ้าพวกเราปล่อยให้พวกเขาเข้ามา แบบนั้นก็จะถือว่าไร้ความรับผิดชอบต่อคนอื่นสิ”
ชาวป้อมปราการล้วนคุ้นชินกับคำกล่าวประมาณนี้แล้ว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่นำพา ถึงเขาอยากจะหาเพื่อนในโรงเรียน แต่เขาก็ไม่บังคับให้คนอื่นมาผูกมิตรด้วยหรอก อย่างไรเสียตลอดหลายปีมานี้ เหยียนลิ่วหยวนกับเขาก็พึ่งพากันเองมาตลอด คนอื่นจะคิดอย่างไรเขาไม่สนใจ
หลังโรงเรียนเลิกในวันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็คว้ากระเป๋าและเดินออกจากห้องเรียนไป ไม่ใช่ว่าเขารีบกลับบ้าน แต่เพราะไม่อยากคลาดสายตากับหยางเสียวจิ่นต่างหาก
ในคืนตอนอยู่ที่เขาจิ้งซาน เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าตอนเห็นหยางเสียวจิ่งดึงปืนสไนเปอร์ออกมาจากอากาศนั้นน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเขาปล่อยให้หยางเสียวจิ่นชิงชัยภูมิที่ได้เปรียบไปก่อนละก็ เขาตายแน่!
ที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดคือ มีโอกาสสูงมากที่หยางเสียวจิ่นจะฆ่าปิดปากเขา
เพราะเริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่า ถ้าเขาบอกหลัวหลานเรื่องที่หยางเสียวจิ่นอยู่โรงเรียนมัธยมที่สิบสาม นอกจากแผนของหยางเสียวจิ่นจะพังลง ก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ช่วยพาเธอเข้ามาในโรงเรียนด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่เชื่อว่าสมาคมตระกูลชิ่งน่าจะมีอิทธิพลลับในป้อมปราการนี้อยู่บ้าง ถ้าพวกเขารู้ร่องรอยของหยางเสียวจิ่นขึ้นมา ชิ่งเจิ่นกับหลัวหลานต้องไม่พลาดโอกาสในการกำจัดภัยคุกคามแน่
ตอนเขาเดินออกจากห้อง ก็เห็นหยางเสียวจิ่นเดินออกมาจากห้องข้างๆ พอดี ใบหน้าใต้หมวกของเธอยิ้มขึ้น เธอไม่คิดจะเดินออกจากโรงเรียน แต่กลับเดินไปอีกทาง เธอกำลังขึ้นชั้นบนของอาคารเรียน
บนดาดฟ้าโรงเรียนเงียบสงัด
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่แน่ใจว่าหยางเสียวจิ่นคิดจะทำอะไร
หลังเลิกเรียน นักเรียนก็แห่กันออกจากโรงเรียนไป แต่ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเย็นเท่านั้น จึงมีนักเรียนไม่น้อยอยู่โรงเรียนเตะฟุตบอลหรือเล่นบาสเก็ตบอล
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นภาพนี้แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา นึกสงสัยว่าผู้อพยพข้างนอกที่ต้องขวนขวายดิ้นรนเพื่อปากท้องจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้ว่าคนในป้อมปราการนั้นใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
กำแพงป้อมปราการไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้อันตรายเข้ามา แต่ยังเป็นการกันไม่ให้ผู้อพยพรู้ด้วยว่าชีวิตข้างในเป็นอย่างไร ไม่ให้พวกเขาได้รู้ว่าในป้อมปราการช่างสะดวกสบายนัก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเรื่องนี้มันดูบิดเบี้ยวอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านภัยพิบัติครั้งนั้นมา จะทำให้มนุษย์ขวนขวายในชีวิตอันสงบสุขรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น
ก็เหมือนกับว่าคนยากจนร่ำรวยชั่วข้ามคืนก็จะใช้เงินทองสุรุ่ยสุร่าย เป็นความไม่สมประกอบทางจิตใจที่ต้องเติมเต็มประการหนึ่ง