the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 146 ช่วยเพื่อนร่วมชั้น

เช้าวันต่อมา พอเริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าห้องเรียน ก็เห็นว่าบรรยากาศมันดูประหลาดอยู่บ้าง นักเรียนที่คุยโขมงโฉงเฉงพลันเงียบกริบ

เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปที่โต๊ะของตัวเองอย่างเฉยเมยแล้วอ่านหนังสือ ใจรู้สึกว่าถ้าตัวเองเรียนตามไม่ทันเพื่อน ก็คงต้องเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงให้หวังฟู่กุ้ยไปซื้อหนังสือเรียนระดับมัธยมปีที่สี่กับห้ามาให้เมื่อวาน วันนี้เขาจะได้ศึกษาด้วยตนเอง

ขณะกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็มีลางว่าพวกเพื่อนร่วมห้องคงรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นแต่พร้อมใจกันไม่บอกเขา

และเรื่องที่กำลังจะมาถึงนั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ชอบใจแน่

ตอนบ่ายมีเรียนสี่คาบ ได้แก่ภาษาจีน ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ คาบภาษาจีนยังพอทน แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าบทเรียนที่สอนในวิชาคณิตกับฟิสิกส์เลย

ส่วนภูมิศาสตร์นั้น เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ามันแปลกอยู่หน่อยๆ สิ่งที่เรียนนั้นไม่เหมือนกับที่เขารู้มาเลย มิหนำซ้ำวิชาดูจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย

ในหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ไม่มีแผนที่ฉบับสมบูรณ์ด้วยซ้ำไป และหัวข้อเรียนก็สอนแต่เฉพาะพื้นที่รอบๆ ป้อมปราการ 109 รวมไปถึงความรู้ภูมิเศรษฐศาสตร์[1]ส่วนหนึ่ง

เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโลกน่าจะสูญหายไปจากป้อมปราการนี้แล้ว ก็เหมือนกับที่ว่าสมาคมตระกูลหลี่จะไม่แบ่งแผ่นที่ภูมิประเทศกับสมาคมตระกูลชิ่ง และองค์กรต่างๆ ก็จะเก็บความลับส่วนตนไม่แบ่งใครเช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เหมือนกับนักเรียนส่วนใหญ่ นักเรียนธรรมดาจะเรียนแค่สิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียน แต่เมื่อเริ่นเสี่ยวซู่อ่านหนังสือ เขาจะนึกไปถึงภูมิรัฐศาสตร์[2]ระหว่างองค์กรต่างๆ ด้วย

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาไม่ควรเป็นตัวปัญหาในสายตาของนักเรียนทั่วไปอีก

เริ่นเสี่ยวซู่เผลอหันไปด้านข้าง แล้วเห็นว่าใบหน้าของเฉาอวี่ฉีซีดขาว มือซ้ายเธอกุมท้องไว้เหมือนกำลังทนปวดอยู่

ตอนนี้เอง เสียงจากพระราชวังที่รอมานานก็ดังขึ้นอีกครั้ง [ภารกิจ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้น]

เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มคิดแล้วว่าเสียงจากพระราชวังนั้นฟังเสนาะหูมาก มันพูดออกมาทีไรก็มีของขวัญก้อนโตให้ตลอด

เฉาอวี่ฉีมองเขาตาขวางแต่ไม่เอ่ยอะไร เหมือนกับพูดกับเขาแล้วจะถูกสาปอย่างไรอย่างนั้น

ขณะเดียวกัน เริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังตั้งใจดูว่าพระราชวังมีปฏิกิริยาอะไรไหม ตราบใดที่ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น เขาก็จะถามไปเรื่อยๆ

“สหายร่วมชั้น เป็นเพราะไม่ได้พกทิชชู่เข้าห้องน้ำไปอย่างนั้นเหรอ เอาสิฉันให้ยืม” เริ่นเสี่ยวซู่พูด เขาเดาว่าเฉาอวี่ฉีน่าจะท้องเสีย

เฉาอวี่ฉีกลอกตาใส่เขา “ฉันไม่ได้ท้องเสีย”

“โอ้” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจแล้ว “งั้นมีอะไรล่ะ ป่วยเหรอ ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลไหม”

“เลิกถามเหอะ” เฉาอวี่ฉีเหวี่ยง “อาการนี้รักษาไม่ได้”

รักษาไม่ได้? เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป ร้ายแรงขนาดนั้นเลย?

พูดตามตรงเฉาอวี่ฉีเริ่มเสียใจแล้วที่อคติกับเริ่นเสี่ยวซู่ เธอเหวี่ยงใส่เขาขนาดนี้ เขายังเป็นห่วงเธออยู่เลย ดั่งคำกล่าวที่ว่ามือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ ที่พวกเธอขับไสไล่ส่งเริ่นเสี่ยวซู่ที่เป็นอพยพนั้น ก็เพราะถูกพ่อแม่ฝังหัวมาไม่ก็เพราะความกลัวทั้งสิ้น

แต่ขณะที่เฉาอวี่ฉีคิดจะพูดให้เสียงอ่อนลงนั้น เธอพลันเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เดินไปหน้าห้อง

ทั้งห้องเรียนค่อยๆ เงียบลง ทุกคนหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ รอดูว่าเขาคิดจะทำอะไร

เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปที่แท่นสอนและกล่าวกับเพื่อนร่วมชั้นว่า “ทุกคน เพื่อนของพวกเราเฉาอวี่ฉี ถูกวินิจฉัยว่าป่วยระยะสุดท้าย ฉันหวังว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน พวกเราจะสามารถบริจาคเงินสนับสนุนเธอได้บ้าง”

เฉาอวี่ฉี “???”

นักเรียนในห้อง “???”

สายตาทุกคนหันมามองเฉาอวี่ฉี ส่วนเธอแทบจะเป็นลมเสียตรงนั้นเลย

ป่วยระยะสุดท้ายบ้าบออะไร ฉันแค่เป็นประจำเดือนโว้ย สมองกลับไปแล้วเหรอ!

เธอไม่รู้หรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจกันแน่

เสียงจากพระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ดังมา [ภารกิจสำเร็จ รางวัล คัมภีร์คัดลอกทักษะระดับไร้ที่ติ!]

เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย เสร็จง่ายๆ อย่างนี้เลย? แถมรางวัลยังเป็นคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นไร้ที่ติอีก!

ได้กำไรยกใหญ่แล้ว!

ในป้อมปราการเขาคัดลอกทักษะได้หลายคนเลย อย่างเช่นผู้มีพลังพิเศษอย่างหยางเสียวจิ่นและลั่วซินอวี่! ไม่ว่าจะคัดลอกได้ทักษะอะไรมาก็คุ้มค่าทั้งนั้น!

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นไร้ที่ติกับหยางเสียวจิ่นเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาสนใจพลังท่องเงาของลั่วซินอวี่มากกว่า ถ้าได้พลังนั้นมา เขาก็สามารถพาพวกเหยียนลิ่วหยวนทะลุกำแพงตระหง่านของป้อมปราการได้ตามใจ

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะสามารถเข้าออกป้อมปราการได้ตามใจ เท่ากับว่าเขาคิดจะทำอะไรก็ทำได้สะดวกแล้ว!

แถมมีพลังที่สามารถข้ามระยะทางได้ในก้าวเดียวนั้นทรงพลังมากในยามสู้รบ ทำให้ศัตรูไม่ทันตั้งตัวและป้องกันได้ทัน

อีกอย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นไร้ที่ติกับหยางเสียวจิ่น เป็นเพราะเธอมีทักษะจำนวนมากที่อยู่เหนือระดับปรมาจารย์ แถมยังเป็นทักษะไร้สาระเสียเยอะเลยด้วย!

เกิดเขาสุ่มคัดลอกได้ทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กมา เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะไปแอบร้องไห้ที่ไหนแล้ว

เขาได้รู้มาตั้งแต่ตอนที่ใช้คัดลอกพลังของสูเสี่ยนฉู่แล้วว่า ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่มีทักษะระดับปรมาจารย์หรือเหนือกว่านั้น คัมภีร์คัดลอกทักษะก็จะเลือกคัดลอกพลังพิเศษโดยตรงเลย ดังนั้นถ้ายึดจากความเสี่ยงแล้ว ใช้งานกับลั่วซินอวี่จะดีกว่า

ช่วงเปลี่ยนคาบ เรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำแพร่ไปเข้าหูห้องเรียนข้างๆ แล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ออกไปสูดอากาศแล้วเห็นหยางเสียวจิ่นยืนอยู่ตรงทางเดิน เธอสวมหมวกยืนพิงราวจับทางเดินและมองมาที่เริ่นเสี่ยวซู่

ร่างกายอันสงบนิ่งของหยางเสียวจิ่นเริ่มสั่นอย่างอดรนทนไม่ไหว

“อยากหัวเราะก็หัวเราะเลย” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบ

“ฮาๆๆ” หยางเสียวจิ่นหัวเราะและกลับเข้าห้องเรียนไป เริ่นเสี่ยวซู่ยืนอยู่คนเดียว สายตาหันไปมองสนามเด็กเล่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นหยางเสียวจิ่นหัวเราะอย่างมีความสุขขนาดนี้

ไม่รู้ทำไม แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่า แทนที่จะเข้าหา ‘เพื่อนร่วมชั้น’ เขาออกไปร่วมมือ ช่วยเหลือ และระวังกันเองกับหยางเสียวจิ่นในแดนรกร้างนั้นดูสนุกกว่าเยอะเลย

เสียงระฆังดังขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับเข้าห้องเรียนไป ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าและพูดคุยก็ดังมาจากข้างนอก เหมือนกำลังมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาที่ห้องพวกเขา

เฉาอวี่ฉีเผยสีหน้ามีความสุข เหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ครูประจำชั้นของพวกเขาปรากฏตัวหน้าประตูห้องเรียน เขาโบกมือให้เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ข้างในแล้วพูด “เริ่นเสี่ยวซู่ ออกมาข้างนอกแป๊บหนึ่งสิ”

[1] ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Economic Geography) เป็นวิชาภูมิศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับที่ตั้งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศและของโลก ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์กับที่ตั้งของกิจกรรมการผลิตนั้นๆ

[2] ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) การศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบทางภูมิศาสตร์ ที่มีต่อการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset