ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือผู้ปกครองของนักเรียน ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีคนมายืนข้างเริ่นเสี่ยวซู่แบบนี้
ว่าตามตรง ถ้าสถานการณ์ของเริ่นเสี่ยวซู่และพวกเขากลับกัน พวกเขาเชื่อว่าคงไม่ใครมาพูดแทนตนแม้แต่คนเดียว
หยางเสียวจิ่นยืนกอดอกอยู่ตรงทางเดิน มองดูสถานการณ์อย่างสนอกสนใจ เธอคาดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะลงเอยแบบนี้
พวกผู้ปกครองหน้าชาไปเล็กน้อย ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าควรทำอะไรต่อ ขณะเดียวกันพวกนักเรียนก็ต่างเหม่อมองไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ ต่างสงสัยเด็กหนุ่มผู้นี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันแน่
เจียงอู๋มองไปที่ครูประจำชั้นของเริ่นเสี่ยวซู่ตัวจริงแล้วพูด “พวกเราจะย้ายเริ่นเสี่ยวซู่ไปห้องเรา คุณไม่ไปดำเนินเอกสารล่ะ”
ครูประจำชั้นพร้อมรับสุดๆ เขายิ้มพูด “ได้สิ เดี๋ยวไปทำเลย”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้โล่งอก ก็ได้ยินเจียงอู๋พูดเสียงเย็น “ครูที่ปกป้องนักเรียนตัวเองไม่ได้ ฉันล่ะละอายแทนคุณจริงๆ คุณไม่พูดอะไรแทนเขาแม้แต่คำเดียว”
ครูประจำชั้นสำลักจนหน้าเขียว แต่ก็ไม่อาจตอบโต้อะไรคำพูดของเจียงอู๋ได้
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่กลับไปเก็บของของตัวเองสำหรับเตรียมย้ายห้องเรียนนั้น เขาก็เดินไปหาเฉาอวี่ฉี เธอมีลางสังหรณ์ในพลัน
เริ่นเสี่ยวซู่สูดลมหายใจลึกแล้วพูดอย่างจริงจัง “หายไวๆ นะ”
“พรวด” หยางเสียวจิ่นรู้สึกว่าเธอไม่ได้หัวเราะเหมือนวันนี้มาหลายปีแล้ว เหมือนกับว่าช่วงเวลาสนุกๆ ตลอดหลายปีมานี้จะเกี่ยวกับเริ่นเสี่ยวซู่ และเธอก็ไม่รีรออะไรต่อ เก็บข้าวของของตัวเองเช่นกัน
ระหว่างทางไปห้องใหม่นั้น เจียงอู๋ก็พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถ้ามีปัญหาเรื่องเรียนก็บอกฉันได้เลยนะ ถ้าวิชาไหนไม่เข้าใจก็ ฉันสอนชดเชยให้ได้ทุกวิชาเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมมีบางอย่างที่อยากขอคำแนะนำจากครูเจียง”
“วิชาไหนเหรอ” เจียงอู๋ถาม
เริ่นเสี่ยวซู่หน้าค้างไป “วิชาขี่จักรยาน?”
เจียงอู๋ชะงักเท้า หันมองเขาอย่างเงียบๆ เธอนึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะขอให้ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์หรืออื่นๆ เสียอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยากเรียนวิธีขี่จักรยานแบบนี้ เป็นเด็กหนุ่มที่ขยันทำให้คนประหลาดใจจริงๆ
หยางเสียวจิ่นเดินมาข้างเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม “นายซื้อจักรยานมาแล้วเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปจ้องหน้าเธอ “คิดจะทำอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องพยายามไม่อยู่ในห้องเดียวกันหรอกเหรอ เริ่นเสี่ยวซู่”
หยางเสียวจิ่นยิ้มตาหยีแล้วว่า “ฉันไม่ถือ”
“ใครสนว่าเธอจะถือไม่ถือ!” เริ่นเสี่ยวซู่อยากจะสบถใส่มาก
เพราะเปลี่ยนห้องมา เริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นจึงกลายเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะไป ขนาดเริ่นเสี่ยวซู่ยังต้องยอมรับว่านี่คือโชคชะตาจริงๆ
หลังคาบเรียช่วงบ่ายจบ เจียงอู๋ก็ขึ้นรถรางกลับร้านขายของชำพร้อมเริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และหวังต้าหลง เหมือนเหยียนลิ่วหยวนจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนแล้ว พอเห็นเธอจึงกล่าวขอบคุณทันที
เป็นคำขอบคุณที่มีแก่เจียงอู๋ที่ช่วยพี่เขาในยามลำบาก
จริงๆ แล้วเหยียนลิ่วหยวนไม่ชอบหน้าคนในป้อมปราการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เจียงอู๋และนักเรียนของเธอเป็นข้อยกเว้นไป อ้อ ไม่นับหยางเสียวจิ่นด้วย
พอถึงร้าน เริ่นเสี่ยวซู่ก็อดทนรอให้เจียงอู๋สอนทุกคนขี่จักรยานแทบไม่ไหว เริ่นเสี่ยวซู่ขอให้ทุกคนเรียนวิธีขี่จักรยานไว้เพราะเห็นว่าเป็นทักษะที่สำคัญมาก
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าพวกเขาต้องเดินทางระหว่างป้อมปราการ รถจักรยานยนต์สักคันคงเป็นพาหนะตัวเลือกแรก
แต่ปัญหาคือว่าเขาคงไม่มีทางหามาได้สักคันหรอก แถมรถจักรยานยนต์ต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ไหนจะมีข้อจำกัดอื่นๆ อีก ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าจะไปเรียนวิธีขับรถจักรยานยนต์จากใคร
ดังนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดถัดไปคือใช้ใช้จักรยานเดินทาง ซ่อมไม่ยาก ใช้งานได้ยาวนาน วิธีขี่ก็ง่าย!
ที่สำคัญที่สุดคือเป็นของที่ตอนนี้เขามีเงินซื้อ!
จักรยานในป้อมปราการราคาประมาณสามพันหยวน ถือว่าเป็นสินค้าหรูประเภทหนึ่ง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอวี้นั้นทุ่มขนาดไหนเพื่อซื้อของขวัญให้เริ่นเสี่ยวซู่ คนส่วนใหญ่ทำใจจ่ายเงินขนาดนั้นไม่ไหวหรอก เสี่ยวอวี้ก็เป็นคนที่ยอมต่อรองราคาเป็นครึ่งชั่วโมงตอนออกไปจ่ายตลาดเพื่อเงินยี่สิบเจียวด้วยซ้ำไป
พวกเขามองเจียงอู๋ขี่จักรยานอย่างไม่ต้องพยายามอะไรผ่านถนนหน้าร้านไป เฉินอู๋ตี๋นั่งยองอยู่หน้าร้าน สีหน้าดูอยากเรียนวิธีขี่จักรยานสุดๆ
เจียงอู๋อธิบายหลักการวิธีขี่จักรยานเบื้องต้นให้ฟัง “จะขี่จักรยาน อย่างแรกต้องควบคุมสมดุลให้ดีก่อน นอกจากนั้นสายตาต้องไม่สนสิ่งที่อยู่หน้าจักรยานนะ แต่ให้ดูว่าข้างหน้าเรามีอะไรบ้าง เอาชนะความกลัว…”
ขณะครูเจียงอู๋สาธิตวิธีขี่ เธอก็เผยให้เห็นเสน่ห์ของสตรีเพศด้วย
ตอนที่เจียงอู๋สาธิตเสร็จ ทุกคนก็ผลัดกันลอง ที่เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจคือเหยียนลิ่วหยวนสามารถขี่ได้ทันทีเลย เห็นสาธิตแค่ครั้งเดียวเจ้าเด็กนี่ก็ขี่จักรยานได้อย่างมั่นคงแล้ว
ที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจกว่าเดิมอีกคือ เขาขี่ไม่ได้เสียที
ว่าตามตรง ไม่ใช่ว่าเขาขี่ไม่ได้หรอก จะขี่จักรยานได้ตอนไหนก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ความจริงคือคนส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายวันหรือมากกว่านั้นในการเรียนรู้วิธีขี่จักรยาน ดังนั้นความก้าวหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่ถือว่าปกติมาก
แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่รับไม่ได้เลยคือ ขนาดคนโง่อย่างเฉินอู๋ตี๋ยังขี่จักรยานเป็นแล้วเลย
นั่นทำให้ภาพลักษณ์เริ่นเสี่ยวซู่เสียไป แต่เขาไม่มีทางยอมรับว่าเขามีปัญหาเด็ดขาด
เริ่นเสี่ยวซู่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนหันไปถามเสี่ยวอวี้ “พี่เสี่ยวอวี้ จักรยานที่พี่ซื้อมามีปัญหาอะไรเปล่าเนี่ย”
พี่เสี่ยวอวี้เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก เธอไม่ได้โมโหอะไร ถ้าลิ่วหยวนกับเฉินอู๋ตี๋ขี่ได้ จักรยานจะมีปัญหาได้อย่างไร เหมือนเธอจะได้รู้แล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นพวกชอบโยนหม้อ[1]…
แน่ละว่าเธอไม่รู้หรอกว่าคนล่าสุดถูกเริ่นเสี่ยวซู่โยนหม้อใส่ตอนนี้กำลังแบกหม้อดำ[2] ใบโตล่องหนเดินเตร็ดเตร่อยู่ในแดนรกร้าง
เจียงอู๋ยิ้มแล้วพูด “ที่จริงจะขี่จักรยานเป็นต้องใช้เวลาหลายวันอยู่นะ ไม่กี่วันเธอก็ขี่เป็นแล้วละ”
เสียงเจียงอู๋เพิ่งจางหายไป ก็มีเสียงระเบิดดั่งสนั่นขึ้นมาจากไกลๆ มีระเบิดถูกจุดในป้อมปราการ หรือว่าเป็นฝีมือของหยางเสียวจิ่น?
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าน่าจะเป็นระเบิดของหยางเสียวจิ่น แต่วิเคราะห์เสียงดูดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่!
เขาสั่งเฉินอู๋ตี๋กับเหยียนลิ่วหยวน “เตรียมอาวุธเตรียมปืนและปิดประตูร้านเลย ห้ามเปิดจนกว่าฉันจะกลับมา ส่วนครูเจียงก็ซ่อนตัวที่ร้านไปก่อนเป็นการเผื่อไว้” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ออกจากร้านไป ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษ เขาย่อมไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ เขาต้องไปดูด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น จึงจะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง มีแต่ต้องทำอย่างนั้น ถึงจะมั่นใจได้ว่าทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัย
สถานที่จุดระเบิดน่าจะอยู่ห่างไปหลายกิโลเมตร แต่ด้วยความเร็วของเริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้ ไม่กี่นาทีก็น่าไปถึงที่นั่นแล้ว
ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปนั่น เขาก็เห็นตึกหนึ่งสูงหลายสิบชั้น มันเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดในป้อมปราการ และดูแล้วน่าจะมีสถานที่เหมาะกับการสังเกตการณ์การสู้รบพอดี
[1] โยนหม้อ (甩锅) หมายถึงการโยนบาป ปัดความรับผิดชอบ
[2] แบกหม้อดำ หมายถึง แพะรับบาป